ทอง

ทองคำประจำนาม: ว่าด้วยเรื่องชื่ออันเป็นมงคล

ทอง

เรื่องหนึ่งที่ต้องชื่นชมคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อย่างมาก คือการตั้งชื่อบุตรและบุตรี

เราจะเห็นชัดว่าชื่อของลูกๆ คุณทักษิณและคุณหญิงพจมานนั้น ไพเราะมากอย่างไม่มีใครเถียงได้ ที่สำคัญคือ เป็น ‘คำไทยแท้’ เกือบทุกคำเสียด้วย การตั้งชื่อที่ว่านี้แสดงให้เห็นถึงความประณีตและความรักอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ชื่อของบุตรชายคนโตอย่าง ‘พานทองแท้’ ตามด้วยบุตรีคนรองอย่าง ‘พิณทองทา’ และชื่อของบุตรีคนสุดท้องที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของไทยไปแล้วอย่าง ‘แพทองธาร’

เพื่อนคนหนึ่งถามสนุกๆ ขึ้นมาว่า ในสามชื่อนี้ ชื่อไหนน่าจะ ‘รวย’ ที่สุด ซึ่งถ้าพิจารณาจากปริมาณทองคำในชื่อ ก็ต้องบอกว่าชื่อ ‘แพทองธาร’ นี่แหละครับ ที่ร่ำรวยทองคำที่สุด เพราะชื่อพานทองแท้และพิณทองทานั้น อย่างไรเสียก็เป็นชื่อสิ่งของที่เป็นชิ้นๆ แต่การมีทองคำระดับเป็น ‘แพ’ ที่หลั่งไหลมาเป็น ‘ธาร’ (หรือลำธาร) นั้น แปลว่าต้องมีทองมากมายมหาศาลจริงๆ

มีคำมงคลหลายคำนะครับ ที่คนไทยเรานิยมนำมาใช้ตั้งชื่อลูก คำว่า ‘ทอง’ และคำไวพจน์ที่หมายถึงทองนั้น ถือเป็นหนึ่งในคำยอดนิยม และนอกจากคำว่าทอง หลายคนอาจนึกถึงคำว่าสุวรรณ แต่ยังมีอีกหลายคำ ในหนังสือ ‘คลังคำ’ ของ ดร.นววรรณ พันธุเมธา บอกว่ามีตั้งแต่ กนก กัมพู กาญจน์ กาญจนา กำพู คำ จารุ จามีกร ตปนียะ มาศ ไร สุวรรณ โสณ หิรัณย์ หิรัญ เหม และอุไร นอกจากนี้ยังมีบางแหล่งข้อมูล บอกว่ามีคำอื่นๆ อีก เช่น ชาตรูป หาดก แต่ไม่น่าจะนิยมนำมาตั้งเป็นชื่อ

นอกจากนี้ ทองที่เป็น ‘ทองแท้’ ยังมีชื่อเรียกอีกเยอะ เช่น ทองนพคุณ ทองเนื้อเก้า (ซึ่งล้ำค่าที่สุด เพราะทองมีตั้งแต่ทองเนื้อสี่ ห้า หก เจ็ด แปด จนถึงเก้า อย่างทองเนื้อหก จะเรียกว่า ‘ทองดอกบวบ’ เพราะมีสีเหลืองอ่อนกว่า) ทองธรรมชาติ หรือทองชมพูนุท เป็นต้น

คำว่าทอง หรือคำอื่นๆ ในความหมายเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้เป็นชื่อคนเยอะมาก ทำให้เกิดคำถามสำหรับคนที่สนใจเรื่องเชิงภาษาและสังคม ว่าทำไมคนไทยถึงนิยมตั้งชื่อลูก (และชื่อตัวเอง) ให้มีคำว่าทองและคำที่หมายถึงทอง

คำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาคือ คำที่หมายถึง ‘ทอง’ อาจถือกันว่าเป็นคำมงคล อย่างน้อยที่สุดก็มีความหมายเชิงบวก หมายถึงโลหะแข็งที่งดงามเปล่งประกาย เป็นหนึ่งในธาตุอิสระตามธรรมชาติ จึงมีที่ทางของตัวเองอยู่ในตารางธาตุโดยเฉพาะ เรียกว่า Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ที่สำคัญคือ ทนทานต่อการขึ้นสนิมได้ดีมาก แถมยังอ่อนและเหนียว จึงตีขึ้นรูปได้หลากหลายมาก ถ้าทำให้เป็นแผ่นบาง ก็จะบางเฉียบได้ถึง 0.00005 นิ้ว โดยไม่มีอาการปริแตก เรียกได้ว่ามีความสามารถในการขึ้นรูปได้เป็นอย่างดี

อาจถือได้ว่าทองเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในรูปพรรณแบบ ‘สามกษัตริย์’ อันประกอบไปด้วยทอง เงิน และนาก เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นได้เลยว่าทองคำดูจะล้ำค่ามากกว่า และที่มนุษย์ถือว่าทองคำล้ำค่า คงเพราะทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นต่อให้เจออากาศมากแค่ไหน ก็จะไม่หมอง ที่สำคัญคือแข็งแกร่ง ไม่ละลายในกรดใดๆ (ยกเว้นต้องเอากรดดินประสิวและกรดเกลือมาผสมกัน แล้วเอาทองคำใส่เข้าไปถึงจะละลายช้าๆ)

