ผมสนใจนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ดังนั้นเมื่อนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 เลยตั้งใจฟังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
โชคดีที่กระทรวงศึกษาธิการเองก็สนใจประเด็นนี้เหมือนกัน บล็อกศธ.360 องศา ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารของกระทรวงต่อประชาชนทั่วไป จึงได้สรุปนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลแพทองธารออกมาให้เราได้เห็นกันเป็นข้อๆ ดังนี้
- การจัดสรรสวัสดิการ ด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน
- ส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม
- เด็กไทยทุกคน จะต้องเข้าถึงศูนย์ดูแลเด็กปฐมวัยที่มีมาตรฐาน เมื่อเติบโตก็ได้เรียนหนังสือที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการคิดวิเคราะห์ อย่างมีเหตุผล
- ส่งเสริมการปลดล็อกศักยภาพ ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความสามารถทางกีฬา
- พัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ทั้งในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้ามาสนับสนุน ตอบโจทย์ ศักยภาพของผู้เรียน ลดภาระ และลดความเหลื่อมล้ำ ในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
- ส่งเสริมให้เกิดการเรียนสองภาษา โดยใช้ AI เป็นตัวช่วย เน้นการสอนทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง เพื่อการสร้างรายได้ (Learn to Earn)ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ
- เฟ้นหา และช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ที่หลุดจากระบบการศึกษา ส่งเสริมการปฏิรูประบบอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในอนาคต และรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-Long Learning)
ข้อแรกนั้นสุดน่าสนใจ เพราะจริงๆ มาจากคำแถลงเต็มๆ ว่า
“รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (informal economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (underground economy) เข้าสู่ระบบภาษีที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค”
แปลว่าประเทศไทยของเราจะนำเงินที่ได้จากเศรษฐกิจใต้ดินและเศรษฐกิจนอกระบบภาษี มาใช้สำหรับสวัสดิการการศึกษา (รวมถึงสาธารณสุขและสาธารณูปโภค) ซึ่งฟังแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องดี คล้ายๆ กับที่หน่วยงานของรัฐอย่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือสถานีโทรทัศน์สาธารณะอย่างไทยพีบีเอส ใช้ ‘ภาษีบาป’ มาขับเคลื่อนองค์กร
แต่เมื่อมองไปทั่วคำแถลงนโยบายแล้ว ไม่พบวิธีอื่นในการจัดให้มีสวัสดิการในด้านดังกล่าว ก็ชักเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาตงิดๆ นะครับว่า แล้วถ้ารัฐบาลไม่สามารถจัดการให้เศรษฐกิจใต้ดินนอกระบบภาษีทั้งหลายกลับเข้ามาอยู่ในระบบภาษีได้ (ซึ่งในที่นี้ก็น่าจะหมายรวมถึงโครงการยักษ์ใหญ่ประเภทเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ว่ากันว่าจะมีคาสิโนหรือบ่อนพนันถูกกฎหมายด้วย) จะยังคง ‘สามารถ’ จัดให้มีสวัสดิการการศึกษาอย่างที่ต้องการได้อยู่หรือไม่
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ หรือนี่คือเงื่อนไขว่าต้องทำให้เศรษฐกิจใต้ดินต่างๆ เข้าสู่ระบบภาษีให้ได้เสียก่อน ถึงจะเก็บภาษีได้เงินมากพอจะจัดสวัสดิการทางการศึกษาได้
