แรงจูงใจให้ผมจูงมือตัวเองหยิบจับนิยายเรื่อง Distancia de Rescate มาอ่าน เป็นคำบรรยายสรรพคุณที่ปกหลังของหนังสือ ระบุไว้ว่า “ได้รับรางวัล The Shirley Jackson Awards ในฐานะนวนิยายขนาดสั้นยอดเยี่ยมประจำปี ค.ศ.2017 และได้เข้ารอบสุดท้าย The International Booker Prize ในปีเดียวกัน”
ตรงที่ทำให้ผมเกิดอาการหูผึ่ง เกิดความสนใจขึ้นมาฉับพลัน คือรางวัลอันตั้งตามชื่อเชอร์ลีย์ แจ็กสัน เพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติผลงานอันยอดเยี่ยมของเธอ
The Shirley Jackson Awards มอบให้แก่วรรณกรรมแนวระทึกขวัญเชิงจิตวิทยา สยองขวัญ และแฟนตาซีสะท้อนด้านมืด โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 6 สาขา คือ นิยาย, นิยายขนาดสั้น, เรื่องสั้น, รวมเรื่องสั้นของนักเขียนคนเดียว และรวมเรื่องสั้นแบบ Anthology (โดยนักเขียนหลายคน)
ผมนั้นชื่นชอบประทับใจในงานเขียนของเชอร์ลีย์ แจ็กสันเป็นอันมาก ถึงขั้นตั้งปณิธานว่าจะตามอ่านงานของเธอที่ได้รับการแปลเป็นไทยให้ครบถ้วน ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ไม่ต้องออกแรงเยอะ ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะมีแค่ 3 เล่มเท่านั้น
ในจำนวนนี้ เป็นนิยาย 2 เล่ม คือ The Haunting of Hill House (บ้านหลังนี้มีคนตาย) และ We Have Always Lived in the Castle (บนดวงจันทร์ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ) ทั้ง 2 เล่มผมเคยเขียนแนะนำเล่าสู่กันฟังไปแล้ว สามารถติดตามอ่านย้อนหลังได้ตามอัธยาศัย
ส่วนอีกเล่มเป็นงานรวมเรื่องสั้นชื่อ The Lottery and other stories (ล็อตเตอรี่ และเรื่องสั้นรหัสคดีอื่นๆ)
งานเขียนของเชอร์ลีย์ แจ็กสัน เป็นเรื่องสยองขวัญที่เด่นมาก ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ให้ความรู้สึกหลอน ประหลาด มืดหม่น มีจังหวะการเล่าช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่อึกทึกครึกโครม ปราศจากการจู่โจมอาละวาดแบบซึ่งๆ หน้าตรงไปตรงมา เทียบกับเรื่องสยองส่วนใหญ่ที่นักอ่านคุ้นเคยแล้ว อาจจะดูเรียบง่าย จนไม่น่าสะพรึงกลัว ไม่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่รสสยองและระทึกขวัญในงานเขียนของเธอ อยู่ตรงที่การพรรณนารายละเอียดดูสมจริงและเปี่ยมด้วยความเป็นไปได้ สร้างความรู้สึกไม่เป็นสุข วิตกกังวล รบกวนจิตใจ ตลอดทุกขณะในการอ่าน และที่ยอดเยี่ยมมากคือความลึกของตัวละครและเนื้อหาสาระ
ใจความทั้งหมดในย่อหน้าข้างต้น สามารถยืมมาใช้เพื่อสรุปอธิบายถึงจุดเด่นของ Distancia de Rescate ได้สบายๆ เลยครับ แม้ว่าโดยท่วงทีลีลาการเขียน ฉากหลัง และรายละเอียดปลีกย่อยมากมายหลายแห่ง จะผิดแผกแตกต่างกันมากพอสมควร แต่โดยภาพรวมกว้างๆ ไกลๆ ผมคิดว่า ซามันตา ชเวบลิน (ผู้เขียนเรื่อง Distancia de Rescate) มีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่จะเป็นทายาทหรือลูกหลานด้านวรรณกรรมของเชอร์ลีย์ แจ็กสัน โดยไร้ข้อกังขา
