วัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี มีชื่อเสียงจากการทำงานช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ โดยตั้งสถานรักษาพักฟื้นตั้งแต่ปี 2535 ในวันที่ประเทศไทยยังไม่มีแนวทางการรักษาโรคเอดส์ที่ก้าวหน้าเช่นปัจจุบัน
การทำงานของวัดพระบาทน้ำพุเกิดขึ้นได้จากการเรี่ยไรเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาและต้องการทำบุญ นำมาซึ่งเงินมหาศาลที่ผู้คนในสังคมช่วยกันควักกระเป๋าด้วยเจตนาดี ท่ามกลางภาพประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเอดส์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาทั้งจากวัดพระบาทน้ำพุเองและสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าว จนกลายเป็นภาพจำแง่ลบต่อผู้ติดเชื้อว่าเป็นโรคร้ายแรง ร่างกายผอมดำ หากติดเชื้อแล้วจะตายเท่านั้น
ความน่ากลัวของโรคเอดส์ที่ถูกนำเสนอออกมานี้สร้างความหวาดกลัวให้คนในสังคม นำไปสู่อคติและการรังเกียจผู้ติดเชื้อจนถูกกีดกันออกจากสังคม
ในปัจจุบันเมื่อการแพทย์พัฒนาขึ้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติและไม่แพร่เชื้อต่อ แม้มนุษย์จะหาหนทางก้าวข้ามโรคภัยได้ แต่ปัญหาใหญ่คือการลบอคติที่เกิดขึ้นในสังคม
วัดพระบาทน้ำพุกลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในปี 2568 จากความไม่โปร่งใสในการรับบริจาคและบริหารจัดการเงิน จนนำไปสู่การตั้งคำถามถึงงานช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ที่วัดทำ โดยเฉพาะในยุคหลังที่ผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาจนเป็นปกติได้ ไม่จำเป็นต้องถูกนำไปปล่อยให้เสียชีวิตที่วัดอย่างในอดีต
101 จึงคุยกับ นิมิตร์ เทียนอุดม ที่ปรึกษามูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) ถึงอคติในสังคมที่เกิดจากการประชาสัมพันธ์ภาพน่ากลัวของผู้ป่วยเอดส์เพื่อเรียกรับบริจาคเงิน ผลกระทบของการใช้ผู้ป่วยเป็นวัตถุระดมทุน และการทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์
เมื่อผู้ป่วยเอดส์ถูกสร้างภาพปีศาจ
นิมิตร์ เริ่มต้นเล่าถึงสภาพปัญหาของเอชไอวี-เอดส์ในยุคที่วัดพระบาทน้ำพุเริ่มบทบาทการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในปี 2535 ว่า ขณะนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังไม่มีระบบการดูแลรักษาที่ดี ไม่มียาต้านไวรัส และระบบการรักษาโรคฉวยโอกาสของผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยเอดส์ก็ยังไม่ดี ประกอบกับความไม่เข้าใจของคนในสังคม ทำให้เกิดทัศนคติด้านลบในสังคม จนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วย
“ตอนนั้นทุกคนเข้าใจว่าวัดพระบาทน้ำพุเป็นที่พึ่งระยะสุดท้ายของผู้ป่วยเอดส์ ผมก็เคยไปปรึกษากับพระอาจารย์อลงกต ชวนท่านแลกเปลี่ยนถึงปัญหา ตั้งแต่ประเด็นที่ว่า ถ้าเราทําให้สังคมเข้าใจว่า เอดส์เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย มีแต่ภาพน่าเกลียดน่ากลัว อย่างนี้มีกี่ร้อยวัดก็ไม่พอ เพราะคนจะเข้าใจว่ามันน่ากลัว มันอันตราย แล้วก็จะเอาคนในครอบครัวที่ติดเชื้อไปไว้วัด”
ในยุคที่เชื้อเอชไอวีแพร่ระบาดและยังไม่มีการรักษาที่ดีพอ สังคมไทยถูกโหมประโคมถึงความน่ากลัวของโรคเอดส์ ภาพที่ถูกนำเสนอผ่านวัดพระบาทน้ำพุคือภาพผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่ทรุดโทรม ผอมแห้ง ผิวดำคล้ำ จนถึงภาพกระดูกของผู้ที่จากไปด้วยโรคเอดส์ถูกกองตั้งสูงท่วมหัวให้ผู้มาเยือนได้เห็นความน่ากลัว
