จาก ‘ฟุมิโอะ คิชิดะ’ สู่ ‘ชิเงรุ อิชิบะ’

จากฟุมิโอะ คิชิดะ岸田文雄)

นาย ฟุมิโอะ คิชิดะ(岸田文雄)ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคแอลดีพี(自民党)พรรครัฐบาลที่มีเสียงข้างมากของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2021 ต่อจากนาย โยชิฮิเดะ สุงะ(菅義偉)อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี โดยในวันที่ 4 ตุลาคม 2021 มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อเสนอชื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่านายคิชิดะได้รับการลงคะแนนให้เป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 100 ของญี่ปุ่น

วันที่ 14 ตุลาคม 2021 นาย คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศยุบสภาหลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียง 10 วัน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(衆議院選挙)ในวันที่ 31 ตุลาคม 2021 นายคิชิดะสามารถนำชัยชนะมาให้พรรคแอลดีพีได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง เป็นไปตามที่เคยประกาศไว้เมื่อตอนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคแอลดี แม้ว่าพรรคแอลดีพีจะได้ที่นั่งน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมา 12 ที่นั่ง แต่ก็สร้างความมั่นใจให้แก่นายคิชิดะเพราะผลการเลือกตั้งสะท้อนว่าประชาชนยังสนับสนุนพรรครัฐบาลไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าคะแนนนิยมพรรคจะตกต่ำลงในช่วงที่รัฐบาลเผชิญปัญหาการจัดการกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิดในช่วงรัฐบาลก่อนหน้า

พรรคแอลดีพีสามารถครองใจคนชนบททั่วประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดห่างไกลทางภาคเหนือและแถบทะเลญี่ปุ่นที่อากาศหนาวเย็น และยังมีอีกหลายจังหวัดที่ชนะยกจังหวัด เพราะรัฐบาลได้ทุ่มเทงบประมาณสร้างสาธารณูปโภคให้ความสะดวกสบายแก่ประชาชน ทั้งถนนและทางหลวง เพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับส่วนกลาง แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ การคมนาคมและการสาธารณสุขก็ไม่ได้ด้อยกว่าในเมืองใหญ่เลย 

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2021 มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า นายฟุมิโอะ คิชิดะ หัวหน้าพรรคแอลดีพี ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลำดับที่ 101 ด้วยคะแนนเกินกึ่งหนึ่งเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากสมัยแรกที่อยู่ในตำแหน่งเพียง 10 วัน เรียกได้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แต่หน้าเดิม

นายคิชิดะได้ดำเนินนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่ คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 อย่างเร็วที่สุด จ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด เงินช่วยครอบครัวที่มีบุตรและผู้ยากไร้ อีกทั้งริเริ่มนโยบายทุนนิยมใหม่(新しい資本主義)ด้านการต่างประเทศ นายคิชิดะมีบทบาทในการประชุมระดับนานาชาติในหลายประเทศ ทั้งด้านการเมืองและปัญหาระดับโลก เช่น การประชุม COP 26 ที่ว่าด้วยประเด็นสิ่งแวดล้อม กล่าวได้ว่า นายคิชิดะได้นำญี่ปุ่นสู่เวทีโลก และในสมัยของคิชิดะ ญี่ปุ่นยังเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G7 ที่จังหวัดฮิโรชิมา(G7広島サミット)เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2023 นอกจากนี้ นายคิชิดะยังมีความสนิทสนมกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ทำให้มีความร่วมมือที่เกี่ยวกับภูมิภาคนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม นายคิชิดะต้องเผชิญกระแสต่อต้านจากประชาชนอย่างมาก กรณีนายชินโซ อาเบะถูกลอบยิงเสียชีวิต ขณะปราศรัยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครวุฒิสมาชิกของพรรคแอลดีพี ที่จังหวัดนารา เมื่อ 8 กรกฎาคม 2022 หลังวันเกิดเหตุเพียง 6 วัน เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่ารัฐบาลจะจัด ‘รัฐพิธีศพ’(国葬)ให้แก่นายอาเบะในวันที่ 27 กันยายน โดยมีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพและตั้งงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด เรียกได้ว่านายคิชิดะจับกระแสความรู้สึกของประชาชนที่อาลัยกับการจากไปของนายอาเบะ และต้องการเสียงสนับสนุนภายในพรรคจากสายอนุรักษนิยมใน ‘มุ้งอาเบะ’(安倍派)ซึ่งตามมาด้วยเสียงต่อต้านว่าทำไมเอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้เพื่อคนคนเดียว 