ว่ากันว่า คุณสมบัติสำคัญของทองคำมีอยู่สี่อย่าง คือ ‘งดงามมันวาว’ (lustre) ‘คงทน’ (durable) ‘หายาก’ (rare) และ ‘นำกลับมาใช้ใหม่ได้’ (reusable) คือสามารถหลอมใหม่ได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ทองคำกลายเป็นโลหะที่มนุษย์หมายปองมาแต่โบราณ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมมนุษย์เราจึงเห็นว่าการตั้งชื่อลูกหรือชื่อตัวเองให้เกี่ยวข้องกับทองนั้นเป็นเรื่องมงคล

ที่สำคัญ การนิยมตั้งชื่อลูกหรือชื่อตัวให้เกี่ยวกับทองนั้น ไม่ได้มีแค่ในวัฒนธรรมไทยเท่านั้นนะครับ ในจีนนั้นมีเยอะเลย ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือคำว่า ‘กิม’ (金) เช่น ชื่อของ ‘กิมย้ง’ ผู้เขียนเรื่อง มังกรหยก และคำว่ากิม ก็กลายไปเป็นคำว่า ‘คิน’ (金) ในภาษาญี่ปุ่นด้วย เห็นได้ในคำว่า ‘คินสึงิ’ (金継ぎ) ซึ่งคือศาสตร์การซ่อมแซมภาชนะแตกบิ่นเสียหายของชาวญี่ปุ่นโดยการเชื่อมรอยร้าวด้วยทอง ส่วนในอินเดียนั้นไม่ต้องถาม เพราะคำว่า ‘สุวรรณ’ (suvarna) เราหยิบยืมมาใช้ในภาษาไทยอยู่แล้ว นอกจากนี้ ในภาษาอาหรับ ฮีบรู หรือสเปน ก็มีการนำคำที่เกี่ยวข้องกับทอง มาใช้เป็นชื่อเหมือนกัน

นอกจากเรื่องคุณสมบัติของทองแล้ว ยังมีผู้วิเคราะห์เอาไว้ด้วยว่า การตั้งชื่อให้มีคำว่า ‘ทอง’ หรือคำอื่นๆ ที่มีความหมายเดียวกัน เป็นเพราะทองนั้นสื่อถึงความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งอาจตีความเป็นค่านิยมทางวัตถุและความปรารถนาในความมั่งคั่ง ถ้าเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ลูก ก็มักสะท้อนถึงความคาดหวังและความ ‘ปรารถนาดี’ ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกตามไปด้วย

คำถามถัดมาคือ แล้ว ‘ชื่อ’ มีผลต่อ ‘ความสำเร็จ’ ในชีวิตของเราจริงไหม?

ในโลกตะวันตก มีงานหลายชิ้นศึกษาเรื่องนี้ แม้ไม่เกี่ยวอะไรกับคำว่า ‘ทอง’ เพราะดูเหมือนวัฒนธรรมตะวันตก การตั้งชื่อที่เกี่ยวข้องกับทองไม่น่าจะมี ‘ความหมาย’ แบบเดียวกับตะวันออก (เช่นชื่อ Goldie อาจไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งหรือทองคำ แต่อาจหมายถึงผมบลอนด์หรือผมสีทอง ส่วนเรื่องทองจริงๆ ก็ไม่ค่อยมีนัยบวกเท่าไหร่ เช่นเรื่องของกษัตริย์ไมดาส เป็นต้น) งานเหล่านี้ก็น่าสนใจไม่น้อย

อย่างการศึกษาที่มีชื่อว่า Name Uniqueness Predicts Career Choice and Career Achievement ที่ชวนเราตั้งคำถามว่า ชื่อของคนมีความสัมพันธ์กับการเลือกอาชีพและความสำเร็จในอาชีพหรือเปล่า งานชิ้นนี้ไปศึกษางานอื่นๆ อีกเจ็ดชิ้น รวมจำนวนกลุ่มตัวอย่างมากมายมหาศาลถึง 7.38 ล้านคน แล้วก็พบว่าอาจมี ‘สหสัมพันธ์’ (correlation) ว่า ชื่อที่มีความเป็นเอกลักษณ์ (unique) ซึ่งคือชื่อที่มีคนอื่นใช้น้อยนั้น สามารถใช้ทำนายได้ว่าผู้ที่ใช้ชื่อเหล่านี้มักจะเลือกอาชีพที่มีความเป็นเอกลักษณ์มากกว่า พูดง่ายๆ คือ ชื่อแปลกกว่าคนอื่น เป็นได้ที่จะเลือกทำงานแปลกกว่าคนอื่นด้วย (แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นเหตุเป็นผลต่อกันนะครับ เพราะเป็นแค่สหสัมพันธ์) แถมยังสามารถทำนายความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่ง ที่ไปดูว่าพวกผู้อพยพมาอยู่ในอเมริกา ถ้าเปลี่ยนชื่อตัวเองแล้วจะประสบความสำเร็จในด้านการทำงานหรือการเงินมากขึ้นไหม งานชิ้นนี้ชื่อน่าสนใจมาก คือ The Economic Payoff of Name Americanization ซึ่งไปเก็บตัวอย่างของผู้อพยพย้อนกลับไปหลายสิบปี โดยดูว่า ถ้าคนคนนั้นมีชื่อเดิมจากภาษาที่อาจฟังดูแปร่งหู เช่น โจวันนี แล้วเปลี่ยนมาเป็นชื่อที่ฟังดู ‘เป็นอเมริกัน’ เช่น จอห์น หรือวิลเลียม จะมีหน้าที่การงานดีขึ้นไหม ผลการวิจัยพบว่าจะมีรายได้ (occupation-based earnings) เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 14% ซึ่งแปลว่า ‘ชื่อ’ นี่สำคัญไม่น้อยเหมือนกัน

