เฮติ: จากอาณานิคมอันมั่งคั่ง สู่ประเทศที่ยากจนที่สุดในลาตินอเมริกาและแคริบเบียน

ลาตินอเมริกาและแคริบเบียนนั้นเป็นภูมิภาคที่มีความเหลื่อมล้ำในทุกมิติสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยประเทศที่ยากจนที่สุดนั้นคือ ‘เฮติ’

องค์ความรู้ทางด้านเฮติในสังคมไทยนั้นมีอยู่น้อยมาก ในคราวนี้ผมจึงนำท่านผู้อ่านไปรู้จักสภาพการเมืองการปกครองอย่างคร่าวๆ ของประเทศนี้ครับ

เฮตินั้นเดิมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาริสวิก (Treaty of Ryswick of 1697) ซึ่งแบ่งพื้นที่เกาะฮิสแปนิโอลาหนึ่งในสามทางด้านตะวันตกให้อยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศส ส่วนพื้นที่อีกสองในสามทางด้านตะวันออกตกอยู่ภายใต้การดูแลของสเปน ซึ่งปัจจุบันก็คือสาธารณรัฐโดมินิกัน

ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เฮติ หรือในขณะนั้นคือซานโดมิงเก เป็นอาณานิคมที่มีความมั่งคั่งที่สุดในบรรดาอาณานิคมทั้งหมดของฝรั่งเศสในเขตโลกใหม่ อันเนื่องมาจากรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำตาล กาแฟ และคราม โดยมีแรงงานทาสแอฟริกันเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ

อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านมากว่า 200 ปีนับจากการประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1804 เฮติก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกา มีความรุนแรงทางการเมืองต่อเนื่องมิได้ขาด มีการก่อรัฐประหารไม่น้อยกว่า 40 ครั้ง มีรัฐบาลเผด็จการทั้งพลเรือนและทหาร และยังถูกต่างชาติแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อังกฤษ ถึงกระทั่งโดนสหรัฐอเมริกาในสมัยของประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ส่งกองทัพอเมริกันเข้าไปยึดครองตั้งแต่ปี 1915-1934 ตามนโยบายเรือปืน (Gunboat Diplomacy)[1]

ความแตกแยกทางเศรษฐกิจและสังคมได้ฝังรากลึกอยู่ในเฮตินับตั้งแต่สมัยอาณานิคม ที่ดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของชนชั้นนำเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ขณะที่แรงงานส่วนใหญ่ในไร่อ้อยคือทาสผิวดำที่มาจากแอฟริกา กระทั่งในปี 1804 ทาสผิวดำได้ลุกขึ้นมาปฏิวัติขับไล่ฝรั่งเศสออกไป ถือเป็นการลุกฮือนองเลือดอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกาและยังเป็นการพลิกหน้าประวัติครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของโลก เพราะนี่คือครั้งแรกของโลกที่ทาสสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ขับไล่นายทาสแล้วสถาปนาตัวเองขึ้นมาปกครองประเทศ อย่างไรก็ตามการปฏิวัติในครั้งนั้นก็ได้ทำลายระบบเศรษฐกิจของเฮติไปอย่างย่อยยับ และยังก่อให้เกิดสุญญากาศทางกลางเมือง โดยชนชั้นปกครองถูกแทนที่ด้วยผู้นำเผด็จการทั้งทหารและพลเรือนที่เรียกกันว่ากลุ่ม Affranchis ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างนายทาสชาวฝรั่งเศสกับทาสแอฟริกัน (ในอาณานิคมของอังกฤษและสเปนเรียกพวกลูกผสมระหว่างนายทาสผิวขาวกับทาสแอฟริกันว่า Mulattoes)

