‘การปฏิวัติของสามัญสำนึก’ (Common Sense Revolution): โดนัลด์ ทรัมป์แถลงครั้งแรกต่อสภาคองเกรส

ที่มาภาพ WIN MCNAMEE / GETTY IMAGES NORTH AMERICA/Getty Images via AFP

วันอังคารที่ 4 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แถลงนโยบายของเขาครั้งแรกต่อที่ประชุมรัฐสภา อันประกอบด้วยสมาชิกสองสภาคือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา นอกจากนั้นยังมีแขกผู้มีเกียรติอีกมาก เช่น คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด คณะแม่ทัพจากกองทัพ คณะทูตานุทูต คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลทรัมป์ แต่ที่โดดเด่นกว่าครั้งอื่นคือการปรากฏตัวของนายทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น อีลอน มัสก์, เจฟฟ์ เบซอส และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยที่แต่ละคนบริจาคเงินให้สำหรับการมีที่นั่งในคองเกรสคนละหลายล้านเหรียญ

ที่ขาดไม่ได้สำหรับทรัมป์คือการเชิญแขกพิเศษของประธานาธิบดีที่จะช่วยเสริมสีสันและอารมณ์ร่วมในนโยบายและการปฏิบัติของเขา ซึ่งครั้งนี้ได้แก่ เมีย แม่และลูกของพนักงานดับเพลิงที่ถูกยิงในเวทีหาเสียงของทรัมป์ตอนที่เขาถูกลอบยิง นักศึกษามหาวิทยาลัยจอร์เจียที่ถูกฆ่าตายโดยผู้อพยพหัวรุนแรงชาวเวเนซุเอลา ลูกสาวของนาวิกโยธินที่ถูกฆ่าในเยเมน ทั้งหมดมานั่งและยืนโชว์ตัวต่อหน้าประชุมชนอย่างน่าสงสารยิ่ง อันนี้เป็นลูกเล่นที่เขาถนัดยิ่งและใช้บ่อยๆ ในการหาเสียงจากผู้สนับสนุน

การกล่าวสุนทรพจน์ต่อคองเกรสมาจากรัฐธรรมนูญซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดีมีหน้าที่ต้องบอกกล่าวแก่สภาคองเกรส ‘ในบางครั้งบางคราว’ ถึงข้อมูลและสถานะของสหพันธ์ ในยุคแรกๆ จึงไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอนสำหรับประธานาธิบดีเพื่อมาแสดงสุนทรพจน์ดังกล่าวคงปล่อยให้ดำเนินไปตามสะดวก

หลังจากที่ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกได้เริ่มประเพณีดังกล่าวด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ ต่อมาประธานาธิบดีบางคนก็มาพูด บางคนก็ไม่พูดแต่ส่งเป็นเอกสารให้รัฐสภาเอาไปอ่าน บางคนไม่แถลงประจำปี แต่แถลงตอนจะออกจากตำแหน่ง กระทั่งถึงสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนในปี 1981 จึงเริ่มการแถลงสุนทรพจน์อย่างเป็นกิจลักษณะต่อคองเกรสภายหลังการทำพิธีรับตำแหน่งและจากนั้นก็มาแถลงอีกทุกปี แต่บางสุนทรพจน์ก็ไม่ถือว่าเป็น ‘สุนทรพจน์ว่าด้วยสถานะของสหพันธ์’ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมนโยบายทั้งหมด จีงเรียกว่าเป็นแค่คำแถลง

‘สุนทรพจน์ว่าด้วยสถานะของสหพันธ์’ (State of the Union speech) เป็นการแถลงผลงานและนโยบายที่จะทำในรัฐบาลให้แก่รัฐสภาเพื่อรับทราบและจะได้ร่วมมือกันสนับสนุนการปฏิบัตินโยบายของรัฐบาลต่อไป นั่นเป็นหลักการที่ทุกฝ่ายในระบบการเมืองอเมริกันคาดหวังและอยากเห็น แต่ในการปฏิบัติที่เป็นจริงกลับห่างไกลจากความหวังนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ทางการเมืองและความขัดแย้งระหว่างสองพรรคใหญ่คือเดโมแครตกับรีพับลิกัน รวมถึงพลังทางสังคมทั้งหลายและที่ขาดไม่ได้คือกลุ่มทุนต่างๆ ที่สนับสนุนและต่อต้านอีกฝ่ายที่ขัดขวางผลประโยชน์ของตน สุนทรพจน์ครั้งนี้ของทรัมป์จึงเรียกว่าการแถลงต่อรัฐสภาร่วม (joint address to Congress) ไม่เรียกว่า ‘สุนทรพจน์ในสถานะของสหพันธ์’ เพราะเพิ่งเริ่มงานเพียงหกอาทิตย์เท่านั้น