นิมิตร์ยอมรับว่าภาพเหล่านั้นทำให้คนกลัวและรังเกียจผู้ติดเชื้อ จนถึงต้องการป้องกันตัวเองด้วยการไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ
“ภาพการโฆษณาของวัดพระบาทน้ำพุที่ผ่านมาในอดีตส่งผลกระทบอย่างยิ่ง ทําให้เกิดการรังเกียจ คนจึงป้องกันตัวเองด้วยการไม่ยุ่งกับผู้ติดเชื้อ เช่น พอสงสัยว่าคนนี้ติดเชื้อแล้วเขาขายอาหารอยู่ คนก็ไม่ไปซื้ออาหาร หรือเจอผู้ติดเชื้อมาสมัครงานก็ไม่รับเข้าทำงาน เพราะกลัวว่าจะป่วยแล้วกลายเป็นภาพน่าเกลียดในบริษัท
“พอคนได้ยินว่าใครมีเชื้อเอดส์ปุ๊บ ฉันจะไม่ขอยุ่ง เพราะฉันกลัว ฉันได้ยินว่ามันรักษาไม่หาย ฉันไม่อยากเป็นผู้ป่วยที่มีภาพน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนที่เห็นจากวัดพระบาทน้ำพุ เรื่องนี้ส่งผลต่อทิศทางและการทํางานเรื่องเอดส์มาอย่างยาวนาน นี่เป็นภาพที่เราต้องช่วยกันลบ” นิมิตรกล่าว
เอชไอวีป้องกันได้ เอดส์รักษาได้
ตลอดการทำงานด้านโรคเอดส์มาอย่างยาวนานของมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ งานด้านหนึ่งที่สำคัญคือการสู้กับอคติที่คนในสังคมมีต่อโรคเอดส์
นิมิตร์ชวนคิดว่า หากใครคนหนึ่งจะติดเชื้อเอชไอวี เขาจะมีโอกาสรับเชื้อจากใครมากกว่ากัน ระหว่างผู้ป่วยที่ดูน่ากลัวแบบที่เห็นในวัดพระบาทน้ำพุ กับการติดเชื้อจากคนที่ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย
“เราต้องขยายความเข้าใจใหม่ว่า เราไม่มีโอกาสไปติดเชื้อจากคนที่ดูป่วยอย่างนั้นหรอก แต่เรามีโอกาสติดเชื้อจากคนที่เราไปสร้างความสัมพันธ์ คนที่ไม่ได้ป่วย ดูธรรมดา แต่เราไม่รู้ประวัติทางเพศของเขา เราไม่รู้สถานะการติดเชื้อเอชไอวีของเขา”
ในยุคที่สังคมยังมีอคติรุนแรง นิมิตร์เล่าว่าทางมูลนิธิฯ จัดทีมเยี่ยมบ้าน เพื่อไปสร้างความเข้าใจในครอบครัวที่มีผู้ติดเชื้อให้โอบรับและดูแลผู้ป่วย เพื่อไม่ให้เอาไปทิ้งที่วัดพระบาทน้ำพุ
“เราพยายามสร้างความเข้าใจว่า ครอบครัวเป็นฐานที่มั่นที่สามารถดูแลคนในครอบครัวที่ติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้าป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสก็ดูแลรักษาตามอาการ หรือถ้าเขาไม่ไหวจริงๆ ก็ดูแลกันในระยะท้ายสุดที่บ้านก็ได้ การจะติดเชื้อจากการดูแลกันที่บ้านนั้นไม่มีทางเกิดขึ้น
“ช่วงปี 2530-2533 ที่ยังไม่มีระบบการดูแลรักษาเหมือนทุกวันนี้ พอมีการโฆษณาว่า ‘เอดส์เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย’ ทุกคนก็มุ่งเอาผู้ป่วยไปไว้ที่วัดพระบาทน้ำพุ แม้เราจะพยายามทำความเข้าใจกับคนในครอบครัว แต่ด้วยกระแสและความแรงในการโฆษณาของวัดพระบาทน้ำพุ ทําให้การทํางานเรื่องเอดส์ในสมัยนั้นยาก แต่พวกเราก็สู้มาจนกระทั่งทําให้คนเข้าใจได้”
สิ่งสำคัญที่นิมิตร์มองเห็นคือ สังคมจําเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมอง และช่วยกันเผยแพร่ข้อเท็จจริงใหม่เรื่องเอชไอวี
“จาก ‘เอดส์เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย’ ต้องเปลี่ยนเป็น ‘เอชไอวีป้องกันได้ เอดส์รักษาได้’ ทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุกปี อัตราการการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีในประชากรทั่วไปของไทยทุกวันนี้คือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราไปตรวจแล้วพบว่าไม่ติดเชื้อ ก็ให้มั่นใจว่าที่พยายามป้องกันมาตลอดนั้นได้ผล ก็จงป้องกันต่อไป แต่ถ้าเราติดเชื้อแล้วก็ให้เริ่มการรักษาทันที