ซามันตา ชเวบลิน เกิดเมื่อปี 1978 เป็นชาวอาร์เจนตินา แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่พำนักอาศัยอยู่ที่เบอร์ลิน โด่งดังเป็นที่รู้จักจากงานรวมเรื่องสั้น Mouthful of Birds (2019) Seven Empty Houses (2022) และจากนิยายเรื่อง Distancia de Rescate (2014) กับ Little Eyes (2018)
นอกจากจะได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติมากมายแล้ว ซามันตา ชเวบลินยังได้รับเลือกให้ติดกลุ่มเป็น 1 ใน 22 นักเขียนที่ดีที่สุด ซึ่งใช้ภาษาสเปนและมีอายุต่ำกว่า 35 ปี จากนิตยสาร Granta เมื่อปี 2010
ยกย่องกันว่า ซามันตา ชเวบลินเก่งกาจในการเล่าเรื่องราวสยองขวัญชวนขนหัวลุก ท่ามกลางบรรยากาศฉากหลังที่ปกติทั่วไป และดูเผินๆ เหมือนไม่มีพิษมีภัย ดำเนินเรื่องและใช้สำนวนการเขียนที่กระชับรัดกุม เข้มข้นชวนติดตาม และที่สำคัญคือแสดงออกแต่น้อย ทว่ากินความเยอะ ทำให้พล็อตเรื่องที่เรียบง่ายเต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมายที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงออกมาตรงๆ แต่ซ่อนแฝงไว้อย่างแนบเนียน
Distancia de rescate เขียนเป็นภาษาสเปน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2014 และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2017 โดยเมแกน แมคโดเวลล์ ซึ่งตั้งชื่อเรื่องว่า Fever Dream (ชื่อเดิมในภาษาสเปน ถอดความตรงๆ คือ Rescue distance หรือ ‘ระยะกู้ภัย’) นอกจากจะได้รับรางวัลและคำวิจารณ์ในทางยกย่องชื่นชมแล้ว งานชิ้นนี้ยังได้รับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังเมื่อปี 2021 โดยเคลาเดีย โยซา (Claudia Llosa) ผู้กำกับชาวเปรู
Distancia de rescate หรือ Fever Dream มีให้ดูใน Netflix ด้วยนะครับ ผมยังไม่สบโอกาสดู ทว่ามีข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับฉบับภาพยนตร์ นั่นคือคะแนนโหวตจากผู้ชมทั่วไปค่อนข้างต่ำ (ได้ 5.4 เต็ม 10) สวนทางกับความเห็นจากนักวิจารณ์ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีน่าพึงพอใจ
ความไม่ลงรอยข้างต้นนี้ ผมนึกสันนิษฐานได้ว่าคงเป็นเพราะหนังไม่ได้สนุกบันเทิงในแบบที่ผู้ชมคุ้นเคย (แปลว่าไม่สนุกก็ได้ครับ) กับอีกเหตุผลที่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญคือ ถ้าหนังดัดแปลงโดยยึดถือทำตามนิยาย เป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะทำออกมาเป็นหนังที่ซับซ้อนเข้าใจยาก
นิยายเรื่อง Distancia de rescate มีเปลือกนอกเป็นของแสลงชวนขยาดอยู่หลายสิ่ง เมื่อแรกพบเจอะเจอ อาจชวนให้รู้สึกเสียขวัญ เกิดอาการยำเกรง แต่พอผู้อ่านค่อยๆ คุ้นเคยมากขึ้นตามลำดับ การเล่นท่ายากทั้งหลายประดามี ก็กลายเป็นลีลาชั้นเชิงทางศิลปะที่เพลิดเพลินชวนอ่านชวนติดตามอย่างยิ่ง
Distancia de rescate เป็นเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าหลายชั้น เหตุการณ์หลักหรือปัจจุบันขณะ เป็นบทสนทนาระหว่างคุณแม่ยังสาว ชื่ออามานดา กับเด็กชายวัย 9 ขวบ ชื่อดาบิด ในคลินิกแห่งหนึ่ง
