ทุกวันนี้ เราสามารถเห็นป้ายร้านอาหารต่างชาติฟอนต์ Tahoma ที่เขียนคำสะกดภาษาไทยอย่างผิดๆ ถูกๆ อยู่แทบทุกหน้าปากซอย เห็นไลฟ์สดขายสินค้านำเข้าราคาถูกแต่คุณภาพเสี่ยงดวงปรากฏอยู่เต็มหน้าฟีดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเห็นป้ายโฆษณาภาษาต่างประเทศขนาดยักษ์ที่บางป้ายก็มีเนื้อหาชวนทำนิติกรรมต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง
ธุรกิจต่างชาติเหล่านี้เผยตัวให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง คนไทยหลายคนจึงเริ่มรู้สึกกังวลกับทุนต่างชาติที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเซาะกร่อนบ่อนทำลายวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของคนหาเช้ากินค่ำ หลายภาคส่วนจึงเริ่มส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลทำอะไรสักอย่างเพื่อรับมือเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้มีอำนาจหลายคนจะเล่นละครบทใหญ่ ประกาศลั่นในทำนองว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดและจะกำราบทุนต่างชาติสีเทาให้สิ้นซาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีมาตรการรับมือใดที่ออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจต่างชาติยังเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าทวีคูณในทุกวันอีกต่างหาก
ละครเรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งออกฉายหน้าจอเป็นครั้งแรก แต่เป็นละครฉบับรีเมคที่นำแสดงโดยชนชั้นนำไทย กล่าวคือแม้จะมีความพยายามเล่นใหญ่ วางท่าถมึงทึง หรือวาดภาพให้ต่างชาติเป็นตัวร้ายที่ต้องต่อสู้ฟาดฟันเพื่อรักษาเอกราชของชาติไทย ทั้งคนในยุคก่อนที่เล่าเรื่องเองและคนยุคหลังที่นำเรื่องในอดีตมาขยี้ต่อ ได้แก่ การถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง การวิจารณ์ความตระหนี่ของนายทุนจีนในสมัยรัชกาลที่ 6 การควบคุมธุรกิจของคนจีนในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และการออกประกาศคณะปฏิวัติในปี 2515 เพื่อควบคุมธุรกิจของคนต่างด้าว แต่กระนั้น ชนชั้นนำสยามจำเป็นต้องพึ่งพาพ่อค้าวานิชต่างแดนในฐานะสะพานเชื่อมสยามกับตลาดโลก ชนชั้นนำสยามจึงผูกสัมพันธ์กับนักธุรกิจต่างชาติในหลังฉากเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กับโจมตีทุนต่างชาติในหน้าฉากเพื่อรักษาระดับความนิยมทางการเมืองภายในประเทศ
บทความนี้จะฉายภาพการเข้ามาของทุนต่างชาติในสยามตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงจนถึงสมัยสงครามเย็น เพื่อให้เห็นว่าทุนต่างชาติอันหอมหวนได้เย้ายวนให้ชนชั้นนำสยามแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่จำกัดเพียงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่รวมไปถึงผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย เพราะการมีอยู่ของ ‘คนต่างชาติ’ ในฐานะ ‘ความเป็นอื่น’ (otherness) สามารถนำไปใช้เป็นเหตุผลสำหรับการสร้างความชอบธรรมในการออกนโยบายชาตินิยมที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของชนชั้นนำเพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ดี นโยบายชาตินิยมที่พุ่งเป้าสกัดทุนต่างชาติเป็นเพียงแค่ละครตบตาที่มีหน้าฉากและหลังฉากแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสยามต้องพึ่งพาทุนต่างชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งนี้จึงเป็นลักษณะของอาการ ‘ปากว่าตาขยิบ’ ซึ่งเราสามารถเห็นได้ในแต่ละยุคสมัย ดังต่อไปนี้
ทุนต่างชาติ: ผลพลอยได้ของชนชั้นนำสยามจาก ‘สนธิสัญญาเบาว์ริง’

บทเรียนประวัติศาสตร์ฉบับชาตินิยมพร่ำสอนนักเรียนไทยว่าสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม สยามถูกเรือปืนของพวกฝรั่งมังค่าบังคับให้เซ็นยกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนต่างชาติ อันเป็นเหตุให้สยามต้องสูญเสียเอกราชและอธิปไตยทางศาล [1] อีกทั้งยังสอนว่าสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้รายได้แผ่นดินหดหายเนื่องจากการยกเลิกระบบผูกขาดการค้าของพระคลังสินค้า [2] ดังนั้น การลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวจึงเป็นความอัปยศแห่งชาติตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ชาตินิยมในยุคหลัง
