“สิ่งเดียวที่ศาลยึดมั่นแล้วสังคมจะรอดคือนิติรัฐ” สองซีกตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญไทยสู่ศาลสูงสหรัฐฯ กับ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

“สำหรับผู้พิพากษา ในแง่ของศาลและสถาบันตุลาการ หลักเดียวที่ยึดมั่นแล้วท่านจะรอดและสังคมก็จะรอด คือหลักนิติรัฐ (rule of law)”

บทบาทของตุลาการใต้สังคมประชาธิปไตยนั้นมีหลากหลาย นอกจากตัดสินและตีความกฎหมายแล้ว ตุลาการยังเป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ รวมทั้งเป็น ‘ตัวแปร’ สำคัญที่กำหนดทิศทางการเมืองและโครงสร้างของอำนาจ ไม่ว่าจะในภูมิทัศน์การเมืองไทยหรือสหรัฐอเมริกา

ซีกโลกตะวันตกอย่างสหรัฐฯ กำลังอลหม่าน ด้วยบทบาทศาลสูงสุดของสหรัฐฯ (supreme court) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ขยันออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) เป็นว่าเล่น ศาลจึงต้องขยายขอบเขตจากการตีความกฎหมายสู่การเป็นผู้เล่นหลักในการตรวจสอบและสร้างสมดุลอำนาจทางการเมือง ใต้สภาวะที่นิติบัญญัติซึ่งคุมเสียงโดยพรรครีพับลิกัน -ฟากเดียวกับฝ่ายบริหาร- อาจยังอ่อนแอด้านการตรวจสอบกันเอง

ซีกโลกตะวันออกอย่างไทยก็อลหม่านไม่แพ้กัน วันที่ 18 มีนาคม 2568 วุฒิสภาลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ในกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้เธอจะผ่านการเลือกจากคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม นำมาสู่การตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของวุฒิสภาและกระบวนการในการแต่งตั้ง (รวมถึงตรวจสอบ) องค์กรอิสระ

วันโอวันชวนสนทนากับ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วย ‘ตุลาการ’ จากสองซีกโลก หนึ่งคือผ่านกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เธอประสบแต่ไปไม่ถึงปลายทาง สองคือผ่านบทบาทศาลสูงสุดสหรัฐฯ ท่ามกลางยุคทรัมป์ที่ทำการเมืองวุ่นวายจนฝ่ายตุลาการต้องเป็นหลักสำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุล

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One EP.365: จากศาลรัฐธรรมนูญไทยถึงศาลสูงอเมริกา กับ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2025

YouTube video

คุณสมัครตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง กล่าวคือตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ ผ่านกระบวนการของคณะกรรมการสรรหาด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ แต่พอถึงขั้นของวุฒิสภากลับถูกลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ คุณรู้สึกอย่างไร

ไม่ได้แปลกใจขนาดนั้น ถ้าให้พูดตรงไปตรงมาคือสมัครเพราะมีผู้ใหญ่มาชวน ส่วนตัวไม่รู้เลยว่าตำแหน่งนี้จะว่างลง ถ้าพูดกันแบบกระซิบคืออยากทำงานในฐานะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะเราศึกษาเรื่องเลือกตั้ง อยากเห็นบัตรเลือกตั้งที่ง่ายกว่านี้หรือวิธีนับคะแนนที่รวดเร็วกว่านี้ เราไม่ได้พูดในแง่ที่ว่าอยากเป็น ถ้าต้องเป็นองค์กรอิสระเราจะสนใจทำงานส่วนนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจว่า กกต. จะหมดวาระเมื่อไหร่ 

เราไม่ได้ทะเยอทะยานอยากเข้ามาในพื้นที่นี้ตั้งแต่แรกจึงใช้เวลาตัดสินใจพอสมควร แต่ก็คิดว่าลองดูเพราะเราก็มีคุณสมบัติและมีความหวังดี เราเชื่อว่าถ้าได้เข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็คงเป็นเสียงข้างน้อย แต่ก็อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้สถาบันทางการเมืองโดยเฉพาะองค์กรอิสระในภาพรวมซึ่งถูกตั้งคำถามเยอะมาก มีความชอบธรรม ได้รับความเชื่อมั่น และได้รับความศรัทธามากขึ้น 

หากถามว่าแปลกใจไหมหรือรู้สึกอย่างไร ก่อนอื่นต้องขอบคุณคณะกรรมการสรรหาทุกท่าน กระบวนการสรรหาดีมาก บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งที่เราก็ไม่มั่นใจและไม่คิดว่าตัวเองจะผ่านในขั้นของคณะกรรมการสรรหา นอกจากนี้ เราได้กำลังใจจากคนที่เราไม่รู้จักเยอะมากจากแทบทุกช่องทาง รวมถึงจากหลายท่านที่เรานึกไม่ถึง ขออนุญาตใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกท่านและสังคมโดยรวมจริงๆ 