“ตอนนี้มีคนที่ติดเชื้อและเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตโดยปกติในสังคมได้ ถ้าเราสร้างความเข้าใจเรื่องนี้กันใหม่ก็ไม่จําเป็นต้องมีผู้ป่วยเอดส์ไปนอนอยู่ในวัดพระบาทน้ำพุหรือวัดไหนก็ตาม การทำให้ทุกครัวเรือนเข้าใจเรื่องนี้และทําให้ทุกคนรู้สิทธิการตรวจและรักษาของตนเอง เท่ากับเป็นการป้องกันตัวเอง ป้องกันสังคม และไม่เป็นภาระให้วัดใดวัดหนึ่งต้องไปเรี่ยไรเงินมาดูแลผู้ป่วยที่วัด นี่เป็นเรื่องจําเป็นที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดและสร้างความเข้าใจใหม่” นิมิตร์กล่าว
การทำบุญที่ดีคือการไม่แพร่เชื้อ
นอกจากอคติที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ภาพความน่ากลัวของโรคเอดส์เพื่อเรี่ยไรเงินเข้าวัด อีกด้านหนึ่งคือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้สอดรับกับวิธีคิดเรื่อง ‘การทำบุญ’ ของคนไทย ทำให้การบริจาคเงินช่วยผู้ป่วยเอดส์เป็นการทำดี ตลอดจนวิธีคิดเรื่อง ‘เวรกรรม’ ที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่นในสังคมไทย
“ทั้งหมดนี้เลยกลายเป็นเหมือนว่า เอดส์เป็นเรื่องบาป คนติดเชื้อเป็นคนไม่ดี ไปทําไม่ดีมาถึงติดเชื้อ แล้วก็ต้องมีคนไปทำบุญที่วัดให้คนติดเชื้อ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องบาปหรือเรื่องคนไม่ดี แต่เป็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทุกคนในวัยเจริญพันธุ์มีโอกาสเจอเรื่องนี้ได้ในการใช้วิถีชีวิตทางเพศ มันไม่ใช่เรื่องเป็นคนบาปหรือคนไม่ดี แต่ภาพการรณรงค์แบบวัดพระบาทน้ำพุทําให้เกิดความรู้สึกว่าเอดส์เป็นเรื่องของคนไม่ดี เป็นเรื่องที่เราต้องเปลี่ยนแปลง”
ในวันที่วัดพระบาทน้ำพุถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสในการรับบริจาคเงิน นิมิตร์ต้องการให้คนในสังคมมองเรื่องการทำบุญใหม่ โดยเฉพาะการทำบุญกับผู้ป่วยเอดส์
“การทําบุญมีหลายรูปแบบ ที่ผ่านมาผู้ป่วยเอดส์ถูกใช้เป็นเหมือนวัตถุที่ใช้ระดมทุน ในอีกมุมหนึ่งก็ไปสร้างตราบาปให้ผู้ติดเชื้อ ผมจึงอยากชวนเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการทําบุญ ถ้าเราจะทําบุญเรื่องเอชไอวี-เอดส์ เราทำได้ด้วยการประเมินตัวเอง ถ้ามีความเสี่ยงก็ไปตรวจหาการติดเชื้อ ซึ่งตรวจฟรีในระบบหลักประกันสุขภาพ หากคุณมีคู่ก็ควรคุยกันด้วยความเข้าใจและไปตรวจหาเชื้อด้วยกัน
“ถ้าพบว่าคู่ของเราติดเชื้อ แล้วตัวเราไม่ติด เราก็ควรส่งเสริมให้เขาเข้าสู่การรักษาโดยเร็ว หากเข้าสู่การรักษาหกเดือนขึ้นไป ด้วยประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสทุกวันนี้จะทําให้ตรวจไม่พบเชื้อ หมายความว่ามีเชื้ออยู่น้อยมาก ทําให้ไม่สามารถแพร่เชื้อต่อให้ใครได้ ถ้าเราเชื่อเรื่องการทำบุญ นี่เป็นเรื่องดีที่เป็นการทำบุญแบบหนึ่ง เพราะเราจะไม่แพร่กระจายเชื้อให้คนอื่น”
นอกจากการตรวจและรักษาเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายแล้ว อีกด้านที่นิมิตร์เห็นว่าสำคัญคือการทำความเข้าใจเรื่องเชื้อเอชไอวีและสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างปกติ