ความจริงที่ทำให้ทุกคนตกใจมากและเป็นแรงกระเพื่อมต่อต้านรัฐบาลไปทั่วประเทศ คือแรงจูงใจการลอบสังหารนายอาเบะ ซึ่งผู้ลอบสังหารโกรธแค้นที่นายอาเบะที่มีความเกี่ยวข้องกับ ‘โบสถ์แห่งความเป็นเอกภาพ’(旧統一教会)ที่แม่ของเขาเป็นสมาชิกและหลงเชื่ออย่างงมงาย บริจาคเงินจำนวนมากจนทำให้มีปัญหาทางการเงิน ครอบครัวแตกแยก เรื่องนี้ถูกขุดคุ้ยต่อ จนพบว่ามีนักการเมืองในพรรคแอลดีพีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนานี้ มีภาพถ่ายร่วมกันในงานต่างๆ และได้รับผลตอบแทนด้วยการสนับสนุนด้านต่างๆ ในการหาเสียง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ และยังมีประชาชนจำนวนมากที่หลงเชื่อและหมดตัวกับการบริจาคซื้อวัตถุมงคล จุดพลิกผันนี้ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจรัฐบาล   

คะแนนความนิยมรัฐบาลนายคิชิดะจึงตกต่ำลงอย่างมาก จนทำให้ต้องปรับคณะรัฐมนตรี(内閣改造)เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2022 ทั้งที่มีอายุไม่ถึง 1 ปี และเป็นระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังจากนายคิชิดะเพิ่งนำพรรคแอลดีพีคว้าชัยชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก นายคิชิดะให้ความมั่นใจว่าคณะรัฐมนตรีใหม่ทั้ง 19 คนไม่มีความด่างพร้อยหรือเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาดังกล่าว แต่กระนั้น ผู้คนก็ยังไม่คลายความสงสัย ยิ่งมีการขุดคุ้ยความเกี่ยวข้องของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยหลายคน ก็ยิ่งหนีความจริงไม่พ้น

อีกเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนรัฐบาลนายคิชิดะจนแทบล้มคว่ำ คือเรื่อง ‘เงินไม่โปร่งใส’(裏金問題)ในการลงบัญชีค่าใช้จ่ายทางการเมืองของแต่ละ ‘มุ้ง’(派閥)ในพรรค โดยเฉพาะมุ้งใหญ่สุด คือมุ้งนายอาเบะ  

แต่ละมุ้ง มี ‘ชมรม’ ที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน มีการจัดกิจกรรม ‘งานปาร์ตี้ระดมทุนเพื่อกิจกรรมการเมือง’(政治資金パーティー)มีการขายบัตรเข้าร่วมงาน หากสามารถขายบัตรได้เกินโควต้า ก็จะได้รับ ‘เงินทอน’(キックバック)ส่วนเกินนั้น แต่ที่น่าตกใจคือ มีบัญชีธนาคารที่รับโอนเงินค่าขายบัตรแยกต่างหากโดยไม่มีการลงบัญชีเป็นรายได้ จึงไม่ตรงกับจำนวนในบัญชีรายงานรายรับรายจ่ายที่ต้องเปิดเผยตามกฎหมายระเบียบเงินทุนเพื่อกิจกรรมการเมือง(政治資金規正法) อีกทั้งไม่มีการลงบัญชีเป็นรายจ่ายให้แก่ สส. ผู้รับเงินทอนด้วย

เมื่อตรวจย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2018 – 2022 พบเงินลักษณะนี้ในบัญชีมุ้งต่างๆ ของ สส. และแกนนำในมุ้งอาเบะ อีกกว่า 10 คนที่รับ ‘เงินทอน’ ก้อนใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกัน

จากเรื่องอื้อฉาวนี้ ทำให้นายคิชิดะจำเป็นต้องเรียกความเชื่อมั่นของพรรคกลับคืนมาโดยเร็ว ด้วยการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 14 ธันวาคม 2023 หลังจากเพิ่งปรับครั้งที่ 2 เมื่อ 13 กันยายน 2023 มิหนำซ้ำยังเป็นการปรับตำแหน่งใหญ่ที่เป็นคนในมุ้งอาเบะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอน

เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น ได้มีการแต่งตั้ง ‘คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง’(政治刷新本部)ของพรรค รวม 38 คน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ และได้มีมติกำหนดระเบียบเกี่ยวกับเงินทุนเพื่อกิจกรรมการเมืองให้มีความชัดเจนและโปร่งใส  แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม

ในที่สุด การดำรงอยู่ของมุ้งต่างๆ ในพรรคก็มาถึงจุดวิกฤต โดยมีเสียงเรียกร้องให้สลายทุกมุ้งในพรรคแอลดีพี นายคิชิดะประกาศยุบ ‘มุ้งคิชิดะ’ อย่างเป็นทางการเป็นมุ้งแรก ตามด้วยมุ้งอันดับ 5 คือมุ้งนายนิไค มุ้งใหญ่อันดับหนึ่งอย่างมุ้งนายชินโซ อาเบะ รวมถึงมุ้งนายโมริยามะ และมุ้งนายโมเตงิ ขณะนี้เหลือเพียงมุ้งใหญ่อันดับ 2 ของนายทาโร อาโสะ ที่ยังคงอยู่ ด้วยเหตุผลว่าเป็นมุ้งที่ไม่มีเรื่องเสียหาย ไม่จำเป็นต้องยุบตัวเอง อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่าการสลายมุ้งเป็นเพียงฉากหน้า  แต่ ‘สายใย’ ยังคเหนียวแน่นและเกี่ยวข้องไปทุกเรื่องภายในพรรค

นายคิชิดะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากพรรคฝ่ายค้านที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมแล้ว จึงสมควรยุติการบริหารงาน  พร้อมทั้งเรียกร้องให้นาย คิชิดะ และ สส. ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ลาออก นายคิชิดะไม่ลาออก แต่ประคองตัวเองผ่านแรงกดดันรอบด้าน พร้อมๆ กับคะแนนความนิยมรัฐบาลที่ตกต่ำลงอย่างมากจนน่าตกใจ อันมาจากความไม่เชื่อมั่นต่อพรรคแอลดีพีในหมู่ประชาชน ที่มีปัญหาอื้อฉาวไม่หยุด และทุกเรื่องยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมให้ประชาชนพอใจ

นายคิชิดะ ประคองตัวอยู่จนครบวาระ 3 ปี เขาประกาศไม่ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ปี 2024 นี้ ท่ามกลางความโล่งใจของผู้สนใจลงชิงตำแหน่ง การชิงชัยหัวหน้าพรรคแอลดีพีในครั้งนี้ มีการเปิดตัวผู้สมัครมากที่สุดที่เคยมีมา โดยมีถึง 9 คน ประกอบด้วย หญิง 2 คน และ ชาย 7 คน

สู่ ชิเงรุ อิชิบะ(石破茂)

วันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา พรรคแอลดีพีได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ คือ นาย ชิเงรุ อิชิบะ(石破茂)วัย 67 ปี อดีตเลขาธิการพรรคสมัยนายชินโซ อาเบะ เขาลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคครั้งแรก ปี 2008 ต่อมาปี 2012 พ่ายแพ้ให้กับนายอาเบะ แต่ยังคงลงสมัครอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 และ 4 ในปี 2018 และปี 2020 ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 ของเขา ซึ่งลงสมัครโดยไม่สังกัดมุ้งใดและไม่มีตำแหน่งใดในพรรคในสมัยนายคิชิดะ ดังนั้น ฐานเสียงสนับสนุนของเขาในพรรคจึงไม่เป็นปึกแผ่น แต่เขาก็เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในสมัยนายยาสุโอะ ฟุคุดะ และรัฐมนตรีเกษตรในสมัยนายทาโร อาโสะ

ในการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ นายอิชิบะสามารถเอาชนะคู่แข่งหญิงแกร่งสายอนุรักษนิยมอย่านางซานาเอะ ทาคาอิชิ(高市早苗)วัย 63 ปี ผู้เป็นรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจไปได้ ไม่นับว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากมุ้งนายชินโซ อาเบะ แต่ในรอบแรก นายอิชิบะได้คะแนนเป็นรอง นั่นหมายถึงมีการขับเคี่ยวกันระหว่าง ‘มุ้ง’ ในพรรค

ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 1 ตุลาคม 2024 นายชิเงรุ อิชิบะ ได้รับการลงคะแนนเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ลำดับที่ 102 ด้วยเสียงข้างมากในสภาของพรรคแอลดีพี แต่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคแล้ว ก็ใช่ว่าปัญหาที่เคยมีอยู่จะหมดไป

วันที่ 4 ตุลาคม 2024 นายอิชิบะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรก โดยกล่าววาจะขออุทิศกำลังกายกำลังใจเพื่อประชาชนและอนาคตของญี่ปุ่น จะเรียกความเชื่อมั่นคืนมา แก้ปัญหาในพรรคเกี่ยวกับการเมืองและเรื่องเงิน โดยสัญญาว่าจะทำการเมืองให้โปร่งใส  พร้อมสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ขึ้นค่าจ้างเพื่อให้สอดรับกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น อีกทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวรายได้น้อยและให้เงินช่วยเหลือการเลี้ยงบุตร 

นายอิชิบะประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม หลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหมาดๆ ได้เพียง 8 วัน และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 ตุลาคม

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มี สส.ที่เกี่ยวข้องเรื่องการเงินไม่โปร่งใส รวม 46 คนลงสนาม โดยพรรคแอลดีพียังส่งลงสมัครในนามพรรค 34 คน ส่วนอีก10 คน ซึ่งล้วนเป็นตัวหลักในปัญหาให้ลงสมัครในนามอิสระ และมี 2 คนลาออกจากพรรคไปเป็นผู้สมัครอิสระ มีข่าวรั่วออกมาว่าทางพรรคได้ให้เงินสนับสนุนการหาเสียงแก่สมาชิก 10 คนหลักที่เป็นตัวปัญหาคนละ 20 ล้านเยนด้วย นำมาสู่คำถามที่ว่าทำไมพรรคยังอยู่เบื้องหลังคนผิด ทั้งที่ประชาชนเบื่อหน่ายกับปัญหาต่างๆ ภายในพรรค และยังต้องดิ้นรนกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ค่าจ้างหยุดนิ่งมานาน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงพากัน ‘เซย์ No’(ノー)พรรคแอลดีพี

ผลคือพรรคแอลดีพีแพ้อย่างราบคาบ ได้มาเพียง 191 ที่นั่ง (น้อยกว่าเดิม 56 ที่นั่ง) และพรรคเล็กร่วมรัฐบาลอย่างพรรคโคเมได้มา 24 ที่นั่ง (น้อยกว่าเดิม 8 ที่นั่ง) รวมกันได้ 215 ที่นั่ง ซึ่งไม่เกินกึ่งหนึ่ง คือ 233 ที่นั่ง

ขณะที่พรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง คือ พรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย(立憲民主党)ได้มากถึง 148 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้น 98 ที่นั่ง) รวมกับพรรคเล็กอื่นๆ ได้ทั้งหมด 250 ที่นั่ง

อันที่จริง พรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตยก็เพิ่งได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2024 คือ นายโยชิฮิโกะ โนดะ(野田佳彦)วัย 67 ปี ผู้มากประสบการณ์ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี (2011-2012) ซึ่งจัดทัพเพื่อการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี นายโนดะจึงถือเป็นฝ่ายค้านที่น่าเกรงขาม 

ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 เป็นวันเปิดประชุมสภาฯ เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี นายอิชิบะพยายามเจรจากับพรรคเล็กแต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงได้ดึงตัวหลัก 6 คนของพรรคที่สอบผ่าน (จาก 10 คน) เข้าพรรคตามเดิม พรรคแอลดีพีเสนอชื่อ นายอิชิบะ ส่วนพรรคฝ่ายค้านใหญ่เสนอชื่อนายโนดะ หัวหน้าพรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านพรรคเล็กอื่นๆ ต่างก็เสนอชื่อตัวเอง

ในรอบแรก นายอิชิบะได้คะแนน 221 เสียง นายโนดะได้ 151 เสียง แต่ไม่มีผู้ใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (233 เสียง) ผู้ได้คะแนนอันดับหนึ่งและสองจึงต้องรับการโหวตอีกครั้งในรอบตัดสิน ครั้งนี้ นายอิชิบะได้ 221 เสียงตามเดิม ส่วนนายโนดะได้เสียงเพิ่มขึ้นรวม 160 เสียง สะท้อนว่าพรรคเล็กฝ่ายค้านที่เหลือต่างก็ยึดมั่นในนโยบายของตัวเอง ทำให้ท้ายสุดแล้ว ผู้ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 103 ก็คือนาย ชิเงรุ อิชิบะ

ที่ผ่านมา พรรคแอลดีเคยครองเสียงข้างมากมาโดยตลอด การเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องมีการลงคะแนนรอบสองอย่างครั้งนี้มาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว และนับเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 1885

ปัจจัยใหม่

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ในเวลาใกล้เคียงกัน ญี่ปุ่นมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ได้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีใหม่ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เช่นกัน ญี่ปุ่นจึงต้องตั้งรับความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาลใหม่สหรัฐอเมริกา ที่ล้วนเป็นคนละด้านกับนโยบายของนายโจ ไบเดน ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นมหามิตรที่มีความสัมพันธ์อันดีตลอดมาในสมัยรัฐบาลนายคิชิดะ

จึงเป็นที่น่าจับตาดูต่อไปว่านายชิเงรุ อิชิบะ จะสามารถพาญี่ปุ่นฝ่ากระแสความเปลี่ยนแปลงจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร และจะเผชิญแรงกดดันภายในประเทศในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปได้หรือไม่?

                                               

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save