ความเข้าใจประวัติศาสตร์ที่คับแคบและคลาดเคลื่อนนี้ทำให้หลายคนมองข้ามประเด็นสำคัญ ประการแรกคือประวัติศาสตร์ชาตินิยมมองสยามเป็นหน่วย (unit) ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่คำนึงถึงกลุ่มก้อนการเมืองที่แข่งขันกันอยู่ภายในรัฐ และประการต่อมาคือชนชั้นนำแต่ละกลุ่มต่างก็เลือกแสวงหาผลประโยชน์จากแหล่งรายได้ที่หลากหลายต่างกัน
ทั้งนี้ เราอาจแบ่งชนชั้นนำสยามในช่วงเวลาดังกล่าวออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ตามงานศึกษาของ ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ได้แก่ (1) กลุ่มสยามเก่า (old siam) นำโดยกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าที่พึ่งพารายได้จากส่วยในระบบไพร่แบบดั้งเดิม และไม่พึงปรารถนาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในบ้านเมือง (2) กลุ่มสยามอนุรักษ์นิยม (conservative siam) นำโดยขุนนางตระกูลบุนนาคที่ต้องการปลดปล่อยไพร่ไปประกอบกิจการค้าขายในตลาดเสรี (อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาเบาว์ริง) เพื่อที่จะเข้าไปเก็บภาษีต่อไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มสยามอนุรักษ์นิยมประสงค์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างจำกัดและไม่ประสงค์จะขยายอำนาจของกรุงเทพฯ ออกไปยังดินแดนรอบนอก และ (3) กลุ่มสยามหนุ่ม (young siam) นำโดยรัชกาลที่ 5 ผู้ทรงมีพระราชปณิธานที่จะปฏิรูปการคลัง ปฏิรูประบบราชการ และสร้างรัฐรวมศูนย์สมัยใหม่ [3]
ชนชั้นนำสยามทั้งสามกลุ่มกำลังแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรเพื่อปูทางไปสู่การครองอำนาจนำ ซึ่งกลุ่มสยามหนุ่มตระหนักดีว่าขุนนางตระกูลบุนนาคที่รัชกาลที่ 4 ทรงเรียกว่า ‘ท่านผู้ใหญ่ในแผ่นดิน’ มีอิทธิพลเหนือระบบเจ้านายภาษีอากร โดยจะเห็นได้จากรายได้แผ่นดินในช่วงทศวรรษ 2410 ที่ลดลงจากประมาณ 4.8 ล้านบาท เหลือเพียง 1.6 ล้านบาทแม้เศรษฐกิจของสยามจะเติบโตขึ้นภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง[4] เนื่องจากเงินภาษีที่เก็บมาทั้งภาษีฝิ่น อากรสุรา และอากรขาเข้าและขาออกได้เข้ากระเป๋าขุนนางตระกูลบุนนาคไปเสียเกือบหมดแล้ว[5]
ราชสำนักจึงหันไปเพิ่มพูนรายได้อีกทางหนึ่งผ่านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทุนต่างชาติได้ทะลักเข้ามาประกอบกิจการค้าขายในสยามและทำให้เศรษฐกิจสยามคึกคักเป็นอย่างมาก จนเกิดย่านการค้าต่างๆ อาทิ เยาวราช สำเพ็ง เป็นต้น ราชสำนักสยามที่เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงตัดถนนและลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เก็บค่าเช่าของที่ดินสองฟากถนน[6] หรือการสร้างตลาดและเก็บค่าเช่าที่ อาทิ รายได้กว่า 4,000 บาทต่อเดือนของพระคลังข้างที่มาจากค่าเช่าที่ของพ่อค้าผักชาวจีนในตลาดจังหวัดนครปฐม[7] อย่างไรก็ดี ราชสำนักของสยามหนุ่มเข้าไปปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีตั้งแต่การก่อตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อวางระเบียบการจัดเก็บภาษีในปี 2416 ไปจนถึงการยกเลิกระบบเจ้านายภาษีอากรในปี 2438 ซึ่งทำให้รายได้ของราชสำนักเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาทในปี 2435 และแตะ 45 ล้านบาทในปี 2447[8]
ราชสำนักของสยามหนุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากทุนต่างชาติมีท่าทีสนับสนุนการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ อันจะเห็นได้จากออกกฎหมายลดอุปสรรค อาทิ ประกาศเลิกกันผูกปี้ข้อมือจีน ปี ร.ศ. 128 (ปี 2432) แต่ให้เก็บเงินค่าแรงช่วยราชการคนละ 6 บาทต่อปีแทน[9] นอกจากนี้ ชนชั้นนำสยามยังสร้างเครือข่ายและผูกสัมพันธ์กับนายทุนต่างด้าวด้วย เช่น เจ้าสัวหอย เจ้าของกิจการโรงบ่อนเบี้ยได้ยกบุตรีของตนให้สมรสกับบุตรของพระยาราชภักดี (โค) ซึ่งเป็นน้าชายของสมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ หรือจีนเต็งผู้เป็นนายห้างกิมเซ่งหลีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์หลวงอุดรภัณฑ์พานิชในสมัยรัชกาลที่ 5[10]
ดังนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็จะต้องพูดว่า ภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง รายได้ที่ลดลงคือรายได้ของขุนนางจารีตที่หากินกับระบบไพร่แบบเดิมๆ แต่กระนั้นรายได้ที่เพิ่มขึ้นคือทรัพย์ของตระกูลบุนนาค (ในช่วงแรก) จากการเก็บภาษี และพระราชทรัพย์ (ในเวลาต่อมา) จากการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีและการลงทุนกับธุรกิจต่างชาตินั้นเอง
นักลงทุนต่างชาติผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างรัฐรวมศูนย์สมัยใหม่
ราชสำนักสยามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในสยามเพื่อเพิ่มพูนพระราชทรัพย์จากการลงทุนในกิจการต่างๆ ราชสำนักที่มั่งคั่งใช้ทรัพยากรที่ถืออยู่ในมือเป็นต้นทุนสำหรับการแผ่ขยายและกระชับอำนาจของกรุงเทพฯ ไปยังดินแดนรอบนอก แต่กระนั้น อภิมหาโปรเจคการสร้างรัฐรวมศูนย์นี้จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและทุนจำนวนมหาศาลในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รัฐบาลสยามจึงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากทุนต่างชาติ ซึ่งในปี 2434 รัฐบาลสยามประกาศขายหุ้นลงทุนสร้างทางรถไฟ ซึ่งก็มีทุนต่างชาติที่สนใจและร่วมลงขันในโปรเจคดังกล่าวนี้ อาทิ เยอรมนี สหราชอาณาจักร[11]
การที่ทุนต่างชาติสนับสนุนโปรเจคการแผ่ขยายอำนาจของกรุงเทพฯ ไปยังดินแดนที่ห่างไกล เหตุหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดของกำลังทหาร กำลังทรัพย์ และความเข้าใจเรื่องคนท้องถิ่น/พื้นที่ของรัฐบาลอาณานิคม เช่นนี้แล้ว ระบบอาณานิคมของตะวันตกจึงดำเนินกลยุทธ์ยืมมือผู้ปกครองท้องถิ่นในดินแดนข้างเคียงในการเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ชาติตะวันตกกำลังแสวงหาประโยชน์ เพื่อประกันเสรีภาพในการประกอบธุรกิจในแบบฉบับที่ไม่ต้องสูญเสียกำลังคนหรือทรัพยากรในการเข้าไปสู้รบตบมือกับคนท้องถิ่นด้วยตัวเอง
กรณีที่เห็นได้ชัดคือกรณีการแผ่ขยายอิทธิพลของสยามไปยังล้านนา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่รัฐบาลสยามรับข้อร้องเรียนจากกงสุลสหราชอาณาจักรประจำสยามว่าแรงงานชาวพม่าในอุตสาหกรรมไม้สักที่เป็นคนในบังคับของบริเตนถูกผู้ปกครองชาวล้านนาสังหาร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้ฝ่ายสหราชอาณาจักรผลักดันให้ฝ่ายสยามขยายสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไปคุ้มครองคนชาติบริติชในหัวเมืองเหนือ และนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับปี 2416 ที่มีข้อตกลงให้สยามเป็นผู้ระงับข้อพิพาทระหว่างคนบริติชกับคนล้านนา และฉบับปี 2426 ที่นำไปสู่การจัดตั้งสถานรองกงสุลสหราชอาณาจักร ณ นครเชียงใหม่[12]
สยามค่อยๆ ขยายอิทธิพลในล้านนา และเริ่มส่งข้าหลวงขึ้นไปรักษาความสงบเรียบร้อยภายในนครเชียงใหม่ จนกระทั่งในปี 2438 รัฐบาลสยามได้ก่อตั้งกรมป่าไม้ โดยมีเฮอร์เบิร์ต สเลด (Herbert Slade) ชาวบริติชเป็นอธิบดีคนแรก อีกทั้งสยามยังอ้างกรรมสิทธิ์ของสยามเหนือพื้นที่ป่าไม้ทั้งหมดทั้งมวลในหัวเมืองเหนือ ซึ่งฝ่ายสหราชอาณาจักรไม่มีข้อขัดข้องต่อการก่อตั้งกรมป่าไม้ เนื่องจากประสงค์ให้มีระบบจัดการสัมปทานไม้สักแบบรวมศูนย์ที่ใช้กฎระเบียบเดียวกัน รวมถึงประสงค์ให้สยามเข้ามาอนุรักษ์ป่าไม้สักตามหลักวิทยาศาสตร์[13] จึงกล่าวได้ว่าฝ่ายสยามที่ต้องการขยายอิทธิพลเหนือดินแดนรอบนอกกับฝ่ายสหราชอาณาจักรที่ลงทุนในสัมปทานไม้สักต่างก็สนับสนุนกันและกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็สมประโยชน์กัน

