1. ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นประเทศแรกในยุโรปที่รับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟมาจากตะวันออกกลาง แต่ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่ทำให้กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เมื่อคิดถึงในแง่ที่ว่าโรงกาแฟ (coffee house) เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นของการปฎิวัติทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส แมกซิมีเลียน โรเบสปิแอร์ ใช้โรงกาแฟนี่แหละเริ่มต้นแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
2. โรงกาแฟแห่งแรกของปารีส คือ Café de Procope เปิดประตูต้อนรับแขกมาตั้งแต่ปี 1686 โดยฟรานเชสโก โปรโกปิโอ เด คอลเตลลี (Francesco Procopio dei Coltelli) ผู้อพยพชาวซิซิลี ตั้งอยู่ในย่าน Rue de l’Ancienne Comédie ใกล้กับ Comédie-Française และกลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมสำหรับปัญญาชน นักเขียนและนักปรัชญา ในแทบจะทันที
Café de Procope มักได้รับเครดิตในการช่วยเผยแพร่กาแฟในฝรั่งเศสและกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการตรัสรู้ ซึ่งบุคคลสําคัญอย่างวอลแตร์ (Voltaire) ฌอง ฌาร์ก รุสโซ (Rousseau) ไปนั่งดื่มและถกปัญหาโลกแตกที่นั่นบ่อยๆ ทุกวันนี้ Café de Procope ยังคงเปิดดําเนินการอยู่ แต่ส่วนมากจะมีแต่นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนไปชมความเก่าแก่ของมันเสียมากกว่าคนฝรั่งเศส
3. แบรนด์กาแฟเก่าแก่ของฝรั่งเศสและเชื่อว่าคุณๆ น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง คือ Café Richard เข้าใจว่ามีตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราด้วย แต่เป็นลักษณะ B2B มากกว่า นี่คือแบรนด์ที่จัดหาเมล็ดกาแฟสำหรับใช้ในร้านอาหารทั่วฝรั่งเศส ว่ากันว่าเขามีเทคนิคการคั่วกาแฟแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศสเป็นจุดขาย จริงๆ มีแบรนด์กาแฟฝรั่งเศสที่โดดเด่นอื่นๆ ด้วย เช่น Lobodis, Carte Noire และ Malongo แต่ Café Richard ยังคงยืนหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
4. Café Richard ก่อตั้งโดย ปิแอร์ ริชาร์ด (Pierre Richard) ในปี 1950 ต่อมาได้ตั้งเป็นบริษัท Groupe Richard ให้บริการเรื่องกาแฟ ชา อุปกรณ์การชง และจัดหาเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา Café Richard กลายเป็นซัพพลายเออร์ชั้นนําให้ร้านกาแฟ ร้านอาหารและโรงแรมทั่วฝรั่งเศส
ปัจจุบันครอบครัวริชาร์ดยังคงดูแลธุรกิจนี้อยู่ แต่น่าเสียดายที่แม้จะเป็นหนึ่งกาแฟที่คนฝรั่งเศสภูมิใจ Café Richard กลับไม่มีโอกาสได้เสิร์ฟกาแฟในฐานะความภูมิใจของชาติแก่นักกีฬาโอลิมปิกคราวนี้
5. กาแฟที่ถูกเลือกให้เสิร์ฟในหมู่บ้านนักกีฬาหรือตามสถานที่สำคัญๆ ตามสนามแข่งขันไม่ใช่แบรนด์ของฝรั่งเศส แถมยังเป็นแบรนด์ที่มาจากประเทศคู่ปรับตลอดกาลอย่างอังกฤษ คือ Costa Coffee
6. Costa Coffee ตั้งขึ้นในปี 1971 โดยสองพี่น้องชาวอิตาลี บรูโนและเซอร์จิโอ (Bruno และ Sergio Costa) ในลอนดอน ตอนแรกพวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ค้าส่ง โดยจัดหากาแฟคั่วให้กับผู้จัดเลี้ยงและร้านกาแฟอิตาเลียนเฉพาะทาง พี่น้องคอสต้าพัฒนาสูตรกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เรียกว่า ‘มอคค่า อิตาเลีย’ (Mocha Italia) ซึ่งเป็นรากฐานของรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟคอสต้าจนถึงปัจจุบัน
7. ในปี 1978 ร้าน Costa Coffee แห่งแรกได้เปิดขึ้นบนถนน Vauxhall Bridge ในลอนดอน และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากกาแฟคุณภาพสูง รวมถึงบรรยากาศอบอุ่นของร้าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบรนด์ Costa Coffee ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในสหราชอาณาจักรและต่างประเทศ