ฉากสนทนานี้เกิดขึ้นแบบเล่าทะลุกลางปล้องขึ้นมาทันที ไม่มีการเกริ่นนำหรือคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น อามานดามีอาการป่วย ใกล้ตาย เหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิด ดาบิดชวนคุยขอร้องให้เธอพยายามทบทวนความจำว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อค้นหาจุดเริ่มต้นของหนอน ซึ่งหมายถึงเชื้อโรค สารพิษ หรืออาการป่วย
แล้วเรื่องราวก็ย้อนไปสู่อดีตไม่กี่วันก่อนหน้านั้น อามานดากับลูกสาววัย 6 ขวบชื่อนีนา เดินทางจากเมืองหลวงมายังชนบท (ไม่มีการระบุแน่ชัดว่าเป็นเมืองใด) เพื่อพักผ่อน เธอได้พบและรู้จักกับกาลาร์ (แม่ของดาบิด) ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง การพบปะนี้นำไปสู่เรื่องเล่าของกาลาร์ เมื่อ 6 ปีก่อน เกี่ยวกับความป่วยไข้ของดาบิด (อายุ 3 ขวบในตอนนั้น) ซึ่งดื่มน้ำปนเปื้อนสารพิษ กระทั่งอาการทรุดหนักร่อแร่ การ์ลาจึงตัดสินใจไปหา ‘แม่เฒ่าแห่งบ้านสีเขียว’ เพื่อขอความช่วยเหลือ และทำสิ่งที่เรียกว่า ‘การถ่ายโอน’
นิยายให้คำอธิบายไว้กว้างๆ แค่ว่า ‘การถ่ายโอน’ คือการแบ่งสารพิษในร่างผู้ป่วยไปสู่อีกคนหนึ่ง และผลข้างเคียงคือเกิดการสลับเปลี่ยนวิญญาณกัน พูดง่ายๆ คือเพื่อรักษาชีวิต (หรือรักษาร่างกาย) ของดาบิด อาจต้องแลกมาด้วยการที่เด็กชายรอดตาย แต่กลายเป็นคนอื่น ผู้มีนิสัยใจคอและพฤติกรรมแตกต่างจากคนเดิม
ย่ำแย่กว่านั้นคือการที่กาลาร์ไม่อาจหยั่งรู้ว่า วิญญาณของดาบิดไปมีชีวิตในร่างของใคร? และอยู่ที่ไหน?
พล็อตคร่าวๆ ช่วงต้นเรื่องที่ผมเล่ามา ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากนิยายสยองขวัญทั่วไปเลยนะครับ และถ้าติดตามอ่านต่อจนจบ ก็ไม่มีความพิสดารอันใดมากไปกว่านั้นทั้งสิ้น
ความพิเศษของ Distancia de rescate อยู่ที่วิธีเล่าเรื่องและฝีมือการเขียน ซึ่งสามารถยกย่องสรรเสริญได้สั้นๆ ว่า ‘เหนือชั้น’
ประการแรกคือ ตั้งแต่ต้นจนจบ ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาระหว่างอามานดากับดาบิดล้วนๆ ไม่มีองค์ประกอบที่นักอ่านคุ้นเคยอย่างคำอธิบาย การพรรณนาบรรยายรายละเอียดของฉากหลัง สถานที่ รูปลักษณ์ของตัวละคร ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องหมายคำพูด หรือการระบุว่าตรงไหนเป็น ‘บทสนทนา’ ของใคร
มีเพียงการใช้ตัวเอนสำหรับคำพูดของดาบิด และตัวอักษรปกติที่เป็นถ้อยคำของอามานดา
ยิ่งไปกว่านั้น บทสนทนายังสลับไปมาระหว่าง 3 ช่วงเวลา คือปัจจุบัน อดีตไม่กี่วันก่อนหน้านั้น และเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว
อาจกล่าวได้ว่าตัวนิยายทั้งเรื่องเล่าผ่านปากคำและมุมมองของอามานดา แต่ซ้อนลึกลงไปอีกชั้น ก็มีส่วนที่เป็นเรื่องเล่าจากปากคำของการ์ลา (ผ่านความทรงจำของอามานดา ซึ่งเล่าซ้ำแบบคำต่อคำ)
ความโลดโผนในการเล่าเรื่องประการต่อมาคือ เวลาในนิยายเรื่องนี้ไม่ได้เรียงลำดับอย่างตรงไปตรงมา แต่สลับข้ามไปมา และมีจังหวะแทรกเปลี่ยนแบบพรวดพราดฉับพลันอยู่บ่อยครั้ง