อย่างไรก็ตาม ในขั้นของวุฒิสภาขออนุญาตเล่าว่าไม่เซอร์ไพรส์ เผอิญมีกัลยาณมิตรได้ข้อมูลมาบอกเราว่า คนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและทิศทางของการรับรองหรือไม่รับรองนั้น เขาพูดเลยว่าจะไม่รับรองเรา ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการตั้งกรรมาธิการวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบประวัติด้วยซ้ำ เราจึงไปด้วยความรู้สึกว่าคงไม่ได้ตำแหน่งนี้หรอก แต่ก็เคารพในคุณสมบัติ คุณวุฒิ และวิจารณญาณของคณะกรรมการสรรหา อย่างน้อยหลักการที่เรามีคงตรงกับคณะกรรมการสรรหา ดังนั้น ในขั้นของวุฒิสภาเราจึงตอบคำถามด้วยความตรงไปตรงมาในแบบของตัวเอง

เราทราบที่มาของวุฒิสภาและเห็นการโหวตรับรองหรือไม่รับรององค์กรอิสระที่ผ่านมาพอสมควร ในขั้นนี้เราก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นหนังคนละม้วน ก็อย่างที่กัลยาณมิตรบอก เขาคงตั้งใจบอกให้เราทำใจ และเราก็ทำใจตั้งแต่ตอนนั้น ถามว่าแปลกใจไหม ไม่แปลกใจ เสียใจหรือไม่ ก็มีนิดหน่อย เราอุตส่าห์ตั้งใจแล้ว แต่รอดูต่อไปว่ากระบวนการนี้จะไปถึงไหน


มีคนแซวที่คุณเคยบอกว่าวุฒิสภาชุดปัจจุบันน่าจะมีทิศทางดีกว่าชุดที่แล้ว และมีความหวังว่าวุฒิสภาจำนวนหนึ่งอาจเป็นตัวของตัวเอง มาถึงวันนี้คุณวิเคราะห์และมองความเป็นอิสระของวุฒิสภาอย่างไร 

ส่วนตัวเป็นคนอยากมองมนุษย์ในแง่ดี อยากเชื่อมั่นในระบบ แม้เราจะวิจารณ์กระบวนการเลือกกันเองของวุฒิสภาตั้งแต่ต้น แต่ในภาพรวมก็คิดว่าเราดูเบากลุ่มก้อนและพลังที่จะเข้ามายึดกุมองคาพยพของรัฐมากเกินไป ตอนนั้นพูดด้วยวิธีคิดว่าต่อให้คุณมาด้วยกระบวนการไหน พอถึงจุดหนึ่งคุณก็น่าจะสามารถใช้วิจารณญาณและวุฒิภาวะตัดสินใจได้ในฐานะมนุษย์ แต่ผลออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าพลังตรงนี้มีมากกว่าที่เราประเมินไว้ ต้องยอมรับว่าเราประเมินผิด

ทั้งนี้ กระบวนการคัดเลือกของเราจบไปแล้ว เราไม่อยากทำให้เป็นเรื่องของสิริพรรณ จึงไม่ออกมาพูดอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรก แต่มันก็เป็นเรื่องของตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งสำคัญมาก เป็นตำแหน่งที่กำหนดทิศทางในอนาคต ซึ่งวุฒิสภาอาจมองว่าเรามีทัศนคติหรือค่านิยมไม่ตรงกันจึงคัดออก แต่อยากบอกว่าความเห็นที่ไม่ตรงกันคือเรื่องปกติ หากรัฐไทยหรือองค์กรอิสระใช้วิธีคัดคนออกจะไม่มีทางปรับตัวและโอบรับประชาชนได้เลย


หากคุณได้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คุณอยากทำอะไร

ด้วยหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทับซ้อนกัน หลายคนอาจบอกว่าเราไม่ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ แต่ส่วนตัวยืนฝั่งที่อยากเห็นอยู่ เพราะระบอบประชาธิปไตยไทยมักจะตั้งไข่แล้วก็ล้มอยู่เรื่อย ขณะที่รัฐธรรมนูญก็ถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อย ส่วนผู้แสดงทางการเมืองก็มักไม่ค่อยเคารพหรือเข้าใจในกระบวนการประชาธิปไตยไทย ดังนั้น การมีกรรมการที่คอยห้ามหรือชี้แจงว่ากติกาควรเป็นแบบไหน ซึ่งคือศาลรัฐธรรมนูญ จึงยังมีความจำเป็นอยู่

