การป้องปรามในทางตรงข้าม ท่ามกลางโลกที่เสี่ยงเสียสมดุล

เดือนสิงหาคมถือเป็นช่วงรำลึกการสิ้นสุดสงครามแปซิฟิกหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางฝั่งเอเชีย แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว 79 ปี แต่ก็ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้เป็นหมุดหมายคิดสะท้อนอุดมคติสันติภาพอันเป็นสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองความเป็นไปในโลกขณะนี้ที่ระอุไปด้วยความรุนแรงหลายแห่งหน ทั้งที่กำลังดำเนินอยู่หรือที่รอปะทุในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยูเครนหรือฉนวนกาซ่า การเผชิญหน้าของชาติในเอเชีย ไปจนถึงความไม่แน่นอนของโลกจากการเมืองของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ

ญี่ปุ่นดูจะยังคงให้ความสำคัญกับเดือนสิงหาคม ซึ่งมีพิธีรำลึกในวันที่ 6, 9 และ 15 เรียงตามลำดับจากเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ และวันยุติสงครามที่ตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เค้าลางของสันติภาพอันขลุกขลักเผยให้เห็นจากรายนามแขกผู้มีเกียรติที่นายกเทศมนตรีของทั้งสองเมืองเชิญเข้าร่วมพิธีรำลึกสันติภาพ กรณีที่ทูตรัสเซียไม่ได้รับเชิญไปทั้งสองงานคงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ เมื่อโลกและผู้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าควรประนามรัสเซียและแสดงความเป็นเอกภาพในการต่อต้านสงครามยูเครน

แต่ขณะที่ทูตอิสราเอล ประเทศที่กำลังโจมตีพื้นที่ฉนวนกาซ่าเพื่อไล่ล่าแกนนำฮามาสจนผู้คนบริสุทธิ์ล้มตายไปจำนวนมากได้รับเชิญจากเมืองฮิโรชิม่า แต่กลับถูกทางการนางาซากิปฏิเสธ ในทางกลับกันตัวแทนปาเลสไตน์ไม่ได้รับเชิญที่ฮิโรชิม่าแต่ได้รับเชิญที่นางาซากิ นายกเทศมนตรีเมืองนางาซากิชี้แจงว่าต้องการเลี่ยงเหตุวุ่นวายเพราะมีผู้คนไม่น้อยคัดค้านการกระทำของอิสราเอลและอาจก่อการประท้วง แต่นี่ก็ไม่ช่วยให้ทูตอังกฤษ สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอีกหลายชาติที่ประจำอยู่ในญี่ปุ่นลดราท่าทีไม่พอใจและยืนกรานไม่ไปร่วมงานที่นางาซากิเพื่อย้ำจุดยืนสนับสนุนอิสราเอล

ความยากลำบากเช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ย่อยซึ่งฉายให้เห็นบริบทใหญ่ว่าความขัดแย้งและการแบ่งฝักฝ่ายในโลกเวลานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นเท่านั้น แต่นานาชาติและผู้คนในที่ต่างๆ ต้องเผชิญภาวะทางแพร่ง (dilemma) อันยากที่จะตัดสินใจว่าควรเลือกเดินทางไหน ควรเข้ากับฝ่ายใด อีกทั้งจะกำหนดจุดยืนและแสดงออกเช่นไร ซึ่งล้วนก่อความเสี่ยงและค่าเสียหายไปคนละแบบแล้วแต่ทางที่ตัดสินเลือก และในที่สุดแล้วจุดไหนคือดุลยภาพที่เหมาะสมที่ควรประคองไว้เพื่อประโยชน์ของตนและเพื่อนมนุษย์

แม้ในปีนี้ญี่ปุ่นยังคงรำลึกหายนะของสงครามและย้ำจุดยืนใฝ่สันติเช่นที่เคยเป็นมา แต่เมื่อมองนอกกรอบการปรุงแต่งแห่งพิธีการแล้ว แนวคิดว่าด้วยสันติภาพที่ญี่ปุ่นถกแถลง โดยเฉพาะหลักเหตุผลจากทางรัฐบาล ดูจะมีนัยเปลี่ยนไปอย่างมากจากแต่ก่อน ซึ่งสะท้อนสภาวะที่ประเทศเผชิญกับทางแพร่งและพยายามหาดุลยภาพใหม่ในยุคสมัยนี้ สำหรับญี่ปุ่น สันติภาพเคยหมายถึงการยึดมั่นจุดยืนที่จะคงกองกำลังระดับต่ำเพื่อป้องกันประเทศ เลี่ยงการข้องเกี่ยวในยุทธศาสตร์การทหาร ห้ามส่งออกอาวุธสู้รบสงคราม และผลักดันวาระ ‘โลกอันปราศจากอาวุธนิวเคลียร์’

แต่สันติภาพตามนัยข้างต้นกำลังถอยร่นให้กับแนวคิดอีกแบบ นั่นคือ ‘สันติภาพบนฐานความเข้มแข็ง’ (peace through strength) ซึ่งมีอิทธิพลครอบงำนโยบายความมั่นคงมากขึ้นทุกที นี่ส่งผลให้ญี่ปุ่นเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม ปฏิรูปกองกำลังให้แข็งแกร่ง และปฏิบัติการร่วมทางทหารกับพันธมิตรได้ทัดเทียมกันยิ่งขึ้น ทั้งยังอนุญาตให้ส่งออกอาวุธได้ยืดหยุ่นกว่าเก่า และปฏิเสธการเข้าร่วมกรอบสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapon) ไม่ต่างอะไรจากมหาอำนาจนิวเคลียร์อื่นๆ ที่แสดงท่าทีอิดออด โดยทั้งหมดนี้มีข้ออ้างว่าเพื่อ ‘สันติภาพ’