อย่างไรก็ดี การแผ่ขยายอำนาจและการสร้างระบบราชการขนาดใหญ่เพื่อควบคุมทรัพยากรนอกพื้นที่พระนครกลายเป็นสิ่งที่กลับไปท้าทายอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากระบบราชการสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังคนจำนวนมากเข้ามาขับเคลื่อนกลไกของรัฐ แต่สยามไม่มีขุนนางยุคจารีตในจำนวนที่เพียงพอจะขับเคลื่อนองคาพยพขนาดมหึมานี้ได้ สยามจึงต้องพึ่งพาลูกหลานของสามัญชนเป็นกำลังหลัก และเป็นเหตุให้มีการจัดตั้งโรงเรียนเพื่อบ่มเพาะสามัญชนให้กลายเป็นข้าราชการรับใช้แผ่นดิน
เหล่าข้าราชการผู้ได้รับการศึกษาสมัยใหม่เริ่มตั้งคำถามวิพากษ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะคำถามเรื่อง ‘ชาติวุฒิ’ ที่ได้มาโดยกำเนิด กับ ‘คุณวุฒิ’ ที่ได้มาจากการตรากตรำ เหล่าข้าราชการชนชั้นกลางมุ่งหวังว่าตนผู้พากเพียรศึกษาหาวิชาความรู้จะสามารถเจริญเติบโตในหน้าที่การงานได้ทัดเทียมกับเหล่าชนชั้นนำเดิมได้ แต่เมื่อระบบการปกครองขณะนั้นไม่เอื้อให้เป็นเช่นนั้น เหล่าข้าราชการจึงแสวงหาแนวคิดทางการเมืองใหม่ๆ เพื่อหวังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม จนกระทั่งเมื่อการปฏิวัติซินไฮ่ล้มล้างราชวงศ์ชิงในแผ่นดินจีน ข้าราชการส่วนหนึ่งจึงได้รับแรงบันดาลใจและได้ลงมือก่อการที่เรียกว่า ‘กบฏ ร.ศ. 130’ ในปี 2455[14]
ถึงเวลาที่สยามจะเล่นงานทุนต่างชาติ? : การปลุกพลังชาตินิยมเพื่อแก้วิกฤตทางการเมืองในประเทศ
รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงถูกพลวัตของรัฐสมัยใหม่ท้าทายพระราชอำนาจทรงริเริ่มการเผยแพร่แนวคิดโต้ตอบที่เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ชาตินิยมทางการ’ (official nationalism) อันมีเนื้อหาที่แสดงถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลางของความเป็นชาติ[15]
กระบวนการสร้างชาตินิยมในฐานะอัตลักษณ์ (identity) ประเภทหนึ่งจะต้องอาศัยการขีดเส้นแบ่งระหว่างอัตลักษณ์ภายในกลุ่ม (in-group) กับอัตลักษณ์ภายนอกกลุ่ม (out-group)[16] ชาตินิยมจึงเป็นการสร้างอัตลักษณ์ความเป็น ‘เรา’ กับ ‘เขา’ ขึ้นมา ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างความเป็น ‘เรา’ ผ่านพระราชนิพนธ์ปลุกใจเสือป่าที่เน้นย้ำถึงความเป็นชาติโดยกำเนิดในแผ่นดินและความสามัคคีภายในหมู่คณะ[17] และทรงสร้างความเป็น ‘เขา’ ผ่านพระราชนิพนธ์พวกยิวแห่งบูรพาทิศซึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์ชุมชนคนจีนโพ้นทะเลว่าเป็นพวกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และมุ่งเอาแต่ดอกผลกำไรอย่างเดียว[18]

ในเวลาไล่เลี่ยกัน รัชกาลที่ 6 ทรงแปลวรรณกรรมเวนิสวานิช (The Merchant of Venice) บทประพันธ์เชกสเปียร์ว่าด้วยเรื่องราวของชายชาวยิวนาม ‘ไชล็อก’ ผู้ได้รับการโจษจันว่าเป็นพ่อค้าเงินกู้หน้าเลือด ซึ่งภายใต้บรรยากาศและความรู้สึกต่อต้านจีนในเวลานั้น ตัวละครไชล็อกจึงถูกนำไปเปรียบเป็นตัวแทนของคนต่างชาติผู้จ้องจะสูบเลือดสูบเนื้อ เอารัดเอาเปรียบคนในชาติ และถูกโยงเข้ากับความเป็นคนจีนหรือพวกยิวแห่งบูรพาทิศ[19]
เราอาจวิเคราะห์สาเหตุที่รัชกาลที่ 6 ทรงเลือกให้คนจีนเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ความเป็นอื่นได้จากอิทธิพลทางเศรษฐกิจของคนจีนที่มีต่อสยาม (ซึ่งจะอภิปรายต่อไป) และอิทธิพลทางความคิดจากการปฏิวัติซินไฮ่ล้มล้างราชวงศ์ชิงในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทรงประสบมาด้วยพระองค์เองจากการก่อกบฏ ร.ศ. 130
แม้ว่ารัชกาลที่ 6 จะทรงวิตกกับคนจีนในแผ่นดินสยาม แต่รัชกาลที่ 6 ทรงมิได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของคนจีนด้วยเหตุผล ดังนี้