หากเป็นอย่างนั้นจริง – ก็อาจมีฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้นะครับว่า รัฐบาลกำลังเอาสวัสดิการการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค มาเป็น ‘ตัวประกัน’ เพื่อต่อรองกับการได้สร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการให้เศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี – ซึ่งการทำเช่นนี้น่าจะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมกังวลสนใจนัก เพราะต่อให้สวัสดิการการศึกษาถูกวิจารณ์ว่ามีที่มาจากภาษีบาปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หลายประเทศในโลกก็มีวิธี ‘หาเงิน’ กันแบบนี้เหมือนกัน แต่เรื่องที่ผมสนใจมากกว่า คือ ‘ปรัชญาการศึกษา’ ที่ ‘ซ่อน’ อยู่ใน ‘สรุปคำแถลง’
ผมคิดว่าคำแถลงข้างต้นมีปรัชญาการศึกษาสองแนวทางใหญ่ๆ ที่กำลัง ‘ต่อสู้’ กันอยู่นะครับ แบบแรกคือปรัชญาการศึกษาที่เน้นการ ‘พัฒนามนุษย์’ ซึ่งเราจะเห็นได้จากถ้อยคำประเภท ‘ส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน’ ‘ส่งเสริมการปลดล็อกศักยภาพ ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความสามารถทางกีฬา’ หรือ ‘พัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ทั้งในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุน ตอบโจทย์ศักยภาพของผู้เรียน ลดภาระ และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ’
ปรัชญาการศึกษาแบบแรกนี้ผมไม่มีปัญหาเลย โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ดีมาก เพราะเน้นการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยอย่างเต็มศักยภาพ แถมยังพูดถึงความเท่าเทียมและการเข้าถึง มีบางตอนพูดถึงเด็กและเยาวชนที่ ‘หลุด’ จากระบบการศึกษาด้วย ซึ่งแสดงถึงปรัชญาความเสมอภาคทางการศึกษา
แต่เมื่อนำการศึกษามาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจแล้วนี่สิครับ เราจะพบ ‘ปรัชญา’ อีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ได้เป็นปรัชญาการศึกษาโดยตรง ทว่าเป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจที่นำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา จนอาจมองได้ว่า นี่ไม่ใช่การเน้นย้ำเรื่องการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไปสู่การประกอบอาชีพ มากเท่ากับการทำให้ ‘มนุษย์’ กลายเป็นแค่ ‘สัตว์เศรษฐกิจ’ หรือเป็นเพียงทรัพยากรที่รัฐนำมาใช้สร้าง GDP
เราจะสังเกตได้ว่า คำแถลงนโยบายนี้ ‘ให้น้ำหนัก’ ไปทางด้านการศึกษาเพื่อ ‘อาชีพ’ มากทีเดียว เช่น ‘ส่งเสริมให้เกิดการเรียนสองภาษาโดยใช้ AI เป็นตัวช่วย เน้นการสอนทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง เพื่อการสร้างรายได้ (Learn to Earn)’ หรือ ‘ส่งเสริมการปฏิรูประบบอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในอนาคต’ หรือแม้แต่การสนับสนุนให้เด็กปฐมวัยได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐาน ก็ยังบอกว่า ‘ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล’
ทั้งหมดนี้ที่จริงแล้วดีนะครับ เพราะคือการจัดการศึกษาเพื่อ ‘ตอบสนอง’ ต่อตลาดแรงงาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และจัดให้มีการเพิ่มเติมทักษะต่างๆ ไปจนถึงสูงวัยด้วย ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต นโยบายนี้จึงมุ่งเน้นการผลิตแรงงานที่มี ‘ทักษะ’ ตรงกับความต้องการของตลาด สะท้อนให้เห็นแนวคิดที่ว่า การศึกษาควรเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้การศึกษานั้นเป็นเรื่องเดียวกับการ ‘สร้างรายได้’ เช่นในคำที่สวยงามอย่าง Learn to Earn
แต่ปัญหาที่น่าจะต้องหยิบยกขึ้นมา ‘ถก’ กันเพิ่มเติมก็คือ แนวนโยบายการศึกษาที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ‘ละเลย’ การศึกษาใน ‘มิติอื่นๆ’ ไปหรือเปล่า?
โดยเฉพาะมิติของการสร้างคนให้เป็นคน!