สันติภาพแบบนี้มีนัยหดแคบเหลือเพียงความหมายว่า ‘ภาวะที่ยังไม่เกิดสงคราม’ หาใช่หมายถึงความปรองดองสมานฉันท์ การมีไมตรีจิตต่อกันหรือแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อความสุขสงบของเพื่อนมนุษย์ เหตุที่สงครามยังไม่เกิดนั้น กลับเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างสั่งสมแสนยานุภาพเพื่อถ่วงคานกัน โดยทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวและไม่กล้าเปิดศึกก่อน ต่างฝ่ายมีส่วนร่วมอยู่ในตรรกะที่ต้องเพิ่มพูนและแสดงพละกำลังให้ดูน่าเกรงขามอยู่เสมอเพื่อลดความเชื่อมั่นของอีกฝ่ายว่าจะชนะได้เมื่อเปิดการโจมตี นี่ก็คือแนวทาง ‘ป้องปราม’ (deterrence) นั่นเอง

ดูเหมือนโลกที่แบ่งขั้วขัดแย้งกันขนาดนี้ในปัจจุบัน สันติภาพคงเกิดขึ้นได้ยากจากความร่วมมือร่วมใจของนานาชาติ สันติภาพบนฐาน ‘การป้องปราม’ จึงกำลังเลื่อนขึ้นเป็นกระแสหลักในการเลี่ยงสงครามและคงสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ (status quo) ระหว่างฝ่ายที่เป็นศัตรูคู่อริกัน ผู้เขียนได้อธิบายถึงการป้องปรามมาหลายครั้งแล้วในงานชิ้นก่อนๆ สำหรับข้อเขียนนี้จะขอลองวิเคราะห์ ‘ด้านตรงข้าม’ ของยุทธศาสตร์ป้องปรามนี้ที่ดูจะกลายเป็นเครื่องมือหลักในการยับยั้งสงครามแห่งยุคสมัย

ด้านตรงข้ามที่ว่านี้หมายถึงเมื่อรัฐบริหารจัดการกลไกป้องปรามได้ไม่ดีหรือไม่สามารถรักษาสมดุลที่เหมาะสมได้ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงไปในหลายทาง อย่างการทำให้ความหวาดระแวงระหว่างกันทวีมากยิ่งขึ้น การแข่งขันกันสั่งสมกำลังก็อาจเป็นชนวนไปสู่การปะทุของสงครามได้ โดยการป้องปรามอาจล้มเหลวจากการเผยความอ่อนปวกเปียกที่เหมือนเป็นการเชิญชวนอีกฝ่ายให้เปิดศึกโจมตี หรือด้วยการแสดงความแน่วแน่จริงจังและไม่ยอมอ่อนข้อเกินกว่าเหตุ ซึ่งยิ่งขับเน้นความเป็นอริและกดดันอีกฝ่ายจนกลายเป็นการยั่วยุให้ตัดสินใจใช้กำลังขึ้นได้เช่นกัน

เราจะลองสำรวจเหตุการณ์ปัจจุบันที่สะท้อนด้านตรงข้ามหรือการเสียสมดุลในการป้องปราม โดยเฉพาะที่ปรากฏในรูป ‘การติดบ่วงความขัดแย้ง’ (entrapment) หรือทำให้ความขัดแย้ง ‘บานปลายใหญ่โต’ (escalation) และจะวิเคราะห์ว่าสหรัฐฯ ที่พัวพันอยู่ในยุทธศาสตร์ป้องปรามกับหลายกลุ่มชาติพันธมิตร มีกลไกและเครื่องมืออะไรบ้างที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไถลหลุดสมดุลไปฝั่งตรงข้ามจนอาจติดบ่วงสงครามที่ขยายใหญ่อย่างไม่จำเป็น โดยเน้นกรณีตะวันออกกลางและบางเหตุการณ์ในเอเชียตะวันออก

สันติภาพบนความเสี่ยงและไม่กล้าเสี่ยง

การป้องปรามที่ได้ผลวางอยู่บนสมดุลอันละเอียดอ่อน จะว่าไปแล้วผลการทำงานของยุทธศาสตร์นี้อาจพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป้าประสงค์ของมันคือ ‘การไม่ก่อให้เกิด’ อะไรบางอย่างขึ้นหรือคงสภาพการณ์เดิมไว้ จึงไม่อาจวัดผลแบบที่เราคุ้นเคยกันด้วยการประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนไปจากการกระทำหนึ่งๆ แต่ในเชิงตรรกะแล้ว การรักษาสภาพให้อยู่คงเดิมโดยยับยั้งไม่ให้มีใครเคลื่อนไหวหรือก่อการอันไม่พึงประสงค์ ด้วยการสื่อถึงผลเสียหรือโทษ (cost) จากการฝ่าฝืน ถือเป็นยุทธศาสตร์สำหรับจัดการระเบียบโลกและภูมิภาคมาเนิ่นนาน

อย่างไรก็ดี วิถีทางนี้ก็มีความเสี่ยงและขึ้นอยู่อย่างมากกับการบริหารจัดการดุลยภาพที่เหมาะสม ยิ่งเมื่อฝ่ายที่เราต้องการยับยั้งการกระทำมีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและมีสมรรถนะที่จะขยายศักยภาพต่อไปได้อีก การป้องปรามจึงอยู่บนตรรกะการแข่งขันเพื่อไม่ให้ตนมีพละกำลังด้อยกว่าและแสดงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงระดับศักยภาพ ตลอดจนความแน่วแน่ เอาจริง และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับพฤติกรรมใดๆ ที่ละเมิดหรือทำลายระเบียบที่เป็นอยู่ง่ายๆ เหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายอันเป็นเป้าการป้องปรามได้ตระหนักไว้ ขณะเดียวกัน หากรัฐหนึ่งรัฐใดไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตนเอง เช่นเมื่อคู่กรณีมีศักยภาพเหนือกว่ามาก การหาพันธมิตรเพื่อการป้องปรามก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล

เนื่องจากโลกทุกวันนี้มีชาติใหญ่หลายขั้วมากขึ้นและบางประเทศมีความต้องการปรับแปลงระเบียบเพื่อประโยชน์และอำนาจส่วนตน ยิ่งมีประเทศที่มองว่าแสนยานุภาพที่เพิ่มพูนขึ้นควรเป็นใบเบิกทางสู่การอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ รวมทั้งสิทธิในการวางกฎและกะเกณฑ์พฤติกรรมของรัฐอื่นๆ ด้วยแล้ว ชาติที่มีผลประโยชน์ยึดโยงกับระเบียบปัจจุบันที่มีสหรัฐฯ คอยค้ำยันเสถียรภาพอยู่จึงรู้สึกถึงภัยคุกคามร่วมกัน ความวิตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อท่าทีของจีน ทำให้เกิดการจับกลุ่มและเครือข่ายที่เรียกอย่างคลุมเครือว่า ‘ชาติผู้ยึดจุดยืนเดียวกัน’ (like-minded countries)

อิทธิพลของจีน รวมทั้งความวุ่นวายในยูเครนและคาบสมุทรเกาหลีที่มองกันว่ามีต้นเหตุจากชาติพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับจีน ยิ่งกระตุ้นให้ชาติที่มีจุดยืนเดียวกันกับขั้วสหรัฐฯ มุ่งสนใจ ‘กลไกป้องปราม’ เพื่อกันไม่ให้เกิด ‘การใช้กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ตามอำเภอใจ’ วลีนี้ได้กลายเป็นหลักเหตุผลให้หลายชาติที่มีศักยภาพระดับรองสั่งสมกำลังเพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องปราม ซึ่งหมายรวมถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย ท่าทีเช่นนี้ถือเป็นพัฒนาการใหม่และดูจะขัดต่อหลักใฝ่สันติดั้งเดิม แต่แนวทางนี้ก็เป็นไปเพื่อเลี่ยงสงคราม เป็นการธำรงสันติภาพอีกแบบที่ไม่เคร่งครัดว่าจะต้องใช้ ‘สันติวิธี’

สันติภาพบนกองกำลังและพันธมิตรทางทหารกำลังเป็นประเด็นจดจ่อที่เด่นชัดมากขึ้นจากความเคลื่อนไหวอย่างน้อยก็ในปีนี้ สหรัฐฯ เน้นการกระชับและยกระดับพันธมิตรแถบอินโดแปซิฟิกที่สอดรับกับ ‘ศักราชใหม่ด้านความมั่นคง’ (new era of security) ซึ่งตั้งใจหมายถึงการเกิดข้อท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อนในหลากหลายแนวหน้าจากการจับขั้วของรัฐผู้จ้องจะสั่นคลอนโค่นล้มระเบียบ ตลอดจนหลักคุณค่าสากล ทำให้ต้องเสริมกลไกสกัดและยับยั้งการแผ่อิทธิพลอำนาจให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

‘ยุทธศาสตร์ป้องปราม’ กำลังก่อร่างสร้างเครือข่ายการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารในหมู่ชาติร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ด้วยเป้าหมายเพื่ออุดช่องโหว่ที่ยังเปราะบาง (weakest link) ของบางจุดยุทธศาสตร์ หรือเพื่อทำให้รัฐพันธมิตรสามารถปฏิบัติการร่วมกันได้ (interoperability) อย่างไร้รอยต่อ โดยเฉพาะในยามฉุกเฉิน ตลอดจนเพื่อผนวกศักยภาพเข้าด้วยกันเป็นอำนาจองค์รวม (collective capacity) ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรระดับโลก ให้ดูยิ่งใหญ่พอที่จะแสดงให้อีกฝ่ายรู้สึกยำเกรง

เมื่อการป้องปรามเสื่อมสมดุลในยุโรป

อย่างไรก็ดี แม้การป้องปรามจะเป็นความหวังในการเลี่ยงสงครามใหญ่ในโลกปัจจุบัน แต่ความขัดแย้งที่บานปลายกลายเป็นการใช้กำลังในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อย่างกรณียูเครนและกาซ่า อาจมองว่าเป็นผลพวงจากการป้องปรามที่โคลงเคลงจนหลุดจากสมดุล แม้ทั้งสองกรณีจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลคนละแบบซึ่งจะบรรยายต่อไป การวิเคราะห์รูปแบบการป้องปรามที่ถลำไปในทางตรงข้ามนี้สามารถเป็นบทเรียนที่ช่วยประคองสมดุลให้เกิดเสถียรภาพและเลี่ยงสงครามทางฝั่งเอเชีย ซึ่งก็ยืนอยู่บนการป้องปรามที่เปราะบางไม่แพ้กัน

สงครามยูเครนที่รัสเซียเผด็จศึกเมื่อต้นปี 2022 หากมองผ่านข้อกล่าวอ้างที่ว่าความมั่นคงของรัสเซียถูกสั่นคลอนจากการขยายสมาชิกนาโต้ (NATO) มาประชิดพรมแดน ก็อาจเกิดอารมณ์ร่วม ‘เห็นใจ’ ฝ่ายรัสเซีย แต่การเปิดศึกใช้กำลังป้องกันเขตอิทธิพลเดิมของตนนี้ก็สะท้อนว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่ได้เกรงกลัวพันธมิตรนาโต้ถึงขนาดนั้น การส่งสัญญาณและข่มขู่ว่ารัสเซียจะเผชิญความเสียหายขนานใหญ่หากล่วงล้ำอธิปไตยยูเครน ดูจะไม่น่าเชื่อถือพอ ปูตินมั่นใจว่าการเสี่ยงฝ่าข้ามเส้นขีดคั่นแนวผลประโยชน์นี้ นอกจากพันธมิตรอีกฝ่ายจะไม่กล้าต่อต้านอะไรรุนแรงแล้ว ตนอาจบรรลุเป้าประสงค์ที่ต้องการได้อีกด้วย