(1) คนจีนมีธุรกิจมากมายที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสยาม อาทิ ธนาคาร (แบงก์จีนสยามทุนจำกัด) โรงสีข้าว การเดินเรือพาณิชย์ เรือยนต์เมล์ (เรือเขียว) อีกทั้งคนจีนโพ้นทะเลในสยามยังมีเครือข่ายกับคนจีนในที่อื่นๆ อาทิ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ ผู้ที่สามารถช่วยอำนวยการเคลื่อนย้ายสินค้าและทุนได้ ในขณะที่คนสยามผู้ทำธุรกิจประเภทเดียวกันมักประสบแต่ความล้มเหลว อาทิ แบงก์สยามกัมมาจลที่เกือบล้มละลายในปี 2460 หรือบริษัทพาณิชย์นาวีสยามที่เผชิญกับอุปสรรคหลายประการ[20] ชนชั้นนำสยามจึงต้องพึ่งพาธุรกิจและเครือข่ายคนจีนโพ้นทะเลในการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการบริโภคสินค้าหายากหรือเวชภัณฑ์ที่หาไม่ได้ในสยาม[21]
(2) ด้วยอิทธิพลของคนจีนที่มีต่อเศรษฐกิจของสยาม การออกมาตรการหรือนโยบายกีดกันอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจากคนจีนที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสยามได้ อาทิ เหตุการณ์ประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ของคนจีนในกรุงเทพฯ ในปี 2453 ที่ส่งผลให้ทั้งกรุงเทพฯ แทบเป็นอัมพาต[22]
(3) การออกกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจจะขาดสภาพบังคับในทางปฏิบัติ กล่าวคือ สมมติว่ารัฐบาลสยามออกกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของคนจีน คนจีนก็จะเข้าเป็นคนในบังคับของชาติตะวันตก และเปลี่ยนสถานะเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับชาติตะวันตกที่ทำให้คนในบังคับของชาติตะวันตกสามารถลงทุนในสยามได้โดยแทบไม่มีข้อจำกัด
อย่างไรก็ดี รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราโชบายสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนสยามแทนการตรากฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของคนจีน โดยรัฐบาลสยามตระหนักดีว่าคนสยามขาดความเชี่ยวชาญในการประกอบธุรกิจ รัชกาลที่ 6 จึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์และกระทรวงพาณิชย์ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจของคนสยาม อาทิ การออกหนังสือจดหมายเหตุของสภาเผยแผ่พาณิชย์ให้ความรู้แก่ประชาชนด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งโรงเรียนพาณิชยการในปี 2456 เพื่อฝึกฝนให้ชาวสยามบริหารธุรกิจเป็น[23]
ละครภาคต่อ: คอมมิวนิสต์ ‘จีนแดง’ กับทุน ‘ญี่ปุ่น’ ในยุค ‘อเมริกา’
เมื่อเกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2492 รัฐบาลไทยยิ่งหวาดระแวงคนจีนที่อาจเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสม์ในประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงใช้มาตรการที่แข็งกร้าวควบคุมการประกอบธุรกิจของคนจีน อาทิ ประกาศคณะปฏิวัติ ปี พ.ศ. 2501 ที่วางหลักว่า “หนังสือพิมพ์ใดมีข้อความซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดความนิยมในระบอบคอมมิวนิสต์หรือเข้าข่ายการเป็นคอมมิวนิสต์ ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตักเตือน ยึดใบอนุญาต หรือยึดหนังสือพิมพ์นั้น ๆ มาทำลายเสีย” ส่งผลให้มีการปิดธุรกิจการพิมพ์กว่า 50 แห่ง
แต่กระนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ตระหนักดีว่าชนชั้นกลางไทยเชื้อสายจีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การต่อต้านจีนในไทยจึงไม่ใช่การขับไล่ไสส่งคนจีนเหมือนกับประเทศอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย[24] แต่เป็นการบังคับกลืนกลายคนจีนให้เป็นคนไทยเพื่อให้เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จอมพลสฤษดิ์จึงมีข้อสั่งการไปยังสภาความมั่นคงแห่งชาติให้ศึกษาและจัดทำแนวทางการกลืนกลายคนจีนในไทยอย่างเป็นระบบครั้งแรก ส่งผลให้มีแนวปฏิบัติต่างๆ ตามมา อาทิ การส่งเสริมให้เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลเป็นภาษาไทย การบังคับให้คนจีนแปลงสัญชาติไทยก่อนเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร[25] นอกจากนี้ จอมพลสฤษดิ์ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน อาทิ บรรเจิด ชลวิจารณ์ คนไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานหอการค้าไทยในระหว่างปี 2502-2508 และเป็นมือขวาของจอมพลสฤษดิ์ผู้มีหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์ในเครือข่ายธุรกิจของจอมพลสฤษดิ์[26]
ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยออกมาตรการควบคุมคนจีนจึงเป็นการกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมในหมู่คนไทยในการร่วมกันต้านคอมมิวนิสต์ และเป็นการแสดงออกให้สหรัฐอเมริกาที่เป็นพันธมิตรและผู้มอบเงินช่วยเหลือประเทศไทยเห็นว่ารัฐบาลไทยมีความจริงจังต่อแผนการต่อต้านคอมมิวนิสต์[27] มากกว่าจะเป็นความพยายามในการขับไล่คนจีนให้พ้นแผ่นดินไปจริง
ยุทธศาสตร์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลไทยที่ร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ ‘ทฤษฎีโดมิโน’ ที่อุปมาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์เสมือนการล้มของตัวโดมิโน กล่าวคือ หากขบวนการคอมมิวนิสต์สามารถยึดครองประเทศใดประเทศหนึ่งในภูมิภาคได้ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะล้มครืนตามๆ กัน และทั้งภูมิภาคก็จะตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของลัทธิคอมมิวนิสม์ ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องระดมสรรพกำลังทั้งมาตรการทางการทหารและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการล้มของตัวโดมิโนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการป้อนทรัพยากรและแหล่งระบายสินค้าของญี่ปุ่น ดินแดนอาทิตย์อุทัยที่เป็นตัวโดมิโนที่สำคัญที่สุด (super domino)[28] สหรัฐฯ จึงสนับสนุนให้ทุนญี่ปุ่นเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมาก
ในเวลาต่อมา เกิดกระแสความไม่พอใจต่ออิทธิพลทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงต้นทศวรรษที่ 2510 จากคนในสังคมหลายกลุ่ม อาทิ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชที่เขียนบทความวิพากษ์อิทธิพลทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 2511 เพื่อชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเสียเปรียบดุลการค้ากับญี่ปุ่น หรือนายบุญชนะ อัตถากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้ได้รับการขนานนามจากหนังสือพิมพ์ว่าเป็นแกนนำการ ‘แอนตี้ญี่ปุ่น’ ได้วิจารณ์คนญี่ปุ่นว่าเป็นพวกค้าเพื่อกำไร เสพติดการเล่นกอล์ฟและบ้าเซ็กส์ นอกจากนี้ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังได้จัดตั้งองค์กร ‘ชมรมต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น’ ในปี 2513 โดยได้มีการเคลื่อนไหวผ่านการปิดโปสเตอร์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในหลายมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการตีพิมพ์วารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับภัยเหลือง เมษายน 2515 วารสารยอดฮิตในหมู่นิสิตนักศึกษา วิพากษ์วิจารณ์อิทธิพลของทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย[29]

จนกระทั่งในปี 2515 ได้มีการเดินขบวนประท้วงใหญ่ของนิสิตนักศึกษาในกรุงเทพฯ ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการประท้วงเพื่อตำหนิรัฐบาลที่ทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้ามหาศาลจากการเปิดโอกาสให้ทุนญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยโดยไม่มีกฎหมายควบคุม[30] พลวัตการต่อต้านธุรกิจญี่ปุ่นทั้งในหมู่นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน และผู้ดำรงตำแหน่งในระดับรัฐมนตรี เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การออกประกาศคณะปฏิวัติที่ 281[31] ในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฉบับแรกของไทย เพื่อตอบสนองต่อพลวัตของสังคมในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่มีการตื่นตัวทางการเมืองในหมู่นิสิตนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกระแสต่อต้านทุนญี่ปุ่นและมีการตอบสนองจากรัฐบาลผ่านการออกกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่ภายหลังจากการประท้วงในปี 