แต่ในฐานะกรรมการต้องไม่ทำให้เกิดทางตันทางการเมือง การวินิจฉัยใดๆ หรือคดีหลายครั้งที่ผ่านมา เรารู้สึกว่ามีการรอจังหวะหรือเวลาเพื่อให้เข้าทางผู้เล่นบางคน จึงอยากเห็นกรรมการที่ทำหน้าที่เพื่อรักษาสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือนิติรัฐหรือ rule of law เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่านี่คือคำวินิจฉัยที่คลี่คลายปัญหา ไม่ใช่นำประเทศสู่ทางตัน นี่คือศาลรัฐธรรมนูญในอุดมคติ

อย่างที่บอกว่าถ้าได้เข้าไปก็คงเป็นเสียงข้างน้อย แต่เราอยากเห็นข้อถกเถียงในสังคม กล่าวคือการออกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย ล้วนควรเปิดให้ประชาชนสามารถศึกษาค้นคว้าคำอธิบายของคำวินิจฉัยนั้นได้ เราจะไม่เคยเห็นคำอธิบายจากเสียงข้างน้อย ซึ่งเสียงข้างน้อยก็ควรออกมาบอกว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย สังคมจะได้เข้าใจว่าศาลอธิบายและใช้หลักเหตุผลอะไร ซึ่งสำคัญมาก

ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ออกเหตุผลไปแต่ไม่เปิดให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จะพบว่าไม่มีประเด็นเรื่องการห้ามหมิ่นศาล ประเด็นนี้เพิ่งจะถูกใส่มาในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ศาลในวิญญูชนที่เหมาะสมด้วยคำสุภาพต้องเป็นเรื่องที่รับได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้ศาลเชื่อมโยงกับประชาชน

อีกประเด็นคือเราอยากเห็นกระบวนการตรวจสอบองค์กรอิสระ คำถามคือใครตรวจสอบองค์กรอิสระซึ่งรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วย หากย้อนกลับไปดูรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จะพบว่าเปิดช่องให้ประชาชนเข้าชื่อห้าหมื่นรายชื่อเพื่อถอดถอนองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่กลไกนี้ถูกยกไปในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 องค์กรอิสระจึงเป็นองค์กรที่ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อใคร ซึ่งอันตรายเพราะเมื่ออำนาจไม่ถูกตรวจสอบและรู้สึกว่าลอยตัวในสุญญากาศทางการเมืองได้ ก็จะยิ่งห่างเหินกับประชาชน ขณะที่ประชาชนก็จะเกิดคำถาม นี่เป็นสิ่งที่คงต้องพูดกันต่อไปเมื่อเกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต


ก่อนหน้านี้คุณพูดถึงความสำคัญของทัศนคติที่แตกต่างหลากหลาย คำถามคือกระบวนการแบบไหนจะนำมาสู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีจุดยืนหรืออุดมการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย

นี่เป็นเรื่องยาก ถ้าย้อนดูรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับตั้งแต่มีศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้นมา กล่าวคือฉบับ 2540 ฉบับ 2550 และฉบับ 2560 จะพบว่าใช้กระบวนการรับรองโดยวุฒิสภาทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าอำนาจของวุฒิสภาในการรับรองมีมากน้อยแค่ไหน เปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ตำแหน่งที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะตำแหน่งรัฐมนตรีหรือผู้พิพากษาศาลสูงสุด ก็ต้องผ่านความเห็นชอบโดยวุฒิสภาเหมือนกัน ซึ่งก็มีคนที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบอยู่พอสมควรในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ 

กลับมาที่ประเทศไทย ที่มาของวุฒิสภาผู้มีหน้าที่รับรองก็แตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญสามฉบับข้างต้น โดยฉบับ 2540 วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด ฉบับ 2550 วุฒิสภาครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากการสรรหา ส่วนฉบับ 2560 วุฒิสภามาจากการเลือกกันเอง ซึ่งถูกสังคมตั้งคำถามและมีการตรวจสอบโดยใช้คำว่า ‘ฮั้วกัน’ และเมื่อกระบวนการได้มาซึ่งวุฒิสภามีคำถามด้านความชอบธรรม ก็จะเกิดคำถามถึงการใช้อำนาจตัดสินใจรับรองหรือไม่รับรองด้วย