ภาวะเศรษฐกิจที่ระส่ำระสาย บวกกับหนี้ต่างประเทศที่ทับถมซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เฮติต้องชำระค่าเสียหายของการสูญเสียรายได้จากการค้าทาสให้แก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนถึง 90 ล้านฟรังซ์ เพื่อแลกกับการที่ฝรั่งเศสจะยอมรับว่าเฮติเป็นประเทศเอกราชและสิ้นสุดภาวะสงครามระหว่างกัน ได้ก่อให้เกิดการจลาจลนับครั้งไม่ถ้วน จนนำไปสู่การแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อาทิ ถนน สะพาน ระบบชลประทาน โรงพยาบาล และโรงเรียน จะได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การวางรากฐานประชาธิปไตยในเฮติกลับล้มเหลว จนนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการของตระกูล Duvalier เป็นเวลาร่วม 30 ปี

François Duvalier หรือ ‘Papa  Doc’ ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 1957 เขาใช้ความเชื่อจากลัทธิวูดูผสมผสานกับการให้ความสำคัญแก่คนผิวดำในชนบทและการใช้กองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมาย Tonton Macoutes ในการปกครองประเทศและปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วย ต่อมา Papa Doc ประกาศเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพในปี 1964 ก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ลูกชาย Jean-Claude Duvalier หรือ ‘Baby Doc’ ในปี 1971 ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกับการถ่ายโอนอำนาจจากพ่อไปสู่ลูกในเกาหลีเหนือ เริ่มจากคิม อิลซ็อง ไปสู่คิม จองอิล และต่อไปยังคิม จองอึนผู้เป็นหลาน

Baby Doc ดำเนินนโยบายบริหารประเทศแตกต่างไปจากบิดาของเขา เขาได้หันไปร่วมมือกับกลุ่มชนชั้นนำ Affranchis ในเมืองหลวงอย่างกรุงปอร์โตแปรงซ์ ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจกับคนที่เคยสนับสนุน Papa Doc ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในเขตชนบท รวมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากศาสนจักรคาทอลิก ทำให้เกิดการต่อต้าน Baby Doc ไปทั่ว ท้ายสุดเมื่อสหรัฐอเมริกาถอนการสนับสนุน รัฐบาลของ Baby Doc ก็ถึงกาลล่มสลาย จนตัวเขาต้องลี้ภัยไปฝรั่งเศสในเดือนกุมภาพันธ์ 1986

หลังจากนั้นมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 1987 อันนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 1990 ซึ่ง Jean-Bertrand Aristide อดีตนักบวชในคริสต์ศาสนาได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะคะแนนเสียงจากคนยากจน สร้างความตระหนกให้กับกลุ่มชนชั้นนำและกองทัพ จนนำไปสู่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล Aristide ในเดือนกันยายน 1991 มีการประมาณการว่าผู้ที่สนับสนุน Aristide ไม่น้อยกว่า 3,000 คน ถูกสังหารโดยกองทัพและกองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมาย ส่วนตัว Aristide เอง และผู้สนับสนุนเขาอีกนับพันคนได้ลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา

ภายหลังการเจรจาต่อรองระหว่าง Aristide กับกองทัพ ผนวกกับแรงกดดันจากนานาชาติต่อรัฐบาลทหารของเฮติภายใต้การนำของ Raoul Cédras และคำขู่ของสหรัฐอเมริกาที่จะแทรกแซงทางการทหาร ทำให้ Aristide ได้หวนกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งในเดือนตุลาคม 1994 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้นำประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเสรีให้กลับคืนไปสู่อำนาจอีกครั้งภายหลังจากการถูกรัฐประหาร (แต่ในความพยายามก่อการรัฐประหารในเวเนซุเอลาเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีชาเวซซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ในปี 2002 สหรัฐอเมริกากลับให้การสนับสนุนผู้ก่อการรัฐประหาร)

การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อมาในปี 1995 ปรากฏว่า René Préval ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นมากกว่าร้อยละ 80 อย่างไรก็ตามเมื่อ Préval ก้าวขึ้นรับตำแหน่งในปีถัดมา เขาก็ต้องเผชิญความยุ่งยากในรัฐสภา อดีตประธานาธิบดี Aristide และผู้สนับสนุนได้แยกตัวออกไปตั้งกลุ่มการเมืองใหม่ คือ Fanmi Lavaras (FL) การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วไปในปี 1997 มีการซื้อขายเสียงกันอย่างดาษดื่น ประชาชนเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง นำไปสู่การชะงักงันทางการเมือง ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติเกิดความขัดแย้งกันจนไม่สามารถที่จะประนีประนอมกันได้ กำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปลายปี 1998 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่งผลให้ไม่มีตัวแทนของประชาชนอยู่ในรัฐสภา รัฐบาลของ Préval บริหารประเทศโดยออกเป็นบทบัญญัติพิเศษ (rule by decree)