2515 ดุลการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นกลับขาดดุลหนักยิ่งกว่าเดิม โดยหากพิจารณาจากการขาดดุลการค้า 1,100 ล้านบาทในปี 2500 จนถึงราว 24,000 ล้านบาทในปี 2525 จะพบว่าการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นกว่า 22 เท่า[32] (ในปี 2566 ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น 239,774 ล้านบาท)[33] ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของมาตรการรัฐที่อาจเป็นเพียงการแสดงละครตำหนิทุนต่างชาติอย่างกล้อมแกล้ม แต่มิได้มีมาตรการใช้บังคับอย่างจริงจังอันใด
บทส่งท้าย
มาถึงจุดนี้ ผู้อ่านจะเห็นภาพว่าแม้จะมีความพยายามในการเล่าเรื่อง (narrative) ให้ต่างชาติเป็นวายร้ายเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม แต่กระนั้น ชนชั้นนำสยามกลับเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากการเข้ามาของทุนต่างชาติ ตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ถูกคนยุคหลังเขียนให้เป็นประวัติศาสตร์อัปยศแห่งชาติ แต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่าชนชั้นนำในอดีตได้ประโยชน์จากระบบการค้าเสรีจนสามารถรวบรวมทรัพยากรและแรงสนับสนุนจากทุนต่างชาติเพื่อขยายอำนาจรัฐไปควบคุมพื้นที่รอบนอกได้ ไปจนถึงการต่อต้านคนจีนในสมัยรัชกาลที่ 6 ในขณะที่สยามได้ประโยชน์จากนายทุนจีนที่เชื่อมสยามเข้ากับตลาดโลก การต่อต้านจีนคอมมิวนิสต์ที่ลึกๆ แล้วเป็นการดึงคนจีนเข้ามามากกว่าจะขับไล่ไสส่งออกไป รวมถึงกระแสการต่อต้านทุนญี่ปุ่นที่ไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอันใดเกิดขึ้น
บทความนี้ฉายภาพประวัติศาสตร์ทุนต่างชาติกับชนชั้นนำถึงสมัยสงครามเย็น อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทุนต่างชาติที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าสื่อในทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามไม่แพ้กัน อีกทั้ง สิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังทำอยู่ทุกวันนี้ยังชวนให้สงสัยว่า ประวัติศาสตร์ ‘ปากว่าตาขยิบ’ จะซ้ำรอยอีกหรือไม่? หรือสำนวนดังกล่าวนี้อาจนำมาใช้เปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้วในวันที่ผู้มีอำนาจบางคนออกตัวสนับสนุนทุนต่างชาติ (ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย) อย่างโจ่งแจ้ง?
↑1 | “18 เมษายน 2398 – สยามลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ รู้จักกันในชื่อ ‘สนธิสัญญาเบาว์ริง’,” The Standard, 18 เมษายน 2564, https://thestandard.co/onthisday18042398/. |
---|---|
↑2 | “ใบความรู้ เรื่อง สนธิสัญญาเบาว์ริง,” มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม, เข้าถึงเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567, https://dltv.ac.th/utils/files/download/79107. |
↑3 | กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, สมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 78-84. |
↑4 | ณัฐวุฒิ ปรียวนิตย์, “การตัดถนนในพระนครกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นนำสยาม,” วารสารหน้าจั่ว 28 (2557): 366-367. |
↑5 | เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 กรกฎาคม 2564, https://pridi.or.th/th/content/2021/07/774#_ftn8. |
↑6 | ณัฐวุฒิ, “การตัดถนน,” 355-358. |
↑7 | “พวกยิวแห่งบูรพาทิศ-พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ทำไมเปรียบ “ชาวจีน” เสมือน “ชาวยิว,” ศิลปวัฒนธรรม, 18 ตุลาคม 2566, https://www.silpa-mag.com/culture/article_119950. |
↑8 | เอกสาร 27 (หจช. ร.5 ค.2.1/13 “ยอดงบพระคลังข้างที่ ร.ศ. 112”), อ้างถึงใน ณัฐวุฒิ, “การตัดถนน,” 368-369. |