ขณะที่ฝรั่งเศสมองว่าศาลรัฐธรรมนูญคือศาลการเมือง ให้แต่ละฝ่ายการเมืองต่างเลือกคนเข้ามา จริงๆ ศาลรัฐธรรมนูญไทยก็มีลักษณะเป็นศาลการเมืองสูงกว่า เนื่องจากวินิจฉัยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและนักการเมือง หลายคนรวมถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่านก็พูดถึงการทบทวนและทำให้กระบวนการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเมื่อตอนนี้รัฐธรรมนูญยังไม่ถูกแก้ไขก็คงยังไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริง


ชวนถอดหมวกอดีตแคนดิเดตและมองในมุมนักวิชาการ สำหรับกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นรอบถัดไปนี้ ภายใต้เกมที่ ‘สว.สีน้ำเงิน’ มีบทบาทค่อนข้างมาก คุณประเมินว่าเกมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

เป็นความน่ากังวลใจ อย่างที่ยกตัวอย่างถึงการคัดออกเพราะคุณไม่ใช่พวกเรา หรือก็คือการมีทัศนคติหรือค่านิยมที่ไม่ตรงกัน ซึ่งต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น สังคมก็อาจตั้งคำถามว่าที่วุฒิสภาลงมติรับรองเพราะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ สิ่งนี้จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการรักษานิติรัฐและเป็นกรรมการในกรณีที่เกิดข้อพิพาท

และเมื่อทำให้เกิดความรู้สึกว่าใครเป็นพวกของใครถึงได้ตำแหน่งขึ้นมา ซึ่งอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่สังคมไทยเก่งและสามารถขุดคุ้ยอะไรบางอย่างได้ ซึ่งสิ่งที่ขุดคุ้ยก็อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้ แต่ก็เป็นความกังวลใจว่าความชอบธรรมทางการเมือง ตลอดจนความเชื่อมั่นและความศรัทธาของสถาบันทางการเมือง อนาคตจะดำเนินไปในทิศทางใด


ความท้าทายเรื่องความเชื่อมั่นและความศรัทธาจะเป็นโจทย์ที่วนอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าผลของกระบวนการสรรหาครั้งถัดไปจะเป็นอย่างไร?

ใช่ เปรียบเสมือนกับภาวะเขาควายหรือ dilemma กล่าวคือต่อให้ทำดีแล้ว แต่หากคนไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธา ก็ไม่สามารถรักษากฎระเบียบและจรรโลงความเสถียรของสถาบันทางการเมืองได้ 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเมืองไทยตอนนี้ บางคนอาจบอกว่าประเทศไทยมีรัฐซ้อนรัฐ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ประเทศไทยมีรัฐและมีรัฐบาล ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐและรัฐบาลไม่ได้เดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน กล่าวคือรัฐเป็นอะไรที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล รัฐก็จะดำรงอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้รัฐไทยมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบหนึ่ง ประกอบด้วยสถาบันทางการเมืองต่างๆ โดยศาลรัฐธรรมนูญเองก็เป็นองคาพยพหนึ่งของรัฐ 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ มีตัวแสดงทางการเมืองที่พยายามยึดกุมรัฐเพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาล หรือพยายามกำหนดทิศทางของรัฐเพื่อกำหนดทิศทางของรัฐบาล แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป อำนาจของรัฐก็จะยังคงอยู่ ทำให้อำนาจของรัฐบาลพลเรือนขยับยาก ซึ่งบางคนอาจบอกว่าก็ข้ามขั้วไปจับมือกับคนที่เป็นศัตรูเอง แต่โดยส่วนตัวมองว่ามันเป็นสถานการณ์บังคับ หากไม่ข้ามขั้วก็จับไม่ได้ ใครไม่พอใจก็ไม่ต้องโหวตในการเลือกตั้งครั้งหน้า ใครพอใจและมองว่าเป็นทางออกของประเทศก็โหวต นี่เป็นเรื่องปกติ

แต่สิ่งที่อยากบอกคือเมื่อข้ามขั้วและอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐกำลังถูกยึดกุม ก็ต้องใช้ความกล้าหาญของรัฐบาลพลเรือนในการต่อรอง เมื่อรู้ว่ารัฐกำลังถูกยึดกุมด้วยอำนาจหนึ่ง หากคุณไม่ทำอะไรเลย คุณเองนั่นแหละที่จะอยู่ไม่ได้ นี่คือปัญหาหลักของรัฐบาลตอนนี้ รัฐไทยเป็นรัฐที่มีพลัง รัฐบาลไม่สามารถต่อกรกับรัฐและพลังที่ยึดกุมอำนาจรัฐได้จึงทำให้หลักนิติรัฐล้มเหลว ทั้งยังไม่สามารถทำให้คนที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐต้องแสดงความรับผิดชอบ เราจึงเห็นหลายคดีถูกปล่อยให้ลอยนวลพ้นผิด 

