โดยฉับพลัน หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 6-3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง และส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ ความสนใจของบรรดาคอการเมืองก็วกกลับเข้าสู่วงจรคณิตศาสตร์การเมืองอีกครั้ง
ใครจะเป็นนายกฯ พรรคไหนจะจับมือกับใคร สมการที่นั่งในสภามีกี่แบบ งูเห่าจะโผล่มาเมื่อไร เงื่อนไขการต่อรองซ่อนอยู่ตรงไหน สุดท้ายการเมืองไทยก็วนเวียนอยู่ในลูปเดิม ฟังดูน่าเบื่อ แต่ตลอดสัปดาห์นี้ก็หนีไม่พ้นว่าจะเต็มไปด้วยการดีลทางการเมือง
ถ้าจำกันได้ บรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อปีก่อน เมื่อครั้งคุณเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่ง และถ้าจะแถมให้อีกก็คือ เมื่อครั้งพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง แต่ดันตั้งรัฐบาลไม่ได้
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การเมืองไทยถูกออกแบบให้เป็นเช่นนี้ ระบบที่เป็นอยู่ไม่เพียงทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองอ่อนแอ แต่ยังทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องไกลตัว ประชาชนคนทำงาน – ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลาง หรือผู้ประกอบการทั่วไป – ย่อมเบื่อหน่ายกับการต้องคอยอัปเดตสูตรการเมือง ขณะที่เสียงของพวกเขาก็ค่อย ๆ ไร้ความหมายลง เมื่อคนที่เลือกมากลับถูกปลดออกด้วยกลไกที่อยู่เหนือการเลือกตั้งได้เรื่อยๆ
ปรากฏการณ์หนึ่งในช่วงสองทศวรรษหลังความพยายามปฏิรูปการเมืองไทย คือ การเมืองจากการเลือกตั้งมักถูกมองในแง่ร้าย ครั้งหนึ่งถูกปรามาสว่าคนไทยโง่ มองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า เลยถูกซื้อเสียงได้ ส่วนนักการเมืองก็ซื้อเสียงเพื่อเข้ามาโกงกิน ต่อมา แม้การเมืองจะพัฒนาขึ้น แต่ก็ยังถูกมองว่า นโยบายประชานิยมที่ทำให้คนถูกใจคือปัญหา ทั้งคนเลือกและคนที่คิดทำนโยบาย
คำว่า ‘การเมือง’ ถูกมองเป็นเรื่องไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนที่คิดเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว – ถ้าใช้คำแบบ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ก็ต้องบอกว่า คำอธิบายแบบนี้มีสมมติฐานว่า ประชาชนคนเลือกตั้งเป็น ‘อัปปรีย์ชน’ และนักการเมืองเป็น ‘มหาอัปรีย์ชน’ และเพราะแบบนี้ คนออกแบบรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ เลยต้องขึ้นธรรมมาสน์ชี้ถูกชี้ผิดเรื่องคุณธรรมจริยธรรมปีละครั้งสองครั้ง
แล้วกรอบคิดนี้ก็ปรากฏอีกครั้งผ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญรอบนี้ เมื่อศาลฉายภาพคู่ตรงข้ามให้ชัดเจนว่า ‘การมุ่งหวังคะแนนนิยม’ คือสิ่งตรงข้ามกับ ‘การยึดผลประโยชน์ของชาติ’ ดังตอนหนึ่งในคำวินิจฉัยที่ศาลอ่านออกอากาศว่า
“เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัวคือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวเนื่องด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงและยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิหรือเกียรติของนายกฯ และประเทศไทย […] อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ […] ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง”