เชคสเปียร์อาจเคยกล่าวว่า นามนั้นสำคัญไฉน? ที่เราเรียกกุหลาบนั้น แม้เรียกว่าอย่างอื่นก็หอมรื่นอยู่เหมือนกัน (What’s in a name? That which we call a rose by any other name would smell just as sweet.) แต่งานวิจัยสมัยใหม่บอกเราขัดแย้งกับเชคสเปียร์นะครับ ว่าที่จริงแล้ว ‘ชื่อ’ นั้นสำคัญฉะนี้นี่เอง สำคัญแม้กระทั่งต่อรายได้และความมั่งคั่งในชีวิตทีเดียวเชียว

เพราะฉะนั้น การตั้งชื่อลูกให้มีคำว่า ‘ทอง’ (หรือคำอื่นๆ ที่มีความหมายเดียวกัน) จึงไม่ใช่แค่ชื่อแบบ ‘นามนั้นสำคัญไฉน’ ของเชคสเปียร์ แต่มีความหวังเต็มเปี่ยมบางอย่างวางอยู่ในชื่ออันไพเราะประณีตนั้นด้วย

หลายคนอาจจะมองว่า ชื่อทำนองนี้แฝงไปด้วยความปรารถนาในความมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งในด้านหนึ่งก็จริง แต่ถ้ามองด้วยวิธีคิดแบบจีนที่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของขงจื่อ เราจะเห็นว่าขงจื่อไม่ได้ปฏิเสธความมั่งคั่งเสียทีเดียวนะครับ ต่างจากปรัชญาตะวันตกซึ่งมีที่มาจากชีวิตพระเยซูผู้เกิดมาเป็นลูกของช่างไม้ยากจน ทำให้นักบวชของคริสตศาสนายึดความยากจนเป็นหนึ่งในสรณะสำคัญ

ขงจื่อสอนไว้ในคัมภีร์หลุนอวี่บทที่ 4 ข้อที่ 5 ว่า “ความมั่งคั่งร่ำรวย รวมไปถึงยศฐาบรรดาศักดิ์นั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ล้วนปรารถนา แต่จะต้องได้มาด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง ถ้าได้มาด้วยวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ควรยึดถือเอาไว้” (富与贵,是人之所欲也,不以其道得之,不处也。) นอกจากนี้ ขงจื่อยังสอนว่า มนุษย์เราควรพัฒนาคุณธรรมมากกว่าแสวงหาความร่ำรวย และแม้เราควรมีความรู้ความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน แต่ก็ไม่ควรไปยึดติดกับความมั่งคั่ง เราควรให้ความมั่งคั่งเป็น ‘ผลพลอยได้’ จากการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมมากกว่าที่จะเอาความมั่งคั่งไปเป็นเป้าหมายหลักของชีวิต ซึ่งก็หมายรวมไปถึงการทำงานต่างๆ ด้วย ในคัมภีร์หลุนอวี่บทที่ 4 ข้อ 16 มีอีกตอนหนึ่ง บอกว่า “อย่าไปกังวลว่าจะไม่มีตำแหน่ง แต่ให้กังวลว่าจะไม่มีความสามารถ” (不患无位,患所以立) เพราะเมื่อมีความสามารถหรือมีปัญญาแล้ว ก็จะได้ใช้ทรัพยากรที่ตัวเองมีเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้

ความสำคัญของชื่อ จึงสะท้อนให้เห็นวิธีคิดและการให้คุณค่า ที่จะพาเราฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต ให้บรรลุเป้าหมายที่สมค่ากับความมงคลในชื่อของเราแต่ละคน ที่สุดแล้ว ถ้าคิดอย่างขงจื่อได้ – ชื่อทองประจำนาม ก็จะทวีความสำคัญและกลายเป็นมงคลได้สมดังความหวังเต็มเปี่ยมที่วางอยู่ในการตั้งชื่ออันไพเราะประณีตนั้น ไม่ว่าเราจะมีชื่อว่าอะไร – หรือมีที่มาจากไหนก็ตาม

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save