สิ่งที่ต้องการจากรัฐบาลคือคุณต้องแสดงความกล้าหาญและพร้อมที่จะทำให้หลักนิติรัฐได้รับการเคารพยอมรับ จะเห็นว่าหลายเรื่องเป็นรัฐที่กระทำและรัฐบาลต้องแก้ไข เช่น กรณีส่งชาวอุยกูร์กลับ เราคิดว่ารัฐบาลไม่รู้แต่เป็นองคาพยพของรัฐ รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจสั่งการทั้งหมดในรัฐ ทิศทางนโยบายและอุดมการณ์ของรัฐกับรัฐบาลไม่ได้สอดคล้องกัน ขณะที่อำนาจที่พยายามยึดกุมองคาพยพบางส่วนของรัฐก็คอยแต่จะเอาไม้มาทิ่มแทงรัฐบาล นี่คือสภาพการณ์ตอนนี้


ความรู้พื้นฐานรัฐศาสตร์ที่เราเรียนรู้กันคือการบริหารประเทศควรต้องมีกลไกตรวจสอบถ่วงดุล แต่จากที่คุณอธิบายมา ดูคล้ายกับว่าเรายังขาดการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ

ปกตินิติบัญญัติและบริหารจะตรวจสอบอำนาจกัน แต่คำถามคือใครตรวจสอบองค์กรอิสระ รัฐบาลไม่มีอำนาจเหนือองคาพยพที่เป็นองค์ประกอบของรัฐเลย ไม่ว่าจะศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระทั้งหลาย หรือแม้แต่ กอ.รมน. และหน่วยงานความมั่นคง ทั้งหมดนี้ควรต้องอยู่ใต้อำนาจรัฐบาล แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลไม่มีอำนาจสั่งการ ตรวจสอบ หรือให้คุณให้โทษได้ ก็ต้องย้อนกลับไปถึงการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่บกพร่อง

ขณะที่ปัจจุบันเรายังแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้และเจอทางตัน ในภาพรวมทั้งหมดจึงร้อยเป็นเรื่องเดียวกัน จากคำถามว่าทำไมเรายังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ คำตอบคือมันติดอยู่ที่คำวินิจฉัยที่ผ่านมา ถึงบอกว่าอยากเห็นศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นกรรมการที่ไม่ทำให้การเมืองไทยไปสู่ทางตัน และคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว


ถ้าจะเทียบเคียงการเมืองไทยกับการเมืองสหรัฐฯ ด้วยความที่สหรัฐฯ ก็มีความแปลกใหม่และมีเรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นเกือบทุกวัน การชักเย่ออำนาจกันระหว่างคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) และศาลสูงสุดก็เป็นเกมที่เข้มข้นพอสมควร ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาภายใต้การนำของทรัมป์ คุณเห็นเซอร์ไพรส์อะไรในการเมืองสหรัฐฯ บ้าง

เผอิญเพิ่งอ่านบทความของฟรานซิส ฟูกูยามะ (Francis Fukuyama) ที่เขียนฉะทรัมป์ เขาอธิบายว่าปรากฏการณ์ของทรัมป์สะท้อนถึงการแก้แค้น เขาวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาด้วยว่าทรัมป์เป็นเศรษฐีก็จริง แต่ไม่เคยถูกยอมรับในแวดวงการเมืองหรือในสังคมปัญญาชนอเมริกัน ทุกคนมองว่าทรัมป์เป็นคนกักขฬะ ก้าวร้าว ใช้ภาษาแบบเด็กจบมัธยม ศัพท์แสงที่ใช้ไม่หรูหรา จนทรัมป์อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการยอมรับและแสดงออกด้วยการแก้แค้น ถ้ามองแบบนี้ก็คิดว่ามีความจริงอยู่ในนั้น 