ในโลกแห่งเศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ผู้ที่ถือได้ว่าเป็น ‘บิดา’ แห่งแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ หนีไม่พ้น อดัม สมิธ (Adam Smith)
ตอนหนึ่งใน The Wealth of Nations อดัม สมิธ เขียนไว้ว่า
มนุษย์ทุกคนต่างต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายสูงสุดโดยสัญชาตญาณ หากผลตอบแทนในทุกสถานการณ์คงที่ไม่ว่าเราจะปฏิบัติงานนั้นด้วยความลำบากหรือไม่ มนุษย์ก็ย่อมเลือกทางสบายเสมอ เขาจะทำงานอย่างขอไปที ประมาทและเลินเล่ออย่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แนวคิดของ อดัม สมิธ จริงๆ แล้วคล้ายกับแนวคิดของนักบุญเปาโลในพระคัมภีร์เหมือนกันนะครับ เพราะนักบุญเปาโลเคยเขียนจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกา ตอนหนึ่งบอกว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงาน ก็จงอย่าให้เขากิน แต่ อดัม สมิธ พัฒนาแนวคิดนี้ขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการสร้าง ‘สิ่งล่อ’ (incentive) คือการตอบแทนเป็นรายได้ในรูปของเงินหรือทรัพย์สินขึ้นมา เพื่อทำให้คน ‘ทำงาน’ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อดัม สมิธ และระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่เชื่อว่า – ถ้าคนไม่ได้สิ่งตอบแทนเป็นเงิน, เขาก็จะไม่ทำงาน และแนวคิดนี้ก็กลายเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดในโลกปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้า อดัม สมิธ, อริสโตเติลเคยเสนอแนวคิดทางปรัชญาที่พูดถึง ‘การทำงาน’ เหมือนกัน แต่รากฐานแนวคิดกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง
อริสโตเติลบอกว่า มนุษย์เราไม่ได้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า telos อยู่ด้วย!
telos หมายถึงจุดมุ่งหมายหรือจุดสมบูรณ์ของการกระทำบางอย่าง มีผู้อธิบายว่า telos คือการลงมือทำงาน โดยมีสิ่งที่เรียกว่า purposefulness หรือ ‘ความมีเป้าหมายอย่างเต็มเปี่ยม’ กับงานนั้น ทำให้เวลาลงมือทำงานนั้นๆ เราจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ถูกบังคับ โลภโมโทสัน หรือแย่งชิงผลประโยชน์จากคนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นการทำงานเพื่อสิ่งล่อล้วนๆ ตามแนวคิดของ อดัม สมิธ
มีผู้อธิบายว่า งานที่มี telos มีหลายลักษณะ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นงานของนักบวชที่อุทิศตนทำเพื่อพระเจ้าเท่านั้น (จริงๆ การอุทิศตนเพื่อพระเจ้าก็มีผู้วิจารณ์ว่าเป็นการหวังสิ่งล่ออีกแบบหนึ่งนะครับ แต่เป็นสิ่งล่อในสวรรค์หรือชาติหน้า) ทว่าคนธรรมดาทั่วไปในบางอาชีพ เช่น ‘พยาบาล’ หรือ ‘ช่างตัดผม’ สามารถมี telos ไปพร้อมๆ กับสิ่งล่อได้ ส่วนใหญ่แล้ว พยาบาลต้องทำงานเกี่ยวข้องกับคน จึงไม่ได้ ‘สักแต่ทำ’ เพื่อให้งานผ่านพ้นไป แต่หลายคนมีความรู้สึกร่วมและความเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย เช่นเดียวกับช่างตัดผมหลายคนที่ไม่ได้แค่ตัดๆ ไปให้เสร็จๆ ทว่าต้องค่อยๆ พิถีพิถันดูแลให้ทรงผมนั้นรับกับใบหน้าเพื่อให้ลูกค้ามี ‘ความสุข’ ด้วย เหล่านี้นี่แหละที่เรียกว่า telos แต่เป็น telos ที่ได้รับสิ่งล่อคือค่าตอบแทนไปพร้อมกัน
คำถามที่เกิดขึ้นกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลก็คือ – รัฐบาลมีความมุ่งหมายจะสร้างให้ ‘ประชาชน’ ของประเทศ มีความสามารถในการเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ เพื่อจะบรรลุ telos ของตัวเองพร้อมกับมีรายได้ด้วยหรือเปล่า
หรือสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ คือแค่จะทำให้ประชาชนมี ‘ทักษะ’ ตามที่ตลาดแรงงานต้องการ เพื่อจะได้บรรลุถึงแค่สิ่งล่อเท่านั้น?