ความฮึกเหิม (embolden) ของอริที่เดินหน้าท้าทายและทำตามอำเภอใจเป็นผลอย่างหนึ่งจากการป้องปรามที่เสื่อมประสิทธิผลและความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมที่ทำให้อีกฝ่ายจับได้ถึงความอ่อนด้อยศักยภาพ หรือรู้สึกว่าเราไม่กล้า หรือ ‘ไม่แน่จริง’ ที่จะโต้หรือสวนกลับได้รุนแรงเหมือนดังคำขู่และต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์อย่างถึงที่สุด รูปแบบพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นในกรณีต่างๆ และสั่งสมมาในอดีตก็เป็นอีกปัจจัยที่อีกฝ่ายใช้คำนวณและประเมินว่าจะสามารถเดินหน้าท้าทายเราได้แค่ไหน

สหรัฐฯ ที่มีประวัติไม่ค่อยคงเส้นคงวาในการแสดงความแน่วแน่ต่อการปกป้องพื้นที่อิทธิพลโดยเฉพาะที่ขยายจากเขตอธิปไตยหรือศูนย์กลางผลประโยชน์ของตนไปคุ้มครองหรือป้องปรามให้รัฐพันธมิตรในภูมิภาคต่างๆ (extended deterrence) ส่งผลลดทอนความน่าเชื่อถือในเรื่องความแนบแน่นของระบบพันธมิตร ตั้งแต่รัฐบาลโอบาม่าเป็นต้นมา ที่สหรัฐฯ ถูกมองว่าอ่อนล้าจากบทบาทตำรวจโลก ด้วยเหตุที่ไปติดหล่มในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย พอทรัมป์ขึ้นนำประเทศ ท่าทีแน่วแน่ในฐานะผู้นำที่คอยคุ้มกันค้ำจุนพันธมิตรโลกเสรียิ่งสั่นสะเทือน

หนำซ้ำการตอบสนองต่อเหตุการณ์ยึดไครเมียเมื่อปี 2014 อันเสมือนเป็นการหยั่งเชิงของรัสเซียต่อผู้คุมกฎระเบียบก็ดูอ่อนปวกเปียก ทั้งยังตอกย้ำความไม่เอาจริงและทิ้งพันธมิตรในกรณีอื่นๆ ของสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มาอีกด้วย ชาติยุโรปในกรอบนาโต้ก็ไม่สู้เข้มแข็ง ยิ่งเมื่อถูกทรัมป์กดดันให้เพิ่มงบประมาณทางทหารเพื่อดูแลระเบียบร่วมกันก็ยิ่งเผยให้เห็นภาวะพึ่งพิงอยู่แต่กับสหรัฐฯ ความไม่ลงรอยระหว่างสมาชิก ตลอดจนการเกี่ยงกันผลักภาระ (buck-passing) ซึ่งสะท้อนความไม่มีปึกแผ่นหรือพิษสงนัก ผู้นำรัสเซียอาจประมวลผลจากประสบการณ์เหล่านี้และมองคำขู่ของไบเดนที่ว่าจะลงทัณฑ์ขั้นรุนแรงที่สุดที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์กับรัสเซียหากรุกรานยูเครน เป็นแค่วาทศิลป์เลื่อนลอย

กรณีกาซ่า: การป้องปรามที่ไถลไปทางตรงข้าม

อีกด้านของเหรียญคือกรณีการเสียสมดุลการป้องปรามไปในทางตรงข้าม ต่างจากข้างต้นที่รัฐหนึ่งแสดงความแน่วแน่ ยืนหยัด และเอาจริง ‘น้อยไป’ การข่มขู่กดดันคู่อริรุนแรงไปและส่งสัญญาณปกป้องพันธมิตรแบบไม่มีเงื่อนไขจนเกินไปก็อาจเกิดภาวะที่อีกฝ่ายรู้สึกถูกยั่วยุและอาจทำให้เข้าใจว่าฝั่งเราเปลี่ยนจุดยืนจากตั้งรับเพื่อยับยั้งไปสู่การรุกคืบเพื่อคุกคาม (offensive) ที่ย่อมกระตุ้นให้อีกฝ่ายไม่อาจนิ่งเฉย ส่งผลให้ความตึงเครียดทวีมากขึ้นและแทนที่จะสามารถรักษา status quo ต่อไปได้ อาจส่งเสริมให้เกิดการปะทะกันด้วยกำลังได้ง่ายขึ้น

การเผด็จศึกของอิสราเอลต่อฉนวนกาซ่าอาจสามารถมองเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหานี้ให้เห็นได้ จริงอยู่ที่อิสราเอลถูกยั่วยุก่อนโดยปฏิบัติการของฮามาสเมื่อต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ดังภาพข่าวการสังหารหมู่และจับผู้คนในอิสราเอลไปเป็นตัวประกัน แต่การโต้กลับแบบเกินสัดส่วนไปมากก็ทำให้อิสราเอลเป็นฝ่ายเผชิญเสียงก่นด่าและแรงกดดันจากนานาชาติ แม้อิสราเอลจะชูวาทกรรมเทียบปมที่ตนเคยเป็นเหยื่อการสังหารหมู่ชาวยิวสมัยนาซีเยอรมนี (Nazi Holocaust) แต่การกระทำที่หมิ่นเหม่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ในกาซ่า ก็กำลังทำให้ความชอบธรรมจากโศกนาฏกรรมในอดีตสูญสลายไป