8. ปี 1995 Whitbread ซึ่งเป็นบริษัทโรงแรมและร้านอาหารข้ามชาติขนาดใหญ่ของอังกฤษเข้าซื้อกิจการของ Costa Coffee เพื่อช่วยเร่งการขยายตัว ภายใต้ความเป็นเจ้าของของ Whitbread Costa Coffee กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่จุดพลิกผันของแบรนด์จริงๆ อยู่ตรงปี 2019
9. ปี 2019 Costa Coffee ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มโคคา โคล่า (The Coca-Cola Company) ในราคา 3.9 พันล้านปอนด์ (หรือประมาณ 178,900 ล้านบาท) การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของโคคา โคล่า ที่ต้องการขยายธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะถึงบางอ้อ เพราะโคคา โคล่าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกมายาวนาน ตั้งแต่ปี 1928 หรือ 90 ปีที่ผ่านมา
10. Costa Coffee จึงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโอลิมปิกปารีส 2024 ในฐานะพันธมิตรกาแฟอย่างเป็นทางการ กิจกรรมของคอสต้ามีตั้งแต่ ร้านจำหน่ายกาแฟแบบ Pop-Up Sites ที่มีตราสัญลักษณ์ของโอลิมปิกครั้งนี้ โดยมีแก้วสำหรับวนกลับมาใช้ใหม่และเพื่อการสะสมจำหน่าย มีบริการร้านกาแฟในหมู่บ้านนักกีฬาและสถานที่สําคัญอื่นๆ ในปารีสเพื่อให้บริการนักกีฬา รวมถึงมีเครื่องชงอัตโนมัติมากกว่า 110 เครื่องทั่วปารีสไว้บริการแก่คนทั่วไปอีกด้วย
ที่เจ๋งคือพนักงานคอสต้ายังมีสิทธิร่วมกิจกรรมการ ‘คัดตัวไปโอลิมปิก’ กล่าวคือพนักงานจากทั่วโลกสามารถลงชิงชัยในบริษัท โดยท้ายสุดบริษัทจะคัดเลือกพนักงาน 130 คนจากประเทศต่างๆ ที่คอสต้าไปเปิดทำการให้มาทำงานที่ปารีสในช่วงที่มีการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิก
11. อีกเรื่องที่น่าจะเป็นของฝรั่งเศส แต่ไม่ได้เป็น ก็คือ การชงแบบ French Press ที่ทุกคนน่าจะเคยผ่านตาเครื่องชงแบบกระบอกแก้วทรงสูงประมาณ 20 เซนติเมตร มีฝากดแบบลูกสูบที่มีตัวกรองเพื่อแยกกากกาแฟออกจากน้ำ เครื่องชงนี้แม้ชื่อแสนฝรั่งเศส แต่ทั้งประเทศที่มันเกิดและคนที่คิดค้นไม่เกี่ยวอะไรกับฝรั่งเศสเลย
12. วิธีการชงกาแฟและเครื่องชง French Press ถูกคิดค้นโดยนักออกแบบชาวอิตาลีชื่อ แอติลิโอ คาลิมานี (Attilio Calimani) ในปี 1929 ที่อิตาลี จุดเด่นคือกลไกตัวกรองกากกาแฟ ซึ่งไม่มีใครคิดมาก่อนในสมัยนั้น แต่ต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานของการชงแบบ French Press ในปัจจุบัน ระหว่างทางก็มีการพัฒนาการออกแบบ ทั้งขนาด ตัวกรอง ปัญหาคือคาลิมานีอาจไม่ใช่คนเดียวที่คิดนวัตกรรมนี้ เพราะแม้เขาจะอ้างว่าตนเป็นคนคิดค้นคนแรก แต่คนที่จดสิทธิบัตรคนแรกกลับเป็นฟาเลียโร บอนดานินี (Faliero Bondanini) ผู้จดสิทธิบัตรในปี 1958 ทำให้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในภายหลัง
อย่างไรก็ดี เครื่องชงชนิดนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในยุโรป เพราะใช้งานง่าย ซึ่งสถานที่ที่ฮิตที่สุด มีคนชอบมันมากที่สุด คุณพอเดาได้ไหมว่าที่ไหน ใช่แล้ว ฝรั่งเศส คนฝรั่งเศสชอบจนอยากให้ชื่อเป็นของเขาเองซะเลย นั่นเองจึงเป็นที่มาของชื่อ French Press
13. ขอให้สนุกกับการดื่มกินครับ
ถุงนี้ที่เปิดชง

นอกเหนือจากแบรนด์ Luckin Coffee ของจีนที่โตเร็วแล้ว Manner Coffee ก็ถือว่าเป็นอีกแบรนด์ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก
Manner Coffee ก่อตั้งโดย Han Yue และ Liang Xinyu ในปี 2015 เริ่มต้นจากการเป็นร้านกาแฟขนาดเล็กในเซี่ยงไฮ้และเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากการตกแต่งร้านที่เน้นสไตล์มินิมอล ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของกาแฟ Manner Coffee กลายเป็นผู้เล่นคนสําคัญในตลาดกาแฟของจีนโดยดึงดูดการลงทุนจากบริษัทใหญ่ๆ รวมถึง ByteDance เจ้าของ TikTok
ถุงนี้ผมได้มาจากเซี่ยงไฮ้ บ้านเกิดของ Manner คั่วมาในระดับค่อนข้างเข้ม จุดเด่นคือใช้เมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกในยุนนาน มาเบลนด์รวมกับเมล็ดกาแฟจากเยอร์กาเซฟฟี ประเทศเอธิโอเปียและจากกัวเตมาลา ถุงนี้เหมาะสำรับการชงแบบเครื่องเอสเพรสโซ หรือ French Press หอมคาราเมลและกลิ่นถั่วอัลมอนด์ดีเชียว