telos กับสิ่งล่อไม่ใช่ขั้วตรงข้าม และ อดัม สมิธ กับ อริสโตเติล ก็ไม่ใช่นางแบกกับติ่งส้มที่จะต้องคอยทะเลาะกันในทุกเรื่อง แต่สองปรัชญานี้สามารถหนุนเสริมกันได้ เพราะด้านหนึ่งเน้นไปที่ ‘จุดมุ่งหมาย’ ที่จะทำให้การทำงานนั้นๆ เป็นไปอย่างมีความหมายและมีความสุข ขณะที่อีกด้านหนึ่งเน้นไปที่แรงจูงใจในรูปของตัวเงิน
การเน้นด้านสิ่งล่อเพียงด้านเดียว โดยไปมุ่งเน้นตั้งแต่ ‘ระบบการศึกษา’ ซึ่งก็คือการบ่มเพาะปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็กปฐมวัย ให้สนใจแต่การเพิ่มทักษะของตัวเองเพื่อจะเอาไปแข่งขันกันเพื่อมุ่งหวังแค่สิ่งล่อ จะทำให้พลเมืองที่รัฐไทยผลิตขึ้นกลายเป็นแค่ทรัพยากรหรือสัตว์เศรษฐกิจ
ที่อาจแย่ไปกว่านั้นคือ ถ้ารัฐไม่มีแนวคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการสังคม หรือการสร้าง ‘ตาข่าย’ รองรับความเป็นคนผ่าน social security ต่างๆ แล้วละก็ มันจะเหมือนการติดอาวุธให้ประชาชนด้วยทักษะ แล้วก็ผลักพวกเขาเข้าสู่สนามประลองให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนแย่งชิงสิ่งล่อกันเอาตามใจชอบ ผลลัพธ์คือจะมีผู้แพ้และผู้ชนะในแบบ zero-sum game คือมีคนได้และคนเสีย ซึ่ง ‘คนได้’ ก็จะยิ่ง ‘ได้’ มากขึ้นไปเรื่อยๆ นำไปสู่สังคมที่มีเจ้าแห่งทุนผู้ผูกขาดไม่กี่เจ้า ในขณะที่ ‘ผู้แพ้’ ต้องมีชีวิตเหมือนตกเป็นทาสที่ไขว่คว้าหา ‘เศษของสิ่งล่อ’ ตลอดไป โดยไม่มีโอกาส ‘โงหัว’ ขึ้นมาถามตัวเองเลยว่า – อะไรคือ telos ในชีวิต!
ที่น่ากลัวก็คือ – หากว่าเรา ‘ถูกทำให้ชิน’ กับระบบเศรษฐกิจแบบนี้ ตั้งแต่ระดับ ‘ระบบการศึกษา’ (เช่นตั้งแต่เป็นเด็กปฐมวัย) เราก็จะมองเห็นชีวิตได้เพียงแบบเดียว คือใครเกิดมาในสถานะแบบ ‘ผู้ชนะ’ (เช่นลูกเศรษฐี) หรือใครเกิดมาในสถานะ ‘ผู้แพ้’ (เช่นลูกคนจน) ก็อาจเกิดการ ‘ยอมรับ’ สถานะนั้นได้โดยอัตโนมัติในระดับที่เห็นว่าเป็น ‘ชุดศีลธรรม’ (morality) ที่เป็น norm ของสังคมไปเลย จนไม่เหลือที่ทางให้คิดเปลี่ยนแปลงอะไร
ฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Nietzsche) เรียกระบบศีลธรรมแบบนี้ว่า master-slave morality หรือศีลธรรมแบบนายและทาส ซึ่งคนที่มีศีลธรรมแบบนาย (หรือผู้ชนะ) ก็จะมุ่งเน้นความแข็งแกร่ง การต่อสู้ การแสดงออก การยืนหยัดด้วยตัวเอง คนเหล่านี้มักมีแนวโน้มยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ที่ว่าตลาดเสรี (free market) แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาคือคำตอบ เพราะตนและพวกของตนมี ‘ต้นทุน’ ที่เหนือกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว – จึงเอาชนะคนอื่นๆ ได้ง่าย