สหรัฐฯ ผู้สนับสนุนหลักแก่อิสราเอลจึงประสบกับสภาวะทางแพร่ง ในแง่หนึ่งจุดยืนเข้าข้างอิสราเอลเป็นไปเพื่อเป้าหมายป้องปรามหรือเพื่อรักษาเสถียรภาพ status quo และดุลอำนาจในภูมิภาค ยิ่งเมื่อสหรัฐฯ มองกลุ่มก่อการร้ายที่รายล้อมอิสราเอล (ฮามาส ฮิสบอลเลาะห์) รวมถึงรัฐผู้สนับสนุนใหญ่อย่างอิหร่านเป็นภัยที่ต้องยับยั้งการขยายอิทธิพลในภูมิภาค จึงยังต้องยืนกรานจุดยืนเข้าข้างอิสราเอลต่อไป แต่การให้ท้ายอย่างไม่มีข้อแม้ก็มีส่วนส่งเสริมให้อิสราเอลบุ่มบ่ามไร้ความชั่งใจ เดินหน้าจู่โจมพื้นที่พลเรือนเพื่อค้นหาและล่าตัวผู้นำฮามาสให้ได้

การที่สหรัฐฯ เห็นความจำเป็นว่าจะต้องให้ความช่วยเหลือและปกป้องอิสราเอล ทั้งที่กลายเป็นผู้ที่สั่นคลอน status quo และฟาดงวงฟาดงาเกินกว่าเหตุจนทำให้หลายฝ่ายในพื้นที่เคลื่อนไหวตอบโต้จนโกลาหลบานปลายนั้น ก็อาจมาจากความหมกมุ่นเรื่องกลไกป้องปราม โดยเฉพาะศัตรูใหญ่อย่างอิหร่าน เพื่อป้องกันไม่ให้เผด็จศึกเข้าร่วมในสงคราม การแสดงความหนักแน่นนี้ยังอาจหวังผลให้ชาติอื่นๆ เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ทิ้งพันธกิจคุ้มกันพันธมิตรไปง่ายๆ ยิ่งในยามที่กลไกป้องปรามในที่ต่างๆ เผชิญปัญหาความน่าเชื่อถือจากท่าทีสหรัฐฯ จากกรณียูเครนมาอยู่ก่อนแล้ว

สหรัฐฯ อาจตกอยู่ในภาวะติดบ่วง (entrap) จากการเสียสมดุลของกลไกป้องปราม เมื่อฝ่ายที่สหรัฐฯ ให้การประกันความมั่นคงกลับกลายเป็นรัฐที่เผด็จศึกเสียเอง โดยมีเหตุปะทะหรือกระทบกระทั่งในพื้นที่เป็นชนวนตั้งต้น การมีพันธมิตรศักยภาพสูงคอยสนับสนุนมีส่วนผลักดันให้เกิดการยกระดับความขัดแย้ง (escalation) จนบานปลายอย่างที่เห็นได้จากอาการของอิสราเอลในตอนนี้ แต่ปัจจัยหลักเบื้องหลังการไม่ลดราวาศอกและยุติสงครามตามเสียงเรียกร้องของสหรัฐฯ และนานาชาติโดยเร็วนั้น อาจมาจากการเมืองภายในของอิสราเอลเองด้วย

โดยกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งในประเทศและที่ร่วมอยู่ในรัฐบาลเนทันยาฮู ต้องการเห็นการโจมตีดำเนินต่อไปเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก และอาจใช้เป็นโอกาสขยายอิทธิพลและขอบเขตดินแดนของอิสราเอล ขณะเดียวกันก็สกัดกั้นวิธีการทางการทูตเพื่อสันติภาพไม่ให้บรรลุผลโดยง่าย สหรัฐฯ ที่เห็นว่ายังคงต้องคุ้มกันอิสราเอลและป้องปรามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากการสู้รบจนกลายเป็นสงครามบานปลายยิ่งต้องเข้ามาพัวพันและติดกับดักความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อิสราเอลอาจกลายเป็นฝ่ายที่ยั่วยุและยกระดับจนกลายเป็นสงครามใหญ่อยู่ดี

ยุทธศาสตร์ที่ทรงตัวบนเส้นเชือก

ที่ผ่านมาใช่ว่าสหรัฐฯ จะเห็นดีด้วยกับอิสราเอล เราเห็นความพยายามเรียกคืนสมดุลในกรณีกาซ่าจากท่าทีต่างๆ เพื่ออัดฉีดความยับยั้งชั่งใจเข้าไปในรัฐบาลอิสราเอล ถึงขั้นที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการข่มขู่ที่จะระงับการส่งความช่วยเหลือ เนื่องจากสถานการณ์ในเวลานี้สุ่มเสี่ยงว่าชาติพันธมิตรเสียเองที่นำความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ จัดสรรให้ไปใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ซึ่งขัดกับเป้าประสงค์และหลักคุณค่าที่สหรัฐฯ ยึดถือ

สหรัฐฯ มีเครื่องมือสำหรับวางเงื่อนไขและตรวจสอบว่าพันธมิตรฝ่ายตนใช้เงินช่วยเหลือไปในทางที่ขัดต่อค่านิยมสากลอย่างการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงหรือไม่ กฎเลฮีย์ (Leahy Law) กลายเป็นที่พูดถึงท่ามกลางภาพสลดของพลเรือนจากการโจมตีฉนวนกาซ่า กฎหมายของสหรัฐฯ นี้เรียกตามชื่อวุฒิสมาชิกแพทริก เลฮีย์ ซึ่งเสนอและผ่านรัฐสภาปลายทศวรรษ 1990 โดยเป็นเครื่องรับประกันว่าเงินที่กระทรวงการต่างประเทศและกลาโหมจัดสรรให้แก่กองกำลังต่างชาติฝ่ายพันธมิตรจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