ส่วนตัวมองมากไปกว่าฟรานซิส ฟูกูยามะ คือนอกจากทรัมป์เข้ามาเพื่อแก้แค้นหรือแก้แค้นแทนคนอเมริกันจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกคนรวยย่ำยี เขากำลังใช้ความโกรธและความกลัวเป็นเครื่องมือ จะเห็นได้จากการขึ้นภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) รวมถึงการใช้ความกลัวในแง่ที่ว่าหากใครไม่เห็นด้วยหรือใครเคยเป็นฝั่งตรงกันข้ามก็จะถูกหมายหัวและเล่นงาน เช่น ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) เพื่อเล่นงานบริษัทกฎหมาย Perkins Coie ที่เคยว่าความให้ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) ช่วงที่แข่งกับทรัมป์ในปี 2016 รวมทั้งยังเป็นบริษัทที่มักว่าความให้ผู้มีความหลากหลาย แต่ศาลสหรัฐฯ ก็วินิจฉัยระงับคำสั่งนั้นไป เป็นต้น สะท้อนว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำคือการแก้แค้นคนที่เคยเล่นงานเขา ยังไม่รวมการเล่นงานคนฝั่งตรงข้ามหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เขารู้สึกว่าไม่ทำตามทิศทางนโยบาย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีนโยบายต่อต้านการยอมรับความแตกต่าง (diversity, equity, and inclusion :DEI) ซึ่งฐานเสียงของทรัมป์รู้สึกว่าความ woke นั้นเกินขอบเขตของธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึงนโยบายด้านผู้อพยพ ทรัมป์พุ่งประเด็นนี้ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง กล่าวคือออกคำสั่งฝ่ายบริหารยุติสิทธิรับสัญชาติจากการเกิดในสหรัฐฯ (birthright citizenship) ซึ่งต้องรอศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าคำสั่งฝ่ายบริหารนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ทรัมป์ยืนยันว่าการจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายก็ต้องเข้ามาแบบถูกกฎหมาย เมื่อไม่ถูกกฎหมายคุณย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายตั้งแต่ต้น ลูกคุณจึงไม่ควรรับความคุ้มครองตั้งแต่แรก นี่เป็นเหลี่ยมของทรัมป์

ปัจจุบันผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มีเก้าท่าน จำนวนหกต่อสามมาจากพรรครีพับลิกัน และจำนวนสามในหกนั้นคือคนที่ทรัมป์เลือกมา ก่อนหน้านี้ก็จะเห็นทิศทางศาลสูงสุดจากคำวินิจฉัย ตั้งแต่คำวินิจฉัยตัดสิทธิทำแท้ง (Roe VS Wade) ตลอดจนคำวินิจฉัยยกเลิกนโยบายยืนยันสิทธิเชิงบวก (affirmative action) กล่าวคือนโยบายคัดเลือกนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยโดยคำนึงถึงความหลากหลายของเชื้อชาติ ทิศทางเหล่านี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับทรัมป์ แต่ก็มีหลายคดีที่สะท้อนการประลองกันระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารและอำนาจฝ่ายศาลเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่แค่ศาลสูงสุดแต่รวมถึงศาลระดับรองลงมาด้วย 

ย้อนกลับไปที่คำถามว่ามองทรัมป์อย่างไร ทรัมป์บริหารด้วยความโกรธแค้นของตัวเองและโกรธแค้นแทนฐานเสียง โดยที่ใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือและหวังว่าประเทศต่างๆ จะกลัวแล้วเข้าคิวคลานเข่าขอประนีประนอมเรื่องภาษี แต่ความเป็นจริงไม่เป็นแบบนั้น ที่สำคัญคือพรรครีพับลิกันและกลุ่มทุนชนชั้นนำที่เคยสนับสนุนต่างได้รับผลกระทบมากจากนโยบายของทรัมป์ นี่จึงเป็นเหมือนดาบที่กลับมาทิ่มแทงเขาเอง แต่ด้วยความเป็นทรัมป์ ต่อให้ทำผิดก็จะบอกว่าเขาไม่ผิด หรือต่อให้กำลังเพลี่ยงพล้ำก็จะบอกว่าเขาชนะ นี่คือความเป็นทรัมป์ที่มีความหลงตัวเอง


ทั้งภายในพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตได้เรียนรู้อะไรจากการบริหารงานของทรัมป์ในช่วงหนึ่งร้อยกว่าวันที่ผ่านมาไหม คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ปัญหาหลักของพรรคเดโมแครตคือยังหาผู้นำคนใหม่ที่จะกำหนดทิศทางและเป็นแม่เหล็กดึงคะแนนนิยมไม่ได้ ส่วนพรรครีพับลิกันก็ยังไม่เห็นท่าทีอะไร อย่างที่บอกว่าทรัมป์ใช้ทั้งการแก้แค้นและความกลัว ต่อให้ฝั่งรีพับลิกันไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ก็ยังไม่เห็นใครออกมาค้านทรัมป์อย่างจริงจัง นอกจากวุฒิสภาจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์มาตั้งแต่ต้น ขณะที่ตอนนี้ทรัมป์ไม่เคารพหลักนิติรัฐและไม่มีธรรมาภิบาลเลย การตัดสินใจออกคำสั่งฝ่ายบริหารหรือการตัดสินใจเชิงนโยบายคือเอาเร็วเข้าว่า โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าเป็นไปตามกระบวนการหรือหลักนิติรัฐนิติธรรมหรือไม่