พูดอีกแบบ โครงสร้างการดำเนินเรื่องมีลักษณะคล้ายๆ การวนซ้ำ และในการอ่านแบบติดตามจดจ่อกับเหตุการณ์ หลายครั้งผมก็ต้องหยุดตั้งคำถามกับตัวเองว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงเวลาไหน เรื่องเล่านี้เป็นคำให้การของกาลาร์หรือการทบทวนความหลังของอามานดา
ฟังดูเหมือนจะซับซ้อนยากแก่การทำความเข้าใจ แต่ความเป็นจริงก็คืออ่านง่าย เข้าใจง่าย (แม้ว่าจะต้องใช้สมาธิและตั้งใจอ่านมากกว่าปกติอยู่บ้าง) ผมคิดว่าเป็นความจงใจของผู้เขียนในการทำให้มุมมองผู้เล่าเรื่องและช่วงเวลามีความผสมปนเป เพื่อเทียบเคียงความเหมือนความต่างของตัวเหตุการณ์ และความรู้สึกวิตกกังวล หวั่นระแวงของผู้เป็นแม่ทั้งสองคน (ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของนิยายเรื่องนี้)
ส่วนที่ (อาจจะ) ยากจริงๆ คือบทลงเอยทิ้งท้าย ซึ่งซามันตา ชเวบลิน ทิ้งรายละเอียดหลายๆ อย่างไว้โดยไม่มีคำอธิบาย เช่น เกิดอะไรขึ้นกับกาลาร์ในเวลาต่อมา รวมทั้งคำถามใหญ่ที่ผู้อ่านน่าจะสงสัยอยู่ตลอดทั้งเรื่องว่า การพูดคุยกันของดาบิดกับอามานดา เป็นความจริงหรืออาการเพ้อไปเองของฝ่ายหลัง
อย่างไรก็ตาม ความยากในย่อหน้าข้างต้น ผมคิดว่าสำหรับคนที่ดูหนังและอ่านนิยายแบบต้องตีความมาพอสมควรแล้ว เหล่านี้เป็นความยากในระดับที่พอจะรับมือไหว
การหายไปดื้อๆ ของกาลาร์ อาจอธิบายได้หรือมีคำตอบแบบกำปั้นทุบดินได้ว่า เพราะบทบาทความจำเป็นของเธอกับเรื่องที่นิยายต้องการเสนอ จบครบถ้วนแล้ว ขณะที่อีกหลายๆ คำถามก็เป็นความยากแบบมีคำตอบ คือไม่ข้อ ก. ก็ข้อ ข.
ไม่ใช่ความยากแบบเล่าแสดงเสนอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วปราศจากร่องรอยเบาะแสให้ยึดเหนี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้แหละครับ ยากและโหดจริง
Distancia de rescate แค่มีรายละเอียดหลายอย่าง เป็นเหตุการณ์ในลักษณะ ‘ปลายเปิด’ สามารถเป็นไปได้มากกว่าหนึ่ง และไม่ได้มีบทสรุปให้ผู้อ่านเสร็จสรรพกระจ่างชัด ความคลุมเครือนี้อาจขัดเคืองใจผู้อ่านที่คุ้นเคยกับนิยายที่จบแบบเฉลยข้อสอบครบทุกข้อ แต่ข้อดีก็คือมันท้าทายและสนุกในการคิดหาคำตอบ
ยกตัวอย่างเช่น ผมมองนิยายเรื่องนี้ได้เป็น 2 แบบ อย่างแรกคือเป็นเรื่องสยองขวัญมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเข้ามาข้องเกี่ยว คือ การถ่ายโอน ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ได้แสดงรายละเอียดของกรรมวิธีไว้เลย แค่บอกกล่าวคร่าวๆ ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น และชวนให้คิดไปว่าเป็นพิธีกรรมไสยศาสตร์ ถ้าเชื่อในแง่นี้ Distancia de rescate ก็จะเป็นเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับการแลกร่างเปลี่ยนวิญญาณ
ด้วยน้ำหนักการนำเสนอที่เท่าเทียม (รวมทั้งจากการเล่นกับความคลุมเครือในหลายๆ ส่วน) นิยายเรื่องนี้สามารถมองอีกแบบว่าเป็นงานในแนวทางสมจริงได้เช่นกัน การถ่ายโอนอาจเป็นเพียงแค่การบำบัดรักษาแบบหนึ่ง พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังจากนั้นของผู้ป่วย อาจสืบเนื่องมาจากผลกระทบของความป่วยไข้ที่ยังไม่หายขาดเป็นปกติ