“เราต้องเข้าใจว่า เมื่อผู้ติดเชื้อกินยาต้านไวรัสแล้วเขาสามารถใช้ชีวิตปกติได้ คนรอบข้างต้องให้โอกาสเขาใช้ชีวิตตามเดิมด้วย ถ้าเราเป็นนายจ้างก็จ้างงานเขาตามปกติ ถ้าเราเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนก็ให้เข้าใจเขาและเรียนต่อด้วยกัน ไม่ต้องกลัวว่าเราจะติดเชื้อจากการเรียนหนังสือหรือจากการทํางานร่วมกัน
“ทําให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปด้วยความรักความเข้าใจ แล้วเอดส์ก็จะไม่กลายเป็นปัญหาสังคม แต่จะเป็นแค่ปัญหาสุขภาพของคนคนหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่การรักษาแล้วก็เป็นเหมือนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ ผมคิดว่านี่คือการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ โดยที่เราไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของการระดมทุน ซึ่งเราไม่รู้ว่าพอระดมทุนไปแล้วจะเอาเงินไปใช้แบบไหน จะมีกรรมการดูแลอย่างดีไหม เงินจะรั่วไหลไหม ซึ่งก็เห็นกันอยู่ว่าทุกวันนี้เวลามีการทําบุญด้วยเงินจํานวนมากก็ทําให้วงการสงฆ์ปั่นป่วน” นิมิตร์กล่าว
‘ความเข้าใจ’ ทางออกแก้ปัญหาเอชไอวี–เอดส์
ปัจจุบันสิทธิรักษาพยาบาลทั้งสามระบบ คือ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ, สิทธิประกันสังคม, และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ดูแลการตรวจเชื้อและรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์อย่างครอบคลุมบนเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกัน
ในฐานะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) นิมิตร์แนะนำเรื่องการใช้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพ ดังนี้
1. ผู้ต้องการตรวจหาเชื้อทุกคนสามารถไปใช้สิทธิ์ตรวจหาการติดเชื้อที่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพได้ปีละสองครั้ง หรือสามารถขอชุดตรวจเอชไอวีมาตรวจเองที่บ้านได้ไม่จํากัดจํานวนครั้งผ่านแอปฯ เป๋าตัง
2. ผู้ที่ตรวจแล้วไม่ติดเชื้อและต้องการป้องกันการติดเชื้อสามารถขอรับถุงยางอนามัยได้ฟรีที่หน่วยบริการ หรือหากเป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสามารถรับยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อได้ที่หน่วยบริการเช่นกัน
3. ผู้ตรวจพบเชื้อให้เริ่มรับการรักษาทันที ผู้ติดเชื้อจะได้รับการตรวจวินิจฉัยและจัดสูตรยาที่เหมาะสมให้ เมื่อรับยาต้านเกินหกเดือนแล้วตรวจพบว่าเชื้อเหลือน้อยกว่า 50 ตัว (ก๊อปปี้) ต่อเลือดหนึ่งซีซี หรือ ‘ตรวจไม่พบเชื้อ’ จะเหลือเพียงการนัดรับยาที่หน่วยบริการเป็นระยะ
“การตรวจหาจํานวนเชื้อและการตรวจการทํางานของค่าตับกับค่าไตเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้ติดเชื้อจะได้ในทุกระบบ สิทธิประโยชน์จะเหมือนกัน ยาก็เป็นสูตรเดียวกัน เพราะจัดซื้อรวมแล้วแยกกันจ่ายเงิน สิทธิประโยชน์ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เราป้องกันตัวเองได้ หรือผู้ติดเชื้อก็จะได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ประเทศเราถือว่าจัดสิทธิประโยชน์ได้ดีประเทศหนึ่งในโลก ทําให้เราสามารถคุมอัตราการแพร่กระจายเชื้อและลดจํานวนการเสียชีวิตจากเอดส์ลงได้” นิมิตร์กล่าว