การอ้างถึงกฎหมายนี้เพื่อตรวจสอบอิสราเอลเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ มองสงครามกาซ่าที่เรื้อรังไปในทางลบและมองเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพของภูมิภาค อีกทั้งต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และสมดุลในการป้องปรามโดยรวม เพื่อฉุดรั้งการกระทำบุ่มบ่าม รัฐบาลไบเดนถึงกับระงับการส่งอาวุธล็อตใหญ่ชั่วคราวเพื่อกดดันและเกลี้ยกล่อมอิสราเอลไม่ให้เดินหน้าโจมตีพื้นที่ราฟาห์ ฐานลี้ภัยสุดท้ายของประชาชนในกาซ่า ทั้งยังให้มีการสืบสวนว่าอิสราเอลใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ในปฏิบัติการที่ละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนหรือไม่

แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งเตือนพันธมิตรอย่างอิสราเอลว่าอย่าริอาจข้ามเส้นที่กระทบต่อสหรัฐฯ แต่ทั้งสองก็เกี่ยวพันกันเกินกว่าจะกลับมาหาสมดุลของการป้องปรามอันเหมาะสมในภูมิภาคได้ง่ายๆ เมื่อการต่อสู้ได้อุบัติและคืบหน้าไปแล้ว สหรัฐฯ จึงถูกลากเข้าไปร่วมแบบถอนตัวไม่ขึ้น ทำให้หลายฝ่ายโดยเฉพาะในพรรครีพับลิกันหวั่นเกรงว่าท่าทีลดการสนับสนุนแก่อิสราเอลอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามฮึกเหิม อีกทั้งอิทธิพลของชนชาวยิวในการเมืองสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งมาเนิ่นนานก็ล้วนเป็นอุปสรรคให้ไม่สามารถกดดันอิสราเอลได้รุนแรง

เราจึงเห็นภาวะติดบ่วงพัวพันเข้าไปในเกมของชาติพันธมิตรที่เป็นฝ่ายทำลาย status quo เสียเอง เมื่อการใช้กำลังบังเกิดอันเป็นสัญญาณว่ากำแพงป้องปรามสึกกร่อนและทลายลงแล้ว ตรรกะเชิงยุทธศาสตร์ก็ถูกแทนที่ด้วยการคิดคำนวนอีกรูปแบบ สหรัฐฯ อาจเคยยึดมั่นท่าทีมองอยู่ห่างๆ แบบคอยสอดส่องสถานการณ์อยู่ฟากกระโน้น โดยจะเข้าหาพันธมิตรเพียงเพื่อรักษาดุลอำนาจให้แน่ใจว่าไม่มีใครผงาดขึ้นครองความเป็นใหญ่ในภูมิภาค หรือที่เรียกว่าการคานอำนาจจากระยะไกล (offshore balance)

แต่สงครามอาจดึงสหรัฐฯ ให้เข้ามาแสดงตนเด่นชัดมากขึ้นเพื่อช่วยพันธมิตรในพื้นที่ (onshore balance) ไม่ให้พ่ายแพ้แก่ศัตรู แม้สหรัฐฯ อาจจำกัดบทบาทแค่การให้ความช่วยเหลือเป็นเงินตราและอาวุธ แต่ก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงสงครามที่ขยายใหญ่และยิ่งชักนำมหาอำนาจให้ถลำเข้าไปในสมการ ตรรกะอาจเรียกร้องสหรัฐฯ อีกด้วยว่าการนึกจะถอนตัว หรือแม้แต่แสดงการมีส่วนร่วมน้อยไป ดูไม่จริงจังในการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ อาจทำให้พันธมิตรกรอบอื่นๆ ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ข้างนอกเข้าใจว่าคงพึ่งพาสหรัฐฯ ไม่ได้เท่าไหร่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

เพราะนอกจากการ ‘เขียนเสือให้วัวกลัว’ แล้ว การพิสูจน์ความแน่วแน่เมื่อสถานการณ์ปะทะกันเกิดขึ้นจริงอาจสำคัญยิ่งกว่าด้วย ดังนั้น การถอนตัวไม่ได้แล้วยังยิ่งถลำเข้าไปในสมรภูมิจึงเป็นแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นจากการคำนึงถึงสมดุลและความน่าเชื่อถือของกลไกป้องปรามในแนวหน้าอื่นๆ หรือภูมิภาคอื่นๆ ของโลก แม้กรณีกาซ่าอาจมีคนไม่น้อยเห็นดีด้วยถ้าสหรัฐฯ จะถอยจากการช่วยอิสราเอล แต่ข้อกังวลต่อการป้องปราม ‘ระดับโลก’ ตามตรรกะข้างต้นอาจเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้สหรัฐฯ ยังคงยืนหยัดร่วมสู้ไปกับอิสราเอล แม้จะต้องแลกด้วยผลเสียต่างๆ ก็ตาม

สันติภาพอันเปราะบางฝั่งอินโดแปซิฟิก

เหตุการณ์ที่มหาอำนาจติดหล่มตรรกะลักษณะนี้มีให้เห็นในสมัยสงครามเย็น เมื่อการแสดงความน่าเชื่อถือของระบบพันธมิตรทำให้สหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับการเข้าร่วมสงครามตัวแทนในหลายแห่ง โดยใช่ว่าจะมองพื้นที่หรือพันธมิตรนั้นๆ ว่าสำคัญโดยตัวมันเอง แต่สหรัฐฯ เกรงกลัวว่า ‘โดมิโนจะล้ม’ จากการไม่แสดงให้เห็นความแน่วแน่ที่จะปกป้องและต่อสู้ด้วยกันกับพันธมิตรหนึ่งๆ นำไปสู่ความกังขาของพันธมิตรอื่นๆ ต่อภาวะผู้นำของสหรัญฯ และอาจคิดย้ายข้างการพึ่งพิงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างสหภาพโซเวียตแทน เมื่อชาติแล้วชาติเล่าทำเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนโดมิโน่ที่ล้มต่อๆ กันไปในภาพจิตนาการ