หลังจากล่วงเลยมาเกือบสามปี การเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรก็ถูกจัดให้มีขึ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2000 ถึงแม้จะมีผู้ออกมาลงคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 60 และมีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก แต่ผลการเลือกตั้งถูกกล่าวหาจากฝ่ายค้านว่า รัฐบาลโกงการเลือกตั้งโดยใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซง นอกจากนี้ฝ่ายค้านยังโจมตีคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และวางตัวไม่เป็นกลาง มีการเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ นานาชาติภายใต้การนำของ The Organization of American States and the Caribbean Common Market and Community (CARICOM) พยายามยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติความขัดแย้งดังกล่าวได้ ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านจึงบอยคอตการเลือกตั้งประธานาธิบดีและวุฒิสมาชิกที่จัดให้มีขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายนปีเดียวกัน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนั้น Aristide กลับมาได้รับชัยชนะอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 92 และพรรค Fanmi Lavaras ก็ได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา

อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายทางการเมืองยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดการประหัตประหารกันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุน  Aristide และฝ่ายค้าน ประกอบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ก่อให้เกิดการลุกฮือของประชาชนต่อต้านรัฐบาลโดยเริ่มขึ้นจากทางตอนเหนือของประเทศ และท้ายที่สุดก็ได้บุกเข้ายึดกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประธานาธิบดี Aristide ต้องลี้ภัยทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2004 ขณะที่สหประชาชาติได้ส่งกองกำลังทหารภายใต้การนำของกองทัพบราซิลเข้ามาดูแลรักษาสันติภาพ มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของ Boniface Alexandre และจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปี 2006 ซึ่ง René Préval สามารถกำชัยชนะเหนือคู่แข่งกว่า 30 คน กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง โดยมีปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขาดดุลทางการคลัง เป็นสิ่งที่รอคอยให้รัฐบาลของ Préval เข้ามาแก้ไขอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ในเดือนเมษายน 2008 นายกรัฐมนตรี Jacques-Édouard Alexis ถูกบีบให้ลาออกเนื่องจากไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และนายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ Michèle Pierre-Louis ซึ่งเป็นสุภาพสตรี ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียงแค่ 14 เดือน เพราะถูกวุฒิสภาลงมติปลดด้วยข้อกล่าวหาเดียวกับ Alexis

จากพัฒนาทางการเมืองของเฮติข้างต้นจะเห็นได้ว่าเฮติขาดสถาบันทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และปัญหาความแตกต่างและแบ่งแยกของประชาชน ทำให้การพัฒนาของเฮตินั้นเป็นไปได้ช้า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ประกอบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในปี 2010 ที่นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอันประเมินค่ามิได้ ยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานของเฮติเกือบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ จากอาณานิคมที่มั่งคั่งเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน เฮติจึงกลับกลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาคในปัจจุบัน

References
1 เห็นได้ว่านโยบายการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก รูปแบบของการยึดครองอิรักในหลังสงครามทะเลทรายในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ก็ไม่ได้แตกต่างจากเหตุการณ์การยึดครองเฮติ ดังนั้นเมื่อสหรัฐอเมริกาแสดงบทบาทผู้นำในการให้ความช่วยเหลือเฮติต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2010 ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) แห่งเวเนซุเอลาในขณะนั้น ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐอเมริกาจึงออกมาโวยวายว่าสหรัฐอเมริกากำลังมีความพยายามที่จะกลับไปยึดครองเฮติอีกครั้งหนึ่ง

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save