↑9 | รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ภาษีอากรในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), 88. |
↑10 | ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล, “เถียน-เต็ง-หอย สามชาวจีนอพยพ สู่นายทุน-ขุนนางยุคแรกในสยาม กับภาพสะท้อนระบบอุปถัมภ์,” ศิลปวัฒนธรรม, 16 กุมภาพันธ์ 2566, https://www.silpa-mag.com/history/article_42001. |
↑11 | เสมียนนารี, “กำเนิด “รถไฟสายอีสาน” เมื่อ “สนธิสัญญาเบาริ่ง” ทำให้เกิดทุนนิยมในพื้นที่,” ศิลปวัฒนธรรม, 10 ตุลาคม 2565, https://www.silpa-mag.com/history/article_29204. |
↑12 | Gregory A. Barton and Brett M. Bennett, “Forestry as Foreign Policy: Anglo-Siamese Relations and the Origins of Britain’s Informal Empire in the Teak Forests of Northern Siam, 1883-1925,” Itinerario 34, no. 2 (August 2010): 70. |
↑13 | เพิ่งอ้าง, 74-75. |
↑14 | กุลลดา, สมบูรณาญาสิทธิราชย์, 270-279. |
↑15 | Benedict Anderson, Imagined communities: Reflection on the Origin and Spread of Nationalism (London: Verso, 1983), 95. |
↑16 | Mike Crang, Cultural Geography (London: Routledge, 1998). |
↑17 | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, ปลุกใจเสือป่า (กรุงเทพฯ, 2457), 73-75. |
↑18 | “พวกยิวแห่งบูรพาทิศ.” |
↑19 | รชฏ นุเสน, “อิทธิพลของ “เชกสเปียร์” แบบวิกตอเรียนและความหวาดระแวง “ยิวแห่งบูรพาทิศ” ในการแปล เวนิสวานิช,” วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 19, 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2562): 223-224. |
↑20 | พวงร้อย กล่อมเอี้ยง, “พระบรมราโชบายเกี่ยวกับปัญหาชาวจีนในพระราชอาณาเขตรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,” ปริญญานิพนธ์, วิทยาลัยวิชาการศึกษา, 52-55. |
↑21 | เพิ่งอ้าง., 56. |
↑22 | เพิ่งอ้าง., 45. |
↑23 | เพิ่งอ้าง., 60-61, 69. |
↑24 | มาเลเซียขับไล่คนจีนออกไปตั้งประเทศใหม่บนเกาะสิงคโปร์ และได้มีการสังหารหมู่ชาวจีนที่ถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซีย โดยคาดว่ามีผู้เสียชีวิตราว 500,000 คน ในระหว่างปี 2508-2509, ดูเพิ่มเติมที่ Katharine E. McGregor, “The Indonesian Killings of 1965-1966,” Science Po, August 4, 2009, https://www.sciencespo.fr/mass-violence-war-massacre-resistance/fr/document/indonesian-killings-1965-1966.html. |
↑25 | สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์, เป็นจีนเพราะรู้สึก: ประวัติศาสตร์เสื่อผืนหมอนใบที่เพิ่งสร้าง (กรุงเทพฯ : มติชน, 2566), 96-99. |
↑26 | เพิ่งอ้าง., 163. |
↑27 | รติพร ศรีสมทรัพย์, “การปรับเปลี่ยนการรับรู้ของประเทศไทยต่อจีนในงานด้านจีนศึกษาในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2491-2534,” วารสารเอเชียตะวันออกศึกษา 15, 2 (กันยายน 2553-กุมภาพันธ์ 2554): 98-99. |
↑28 | พวงทอง ภวัครพันธุ์, การต่างประเทศไทยในยุคสงครามเย็น (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2565), 32-33. |
↑29 | อัจฉราพร แสนอาทิตย์, “อุดมการณ์ชาตินิยมของนักศึกษาไทยกับการต่อต้านสินค้าใน พ.ศ. 2515,” วารสารญี่ปุ่นศึกษา 30, 2 (ตุลาคม 2556-มีนาคม 2557): 111-113, 119. |
↑30 | เพิ่งอ้าง., 114. |
↑31 | ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 281 (2515, 25 พฤศจิกายน), ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 89 ตอนที่ 180. |
↑32 | ประยูร เถลิงศรี, “ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ด้านการค้า,” วารสารไทย-ญี่ปุ่นศึกษา ฉบับพิเศษ (มีนาคม 2527): 42-43. |
↑33 | “สรุปการค้าระหว่างประเทศของไทย,” กระทรวงพาณิชย์, เข้าถึงเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567, https://tradereport.moc.go.th/Report/ReportDevices.aspx?Report=TradeThCountryTrade. |