ในเมื่อทรัมป์ใช้อำนาจขนาดนี้ กลไกตรวจสอบของสหรัฐฯ ทำงานได้หรือไม่

กลไกตรวจสอบหลักคือการตรวจสอบกันเองระหว่างบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่เนื่องจากรีพับลิกันคุมคะแนนเสียงทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา การตรวจสอบระหว่างนิติบัญญัติและบริหารจึงยากและยังไม่เห็นสัญญาณ แต่ปลายปี 2026 จะมีเลือกตั้งกลางเทอมที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอาจเปลี่ยน ถ้าพรรคเดโมแครตพลิกได้ ก็น่าจะมีความพยายามริเริ่มการถอดถอน (impeachment) ทรัมป์อีกรอบหนึ่ง

อำนาจที่จะตรวจสอบได้จึงเป็นอำนาจของตุลาการ ซึ่งในแง่หนึ่งก็ย้อนแย้ง เพราะศาลมักถูกพูดถึงว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อเสียงข้างมาก (counter-majoritarian) เนื่องจากไม่ได้มีที่มาซึ่งยึดโยงกับประชาชนโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ ผู้พิพากษาของศาลสูงสุด รวมถึงผู้พิพากษาระดับศาลรัฐบาลกลาง (federal court) ก็มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี 

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาหลายท่านที่ทรัมป์หรือรีพับลิกันแต่งตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับทรัมป์ ผู้พิพากษาศาลแขวง เฟอร์นันโด โรดริเกซ จูเนียร์ (Fernando Rodriguez Jr.) ซึ่งแต่งตั้งโดยทรัมป์ ก็ออกมาระงับยับยั้งคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ นี่คือความน่าสนใจของระบบการเมืองสหรัฐฯ แม้ประธานาธิบดีจะยึดโยงกับประชาชนหลักล้านที่เลือกเขาเข้ามา ก็สามารถถูกตรวจสอบได้ด้วยอำนาจซึ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องนิติรัฐ หมายความว่าต่อให้คุณถูกเลือกมาโดยประชาชน คุณก็ไม่สามารถใช้อำนาจสิทธิขาด อย่างไรก็ต้องโดนตรวจสอบ และไม่สามารถละเลยหรือทำลายหลักนิติรัฐได้ นี่คือศักดิ์ศรีของศาลสหรัฐฯ


มีตัวอย่างน่าสนใจที่ศาลพยายามระงับคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ไหม โดยเฉพาะกรณีที่ผู้พิพากษาเหล่านั้นถูกแต่งตั้งขึ้นโดยทรัมป์

นโยบายผลักดันผู้อพยพที่เข้าเมืองผิดกฎหมายให้ออกนอกประเทศ ทรัมป์พยายามเอาใจฐานเสียงโดยบอกว่าจะผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมายออกไป โดยเฉพาะการผลักดันผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาไปที่เอลซาวาดอร์ ความน่าสนใจคือศาลบอกว่าทรัมป์ทำแบบนี้ไม่ได้และวินิจฉัยโดยบอกชัดเจนว่าการกระทำนี้ผิดรัฐธรรมนูญมาตราไหน ซึ่งเราอยากเห็นศาลรัฐธรรมนูญไทยอธิบายชัดเจนแบบนี้ด้วย สำหรับกรณีนี้ ศาลบอกว่าผิดมาตรา 1 ซึ่งเป็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงมาตรา 5 และมาตรา 6 ซึ่งเป็นเรื่องสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาแต่ยังไม่เป็นผู้กระทำผิด 

หลายคนอาจถามว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ควรถูกผลักดันออกไม่ใช่หรือ แต่ศาลสหรัฐฯ มองว่าต่อให้เป็นประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือต่อให้ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพก็ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หมายความว่าต้องมีทนายและต้องได้รับการวินิจฉัยที่เป็นธรรมรวดเร็ว ซึ่งทรัมป์มองข้ามกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด และเหล่านี้คือสิ่งที่ศาลใช้เป็นเหตุผลในการเคารพหลักสิทธิขั้นพื้นฐาน 