ในปี 2568 ตัวเลขผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีประมาณ 568,565 คน แม้ว่าผู้ติดเชื้อทุกคนจะสามารถเข้าถึงการรักษาแล้วกลับมามีชีวิตปกติได้ แต่ต้องยอมรับว่ายังมีผู้ป่วยโรคเอดส์ที่อาการหนักจนเสียชีวิตอยู่ราวปีละ 10,000 คน นิมิตร์บอกว่าส่วนมากคือคนที่รู้ตัวช้า อาจเพราะไม่คิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ จึงไม่มีการตรวจ แล้วปล่อยให้เชื้อลุกลามจนรู้ตัวเมื่อเกิดโรคฉวยโอกาส
“การทําบุญอีกแบบหนึ่งคือการช่วยกันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่องเอชไอวี ถ้าเกิดข้อสงสัยหรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันสักหนึ่งครั้งก็ควรไปตรวจหาการติดเชื้อ อย่ารอให้ป่วยแล้วค่อยไปรับการรักษา ไม่อย่างนั้นจะมีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิต
“คนที่รับการรักษาช้าจนเสียชีวิต ส่วนหนึ่งมักมีปัญหาซับซ้อนทางสังคม เช่น อยู่ในครอบครัวยากจน อยู่ในครอบครัวซึ่งมีแต่ผู้สูงอายุหรือมีแต่คนเจ็บป่วยจนไม่สามารถดูแลกันได้ ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ ฉะนั้น อาจยังมีคนจํานวนหนึ่งที่ต้องการที่พักพิงชั่วคราวที่จะช่วยให้เขาฟื้นขึ้นมา”
ในสถานการณ์ที่ภาครัฐยังไม่มีการสร้างบ้านพักฟื้นสำหรับผู้ป่วยเอดส์ นิมิตร์ยอมรับว่าวัดก็อาจเป็นที่พึ่งในเรื่องนี้ได้ แต่ควรจะเป็นที่พึ่งชั่วคราวในการรักษาตัวเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่ที่คนจะเอาผู้ป่วยไปทิ้งให้เสียชีวิตที่วัด
“กรณีผู้ป่วยที่ตรวจพบการติดเชื้อช้า แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ดีและเหมาะสมในเวลาระยะหนึ่งก็จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นจนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ตั้งแต่ทำงานมา ผมเห็นคนที่อยู่ในภาวะแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ถ้ายังจะต้องมีการเรี่ยไรระดมทุนแบบวัดพระบาทน้ำพุก็ต้องชัดเจนว่าเป็นที่พึ่งพิงชั่วคราวที่จะช่วยให้ผู้ป่วยค่อยๆ ดีขึ้นแล้วกลับคืนสู่สังคมได้
“ถ้าจําเป็นต้องมีบ้านพักแบบนี้ การเรี่ยไรต้องโปร่งใส ต้องกํากับและตรวจสอบได้ แล้วต้องสร้างความเข้าใจว่าไม่ใช่สถานที่ที่จะเอาผู้ติดเชื้อเอชไอวีไปปล่อย บ้านยังคงเป็นปราการสําคัญที่สุดสำหรับผู้ติดเชื้อ แต่ให้ดีที่สุดคือ ต้องมีการตรวจเชื้อให้เร็วและเข้าสู่การรักษาให้เร็ว แล้วระบบบ้านพักแบบนี้จะไม่มีความจําเป็นใดๆ”
ในระยะยาว นิมิตร์ชวนคิดถึงการพัฒนาระบบสุขภาพที่มีอยู่ให้รองรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่บ้านได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยในระยะที่ยังไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้และจำเป็นต้องมีการดูแลใกล้ชิด จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลเบื้องต้นและให้การสนับสนุนครอบครัวจนสถานการณ์ดีขึ้น
สุดท้ายเขาอยากสื่อสารถึงทุกหน่วยบริการในระบบสุขภาพว่า ตอนนี้ระบบเตรียมพร้อมสนับสนุนการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี-เอดส์อยู่แล้ว จึงต้องช่วยกันในการบริการการตรวจและการรักษาอย่างรวดเร็ว
“เราต้องช่วยกัน ถ้าเจอใครที่ติดเชื้อก็ช่วยให้เขาเข้าสู่การรักษาโดยเร็ว นั่นเท่ากับว่าเรากำลังทําบุญให้ทั้งสังคมด้วยการตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อ” นิมิตร์กล่าวปิดท้าย