สำหรับผมแล้ว เมื่อมองว่าเหตุการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องเล่าในแนวสมจริง ความสยองน่ากลัวกลับยิ่งมากกว่าการเลือกเชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
ตัวเหตุการณ์และหลายๆ รายละเอียดใน Distancia de rescate อาจมีลักษณะก้ำกึ่ง คลุมเครือ แต่ที่เด่นชัดปราศจากข้อเคลือบแคลงคือประเด็นทางเนื้อหา ซึ่งอันที่จริงก็เปิดกว้าง มีแง่มุมให้เลือกจับทำความเข้าใจได้มากมาย แต่มี 2 ประเด็นที่นิยายเรื่องนี้นำเสนอไว้อย่างหนักแน่น
ประเด็นแรก ความรักของแม่ที่มีต่อลูก จนถึงขั้นวิตกจริต หวั่นเกรงไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดเรื่องร้ายอันตรายต่อลูก ชื่อเรื่อง ‘ระยะต้านภยันตราย’ หรือ ‘ระยะกู้ภัย’ เป็นการคิดคำที่ใช้อธิบายอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงการขยายความที่ว่า ระหว่างแม่กับลูกนั้นมี ‘เชือกล่องหน’ ยึดโยงกันอยู่ บางครั้งเชือกก็หย่อน บางครั้งก็ตึงเขม็ง เมื่อความรู้สึกเบื้องลึกฟ้องเตือนว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ
ผมนึกถึงคำว่า ‘สายใย’ และ ‘ห่วงใย’ นะครับ
Distancia de rescate นำสองคำข้างต้นมาขยายความเป็นรูปธรรม สะท้อนถึงความกลัว ความวิตกกังวล การที่แม่พยายามปกป้องคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากสิ่งร้ายๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ในความเป็นเรื่องสยองขวัญ ระทึกขวัญ Distancia de rescate ไม่มีเหตุการณ์หวือหวาโลดโผนจำพวกที่ชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจเลยสักนิด ความรู้สึกเหล่านี้มาปรากฏผ่านบทสนทนาของอามานดา ที่พรรณนาอารมณ์ความรู้สึกของเธอต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของลูกสาว ซึ่งผมอ่านแล้วหายใจไม่ทั่วท้อง
ประเด็นต่อมาคือ การชี้ให้เห็นโทษภัยอันตรายของปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแหล่งน้ำและอากาศปนเปื้อนด้วยสารพิษ
ที่น่าสนใจก็คือ Distancia de rescate ไม่ได้สะท้อนประเด็นแง่มุมดังกล่าวในแบบที่เราท่านคุ้นเคย ด้วยการอธิบายแจกแจงถึงที่มาสาเหตุ ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น ในท่วงทีลักษณะของรายงานข่าวหรือสารคดี แต่ซามันตา ชเวบลินใช้รูปแบบและขนบของเรื่องสยองขวัญ เล่าสะท้อนสิ่งเหล่านี้ในเชิงเปรียบเปรย แสดงถึงโทษภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าสะพรึงกลัว
ความเก่งกาจอีกอย่างหนึ่งคือ ตลอดทั่วนิยายไม่ได้บอกกล่าวไว้ชัดๆ ตรงไหนตอนใดเลยนะครับ ว่าสภาพน้ำและอากาศเป็นพิษเกิดจากอะไร
จนเมื่ออ่านซ้ำรอบสอง จึงพบว่ามีการกล่าวถึงไร่ถั่วเหลืองอยู่บ่อยครั้งมาก
ผมจึงเพิ่งเข้าใจว่าเป็นด้วยการปลูกถั่วเหลือง โดยใช้ยาฆ่าแมลงและสารเคมีนี้เอง ทำให้ชนบทในเรื่องกลายเป็นเมืองอาบยาพิษ จนนำไปสู่เหตุการณ์สยองขวัญ
Distancia de rescate เป็นนิยายที่ยิ่งอ่านซ้ำก็ยิ่งเจอรายละเอียดที่น่าสนใจ ยิ่งพบการเล่าเรื่องและการเขียนที่แยบยล
และเป็นนิยายที่ยิ่งอ่านซ้ำเท่าไร ก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ มากเท่านั้น