มันก็ย้อนกลับมาที่ไทยว่าหลักนิติรัฐของเรายังไม่ถูกบังคับใช้ในทุกระดับ กลายเป็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยและสหรัฐฯ ถ้าเราจะพูดถึงทรัมป์ คือการบอกว่า might is right หรืออำนาจคือความถูกต้อง มันคือเรื่องของการใช้กำปั้นในการจัดการปัญหา ซึ่งอาจได้ใจฐานเสียงว่าทั้งเร็วและแรง แต่ในที่สุดแล้วก็ขัดกับรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนไว้ชัดมากในเรื่องของการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

สิ่งที่ทรัมป์ทำ ภาษาการเมืองอเมริกันจะมีคำว่า ‘imperial presidency’ ซึ่งอธิบายถึงประธานาธิบดีที่พยายามขยายขอบเขตอำนาจของตัวเองอันคล้ายกับจักรวรรดิ ซึ่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ก็เขียนเนื้อหาไว้เพียงสั้นๆ และอยู่ที่การตีความ ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติก็มาจากพรรคเดียวกับฝ่ายบริหารจึงอ่อนแอด้านการตรวจสอบ นอกจากนี้ ความกลัวและการแก้แค้นของทรัมป์อาจทำให้ไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติกล้าขยับด้วย ฝ่ายศาลจึงกลายเป็น ‘นางแบก’ ที่จะต้องเข้ามา เป็นนางแบกในแง่ดีนะ กล่าวคือเป็นภาระของฝ่ายศาลที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบ แม้ว่าคำวินิจฉัยบางอย่างเราอาจไม่เห็นด้วย แต่สถาบันตุลาการก็ยังยึดโยงอยู่บนหลักนิติรัฐ


ท่ามกลางความท้าทายจากนี้ที่ทั้งไทยและสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญ คุณคิดว่าเราต้องยึดหลักอะไรให้มั่น เพื่อรักษาการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย

ถ้าเป็นหลักสำหรับผู้พิพากษา ในแง่ของศาลและสถาบันตุลาการ เราคิดว่าหลักเดียวที่ยึดมั่นแล้วท่านจะรอดและสังคมก็จะรอด คือหลักนิติรัฐหรือ rule of law กล่าวคือคุณต้องทำให้กฎหมายอยู่เหนือตัวบุคคล และถ้ากฎหมายเขียนขึ้นผิดหรือเอื้อให้คนบางกลุ่มมากเกินไป เราก็ควรต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อแก้กฎหมายนั้น ปัญหาสังคมไทยคือการพลิกกฎหมาย การใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย และการไม่บังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายของไทยยังอ่อนแอมากในทุกเรื่อง อย่างกรณีอาคาร สตง. ถล่มก็ไม่ใช่ว่าไม่มีระเบียบ แต่มันขาดการบังคับใช้กฎหมาย

สำหรับสหรัฐฯ บางคนเสนอว่าช่วงเวลานี้คือวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ (constitutional crisis) กล่าวคือเสนอว่ารัฐธรรมนูญอาจมีปัญหา เมื่อประธานาธิบดีมีความนิยมและพร้อมที่จะใช้อำนาจแบบไร้ยางอาย ยิ่งทำให้การกลับไปดูหลักของกฎหมายและการทำให้กฎหมายนิ่งและแน่นอนเป็นเรื่องสำคัญมาก

สำหรับบุคคลทั่วไป รวมถึงคนที่มีตำแหน่งแห่งที่ทั้งหลาย เราคิดว่าการโอบอุ้มความแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่ทรัมป์พยายามทำคือการปฏิเสธความหลากหลาย โอเค เขาอาจมองว่ามัน woke เกินไป แต่วิธีที่จะดึงกลับมาอาจไม่ใช่การปฏิเสธเลยเสียทีเดียว เราควรดูชาวคาทอลิกเป็นหลัก สองพันกว่าปีเขาอยู่รอดได้เพราะเขาปรับตัว และไม่ใช่ว่าไม่มีจุดด่างพร้อย ทุกสถาบันทางการเมืองในทุกสังคมย่อมมีจุดด่างพร้อยทั้งนั้น ศาลสูงสุดอเมริกาเคยมีคำวินิจฉัยที่เป็นปฏิปักษ์กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาอย่างยาวนาน มันถึงจุดเปลี่ยนเพราะเขาเริ่มเห็นว่าการรับรองความแตกต่างหลากหลายและการโอบรับคนที่เห็นต่างทำให้สังคมอยู่ได้ ทั้งยังลดการแบ่งขั้วในสังคม

ส่วนสำหรับสังคมไทย คิดว่าเรายังคงเข็นครกขึ้นเขาและยังคงไต่อยู่เยอะ ก็ต้องอดทนและสูดหายใจยาวๆ ลึกๆ กันต่อไป

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save