เมื่อหันมองเอเชียตะวันออก โชคดีที่กลไกป้องปรามยังคงทำงานต่อเนื่องอยู่ แต่นั่นก็ขึ้นกับการแสดงออกและบทบาทของสหรัฐฯ ในพื้นที่ที่การป้องปรามเสื่อมทรุดลงแล้วว่าจะดูขึงขัง ส่งผลสำเร็จจนสามารถส่งเสริมความน่าเชื่อถือในฐานะผู้นำได้แค่ไหน อีกทั้งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือการสื่อสารให้มิตรและอริในอินโดแปซิฟิกเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่หลบหนีไปไหน ไม่อ่อนล้าจากสมรภูมิอื่น และไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นที่จะคุ้มกันพันธมิตรเป็นแน่ แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น สมดุลที่การป้องปรามทรงตัวอยู่นี้ก็ถูกท้าทายจากพลวัตใหม่ซึ่งเรียกร้องการปรับยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องตามไปด้วย

เมื่อมหาอำนาจในพื้นที่อย่างจีนเปิดเกมรุกแบบอ่อนๆ มากยิ่งขึ้น ในพื้นที่ซึ่งตนอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกับพันธมิตรในเอเชียของสหรัฐฯ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายชาติรู้ว่าสหรัฐฯ มีเกมยุทธศาสตร์ของตนเองที่ต้องเข้าหาอย่างระวังและคงหวังพึ่งไม่ได้ทุกเรื่องทุกเวลาไป นั่นเป็นเหตุให้ต้องกระจายความเสี่ยงในเรื่องเครื่องมือป้องกันความมั่นคงของชาติเหล่านี้ เช่น การเพิ่มแสนยานุภาพของตนเองและขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านกลาโหมกับชาติอื่น ถึงกระนั้นโครงสร้างที่มีสหรัฐฯ เป็นแกนกลางซึ่งทุกฝ่ายได้ลงทุนลงแรงก่อร่างสร้างมาตลอดก็ยังเป็นเสาหลักและสำคัญต่อการป้องปรามในภูมิภาค

สหรัฐฯ ก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อพลวัตที่เกิดขึ้น เราเห็นการปรับท่าทีให้เอียงเอนไปตามน้ำหนักบนตาชั่งแห่งดุลการป้องปราม จากเดิมที่ ‘ยุทธศาสตร์คลุมเครือ’ (strategic ambiguity) ดูจะครอบงำการเข้าหาอริและมิตรในภูมิภาคนี้ สหรัฐฯ ปรับท่าทีมาเป็นเน้นความหนักแน่นมากขึ้นในการส่งสัญญาณว่าจะไม่ทิ้งพันธมิตร ที่จริงแล้ว ‘ความคลุมเครือ’ แต่เดิมนั้นทำหน้าที่รับประกันสองทาง (double reassurance) คือปรามภัยคุกคามให้กับพันธมิตร ขณะที่ปรามพันธมิตรไม่ให้ได้ใจว่ามีสหรัฐฯ ให้ท้ายอยู่เสมอจนเป็นฝ่ายกระทำบุ่มบ่ามตามอำเภอใจเสียเอง

สหรัฐฯ เล่นเกมที่มองว่าไม่ใช่จีนฝ่ายเดียวที่อาจทำลาย status quo ด้านไต้หวันซึ่งก็มีเป้าหมายของตนเองที่ต้องการบรรลุ ก็มีแรงจูงใจเป็นฝ่ายทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน อาจด้วยการประกาศเอกราช หรือกระทำยั่วยุจีนจนเป็นชนวนกดดันให้เกิดการเผด็จศึก จีนเตือนเสมอว่าท่าทีเข้าข้างไต้หวันรังแต่จะทำให้กลุ่มที่ตั้งใจแยกตัว (separatist) เหิมเกริมและก่อความตึงเครียดจนสั่นคลอนเสถียรภาพในช่องแคบได้ จีนมักกล่าวหาด้วยว่า ขณะที่สหรัฐฯ ย้ำจุดยืน ‘จีนเดียว’ แต่สิ่งที่เห็นคือความกลวงเปล่าปราศจากเนื้อใน (hollowing out) ของคำพูดเมื่อเทียบกับการกระทำในช่วงไม่นานมานี้

ปัจจัยสั่นคลอนสมดุลทางยุทธศาสตร์ในอนาคต

เมื่อจีนมีทีท่าหาญกล้ามากขึ้นในการขยายเขตอำนาจ ความวิตกว่าไต้หวันจะเป็นฝ่าย ‘หาเรื่องก่อน’ ก็ลดน้อยถอยลงไป สหรัฐฯ จึงลดระดับความคลุมเครือที่เคยรักษามา หันเข้าหาความชัดเจนมากขึ้นในการสื่อสารว่าตนจะไม่ทอดทิ้งไต้หวันและจะเข้ามาคุ้มกันในยามวิกฤตแน่ แม้ท่าทีใหม่นี้จะเติมเชื้อความตึงเครียดข้ามช่องแคบให้มีมากขึ้น แต่นั่นก็อยู่บนตรรกะการรักษาดุลแห่งการป้องปราม หรือก็คือการเสริมตัวแปรให้จีนรู้สึกไม่มั่นใจและไม่กล้าเปิดศึกเพื่อยึดคืนไต้หวันในเร็ววัน ขณะที่ไต้หวันเองก็หาทางถ่วงน้ำหนักให้ตนได้เปรียบด้วยการสร้างแนวร่วมพันธมิตรที่ไม่อิงเพียงสหรัฐฯ และเสริมแสนยานุภาพของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น