เมื่อฟังคำวินิจฉัย ก็ต้องถามกันตรงๆ ว่า นี่คือ ‘การเมืองที่ดี’ จริงหรือ
ผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมืองไม่เท่ากับผลประโยชน์ของประเทศชาติแน่ๆ แต่การทำให้ทั้งสองอย่างนี้เป็นขั้วตรงข้ามกันนั้น ‘อันตราย’ และ ‘ไม่สมเหตุสมผล’ อย่างยิ่งในการเมืองระบอบประชาธิปไตย
‘อันตราย’ เพราะเมื่อการเมืองแบบที่ต้อง ‘แสวงหาคะแนนนิยม’ ถูกมองว่าเลวร้าย กระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ บริหารประเทศลำบาก สุดท้ายก็กลายเป็นช่องโหว่ให้รัฐบาลไร้เสถียรภาพ และพาประเทศเข้าสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และอย่าลืมว่า เพียงเพื่อจะตัดปีกนักการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญต้องลงทุนถึงขั้นโค่นล้มรัฐบาล หนักกว่านั้นคือ เปิดไฟเขียวให้แรงความเกลียดชังจากนอกประเทศเข้ามามีบทบาทแทรกแซงการเมืองไทยได้สำเร็จ
ที่น่าหนักใจคือ อำนาจการตัดสินชี้ขาดทางการเมืองเช่นนี้ คือการลิดรอนสิทธิของประชาชนที่จะ ‘ให้คุณให้โทษ’ ต่อผู้แทนที่ตัวเองเลือก และยิ่งสะท้อนว่า การเมืองของไทยยังถูกกำหนดโดยชนชั้นนำที่คอยริบเอาอำนาจจากมือประชาชนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘ไม่สมเหตุสมผล’ เพราะการเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยยังไงก็ต้องแสวงหาความนิยม ฐานความชอบธรรมของพวกเขาคือการมาจากการเลือกตั้ง และ ‘คะแนนนิยม’ ก็เป็นกลไกรับผิดรับชอบที่ตรงไปตรงมาระหว่างนักการเมืองกับประชาชน
การให้นักการเมืองใช้ฐานจริยธรรมแบบเดียวกับศาลจึงผิดตั้งแต่หลักคิด ไม่ใช่เพราะใครชั่วกว่า ดีย์กว่า เท่ากับว่าทั้งสองกลุ่มนี้เป็นคนละประเภท คนละฟังก์ชั่น คนละแบบ ซึ่งก็ต้องการกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลคนละแบบกัน
ไม่ใช่แค่หลักการใหญ่เท่านั้นที่มีปัญหา ในคำวินิจฉัย ตุลาการฯ ได้บรรยายใส่ความเห็นที่อ้างลอยๆ ถึง ‘วิญญูชน’ ว่าจะคิดเห็นและรู้สึกอย่างไรไปเองแล้ว โดยที่ไม่มีใครตอบได้ชัดว่า วิญญูชนตัวจริงคิดหรือรู้สึกอย่างไร เพราะศาลเองก็ไม่ได้มีพันธะต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เหมือนนักการเมืองที่อย่างน้อยยังต้องเกรงใจคะแนนเสียง
และเชื่อได้ว่า มี ‘วิญญูชน’ อีกไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วยว่าคำวินิจฉัยลักษณะนี้คือการพิทักษ์ ‘ผลประโยชน์ของชาติ’ อย่างแท้จริง
หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากวงจรเช่นนี้ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการแก้ปัญหาการเมืองในเชิงโครงสร้างเท่านั้น แต่เป็น ‘แพลตฟอร์ม’ ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตการเมืองเฉพาะหน้าได้อย่างแท้จริง
เรื่องแบบนี้ต่างหากที่ ‘วิญญูชน’ ควรรู้และเข้าใจโดยทั่วกัน
คอลัมน์ Editor’s Talk บทบรรณาธิการ โดย สมคิด พุทธศรี และ อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา บรรณาธิการอำนวยการ The101.world เผยแพร่ใน Newsletter ‘วันโอวัน’ รายสัปดาห์
- Subscribe รับ Newsletter ‘วันโอวัน’ พร้อมอ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันได้ ที่นี่
- ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support