ในขณะเดียวกัน คนที่มีศีลธรรมแบบทาส ก็จะเกิดความรู้สึกว่าตนอ่อนแอ แม้ถูกกดขี่ก็จะคิดว่านั่นเป็น ‘สภาพจำยอม’ ทำนองว่าก็เกิดมาเป็นแบบนี้จะให้ทำอย่างไรได้ ยิ่งถ้าถมทับด้วยแนวคิดทางศาสนาว่าเป็นกรรมเก่า ชาติที่แล้วเคยทำชั่วมาก่อน ก็จะมีลักษณะ ‘ยอมจำนน’ สิ่งที่ทำได้มากที่สุดก็คือมุ่งเน้นปกป้องตัวเอง เห็นว่าความเจียมตัวเป็นคุณสมบัติที่ดี ไม่ต้องคิดลุกขึ้นชิงดีชิงเด่นแข่งขันกับคนกลุ่มแรกหรอก – เพราะทำอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ
วิธีคิดแบบนีทเชอถูกวิพากษ์ว่าเป็นแนวคิด ‘ทวินิยม’ หรือแบ่งโลกเป็นสองขั้วสองข้าง จนอาจ ‘ลดทอน’ ความซับซ้อนของศีลธรรม และอาจนำไปสู่การตีความผิดๆ ได้หลายเรื่อง แต่ถ้าเรานำปรัชญานี้ของนีทเชอมาจับกับคำแถลงนโยบายของรัฐบาล เราจะเห็น ‘ความเป็นไปได้’ ที่นโยบายเกี่ยวกับระบบการศึกษาของไทย อาจนำทางเราไปสู่สังคมแบบที่ว่าก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อเราให้ความสำคัญกับ ‘แรงจูงใจ’ ในรูปเงินทองและความร่ำรวยมากกว่า ‘จุดมุ่งหมาย’ แบบ telos เพราะสุดท้ายแล้ว ทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นอาจข้ามเส้นการเป็นแค่แรงจูงใจ ไปผสมพันธุ์กับเส้นศีลธรรมอีกแบบ จนกลายเป็นสมการ ‘ความรวย = ความดี’ และกลายเป็นต้นแบบให้ทั้งสังคมเดินหน้าไปบนเส้นทางเดียวกันนี้ก็ได้
เราอาจต้องย้อนกลับมาคิดร่วมกันว่า – เป้าหมายของการศึกษาโดยเนื้อแท้แล้ว คืออะไร
ใช่, ด้านหนึ่งคือการทำให้เรามีทักษะที่ตอบสนองต่อตลาดแรงงาน และร่วมกันสร้างสังคมที่มั่งคั่งขึ้นมาได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องพิจารณาร่วมกันด้วยว่า – ใช่หรือไม่, ที่การศึกษาควรช่วยให้มนุษย์ได้ ‘มุ่งพัฒนา’ ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะในด้านสติปัญญา การอยู่ร่วมกันในสังคม ความสุขร่วม สวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ หรือแม้กระทั่งในมิติที่เราเรียกกันว่า ‘ศีลธรรมร่วม’ ในสังคม
ระหว่างมนุษย์ที่มีเหตุมีผล (ดังแนวคิดของ ฌอง ฌาคส์ รุสโซ) รู้ความต้องการ และเป้าหมายหรือ telos ในชีวิตของตน – กับการเป็นแค่ ‘สัตว์เศรษฐกิจ’ ฟันเฟืองเบี้ยหมากที่ไร้จุดหมายในชีวิตนอกจากมุ่งทำงานรับใช้ทุน – สองสิ่งมีชีวิตนี้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเป็นขั้วตรงข้ามแบบขาวดำนะครับ เพราะสามารถผสมผสานกันให้เกิดสมดุลขึ้นมาได้
และน่าจะถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของ ‘รัฐบาล’ นี่แหละ ที่ต้อง ‘ออกแบบ’ นโยบายตั้งแต่พื้นฐานการศึกษา เพื่อให้เกิดความกลมกลืนลงตัวมีสมดุลของการมีชีวิตสองรูปแบบนี้ให้ได้
เพราะนี่คือเรื่องสำคัญจริงๆ!