ถึงจะดูหมิ่นเหม่เพราะสมดุลนี้ตั้งอยู่บนความตึงเครียดและการเพิ่มพูนกำลังรบของแต่ละฝ่าย แต่การปรับกลยุทธ์ไปตามบริบทดุลอำนาจใหม่ก็มีส่วนทำให้การป้องปรามทรงตัวได้และไม่ถลำไปทางตรงข้ามอย่างยุ่งเหยิง อีกแนวหน้าที่สมดุลการป้องปรามกำลังถูกท้าทายในย่านตะวันออกไกลนี้ และมีความสุ่มเสี่ยงจะไถลไปด้านตรงข้ามอยู่ตลอดเวลาคือน่านน้ำตะวันตกของฟิลิปปินส์หรือ ‘ทะเลจีนใต้’ ที่ซึ่งความตึงเครียดเผยโฉมในรูปของการใช้กำลังปะทะข่มขู่กันระหว่างเรือยามฝั่งของจีนกับกองกำลังฟิลิปปินส์บ่อยครั้งจนน่าเป็นห่วง

ณ ขณะนี้อาจพูดได้ว่าปัญหาทะเลจีนใต้แสดงตนชัดเจนที่สุดบริเวณน่านน้ำรายล้อมสันดอนพิพาทระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ การปะทะระดับย่อมๆ ที่เกิดถี่ขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทำให้รัฐบาลมาร์กอสตื่นตัวเรื่องการเสริมสร้างกลไกป้องปรามด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระชับพันธมิตรกับสหรัฐฯ โดยตกลงให้นำกำลังมาวางในฟิลิปปินส์ได้ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มเติมทั้งกับชาติใหญ่ในเอเชียและยุโรป และการจัดซ้อมรบร่วมเพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพ ทั้งนี้เพื่อหวังให้จีนมีความยับยั้งชั่งใจในเรื่องการขยายพื้นที่อิทธิพลในน่านน้ำประชิดฝั่งฟิลิปปินส์

เหตุปะทะเหล่านี้ทำให้ระบบพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น โดยทั้งสองพยายามส่งสัญญาณร่วมกันเพื่อปรามจีน แต่เหตุปะทะที่เกิดขึ้นบ่อยจากการไม่ยอมกันของทั้งสองฝ่าย รวมถึงฟิลิปปินส์ที่อาจมั่นใจตนเองมากขึ้นจากการมีชาติใหญ่หลายแห่งแสดงตนเป็นผู้สนับสนุนก็มีแนวโน้มโต้กลับและไม่ลดราวาศอกให้จีนง่ายๆ จุดยุทธศาสตร์นี้จึงมีสมดุลแห่งการป้องปรามที่ดูโคลงเคลงและอาจก่อชนวนเหตุที่สั่นคลอนระเบียบ และทำให้เกิดภาวะตรงข้ามของการป้องปรามที่เสียสมดุลได้

สหรัฐฯ และชาติแนวร่วมอาจถูกดึงเข้ามามากขึ้นในจุดขัดแย้งนี้ซึ่งในทางภูมิยุทศาสตร์อาจมองเป็นผืนเดียวหรือเชื่อมต่อแนบชิดกับช่องแคบไต้หวัน ความสนใจของสหรัฐฯ ต่อฐานทัพในฟิลิปินส์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อเสริมกลไกป้องปรามให้แก่ไต้หวัน การปะทะที่โจ่งแจ้งในน่านน้ำแถบนั้นอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องตัดสินใจออกหน้า กระโดดเข้ามาแสดงกำลังในพื้นที่ (onshore) มากขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ต่างจากการติดบ่วงเข้ามาในความขัดแย้งของพันธมิตร ในฐานะที่ตนดำรงบทบาทผู้นำระเบียบในแถบนี้ และเป็นผู้คุ้มครองพันธมิตรในอีกหลายภูมิยุทธศาสตร์ที่พึ่งพิงความน่าเชื่อถือของกลไกป้องปรามร่วมกับสหรัฐฯ

ภายใต้สภาวะสมดุลที่สุ่มเสี่ยงจะสูญสลายไปโดยง่ายนี้ เรื่องใหญ่ที่ต้องจับตามองอีกอย่างคือการเมืองของสหรัฐฯ ในปีเลือกตั้งเพื่อผลัดผู้นำในทำเนียบขาว ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดปลายปีนี้ย่อมกระทบกับสมการการคำนวนยุทธศาสตร์ป้องปรามในเอเชียตะวันออก ในเมื่อสหรัฐฯ เป็นตัวแปรสำคัญในทุกๆ ภูมิภาคของโลก รวมทั้งอินโดแปซิฟิก ดุลการป้องปรามจะปรับเปลี่ยนไปเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองในสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คงต้องลุ้นและหาทางบริหารจัดการกันต่อไป

ไม่ผิดนักที่จะสรุปว่าสันติภาพในยุคเริ่มต้นทศวรรษ 2020 นี้ อยู่ในสภาวะที่ถูกสั่นคลอนด้วยสงครามระลอกใหม่ในบางพื้นที่ และความตึงเครียดที่ต้องบริหารจัดการให้ดีบนทางแพร่งและการหาดุลยภาพใหม่ การป้องปรามเป็นเครื่องมือที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสันติภาพบนสันติวิธี ทั้งยังสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นจักรกลส่งเสริมให้เกิดสงครามได้อยู่ดีในกรณีที่ผิดพลาด การป้องกันไม่ให้สมดุลการป้องปรามลื่นไถลไปในทางตรงข้ามเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากเย็น แต่นั่นก็เป็นความหวังหนึ่งในโลกที่ความเป็นศัตรูกันแผ่บรรยากาศครอบงำปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปแล้ว

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save