หากถามว่าหลังจากฟังสุนทรพจน์ของโดนัลด์ ทรัมป์แล้วผมรู้สึกอย่างไร ตอบอย่างสั้นๆ ว่าไม่ค่อยตื่นเต้นและประทับใจมากเท่ากับครั้งแรกที่เขารับตำแหน่งในปี 2016 ครั้งนี้ทรัมป์ขาดพลังปลุกระดมไปเยอะ อาจเพราะอายุมากขึ้น เรื่องท้าทายก็ไม่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นเหมือนครั้งแรก ที่สำคัญแนวนโยบายและเนื้อหารวมถึงลูกเล่นที่สร้างอารมณ์ร่วมให้แก่ผู้ฟังก็ซ้ำเดิม เหมือนดูละครบทเก่าเพียงแต่เปลี่ยนตัวแสดง

ทรัมป์เริ่มต้นด้วยการประกาศการมาถึงของยุคสมัยภายใต้การนำของเขาว่า “อเมริกาได้กลับมาแล้ว” จากนั้นเขาพรรณนาถึงความสำเร็จของนโยบายเนรเทศผู้อพยพที่ผิดกฎหมายออกไปจากประเทศจำนวนมาก เขาโอ้อวดว่าเป็นครั้งแรกในหลายปีที่จำนวนผู้อพยพเดินทางเข้าอเมริกาตามชายแดนกับเม็กซิโกลดอย่างมาก เขายกตัวเลขในสมัยประธานาธิบดีไบเดนว่าปล่อยให้ผู้อพยพผิดกฎหมายเข้ามานับแสนคนต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้สำนักข่าวต่างๆ ที่พากันตรวจสอบต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ถูกต้อง จำนวนผู้อพยพสมัยไบเดนเริ่มลดลงแล้วหลังจากมีมาตรการควบคุมและเจรจากับประเทศในลาตินอเมริกาให้ช่วยควบคุม

ก่อนจะเล่าต่อไปถึงเนื้อหาคำพูดของทรัมป์ ลองมาสำรวจสภาพภายในห้องประชุมสองสภาว่าเป็นอย่างไร สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนประท้วงด้วยการไม่เข้าร่วมประชุม เช่น สว.คริส เมอร์ฟีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน แต่อีกมากพากันเข้าร่วมและพร้อมใจกันแต่งชุดสีชมพู รวมทั้งอดีตประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี เพโลซีซึ่งนั่งสงบจิบน้ำจากกระติกตลอดเวลาที่ทนฟังทรัมป์โม้และแดกดันพวกเดโมแครต อย่าลืมว่าในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีครั้งแรกและแสดงสุนทรพจน์ในสถานะของสหพันธ์ต่อคองเกรส นางแนนซี เพโลซีเป็นประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งถือเป็นเจ้าภาพร่วมกับประธานวุฒิสภาไมก์ เพนซ์ โดยสองคนนั่งอยู่ข้างหลังประธานาธิบดีทรัมป์ที่แสดงสุนทรพจน์ ประธานสภาฯ แนนซีในเวลานั้นทนฟังประธานาธิบดีทรัมป์ได้พักหนึ่งแล้วเธอก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทรัมป์พูดด้วยการแสดงภาษากายให้เห็นถึงการไม่ยอมรับ จนถึงวาระจบการพูด เธอก็ฉีกสุนทรพจน์ที่ทรัมป์มอบให้เธอก่อนการพูดออกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่สำนักข่าวและโทรทัศน์บันทึกภาพสดนั้นอย่างชัดแจ้ง เป็นการประกาศ ‘สงคราม’ ที่ไม่ใช้กำลังในห้องนั้นออกมา แต่วันนี้เธอนั่งสงบไม่มีภาษากายใดๆ ออกมา สื่อมวลชนก็เลิกไปถ่ายหลังจากไม่มีปฏิกิริยาในตอนแรก

แต่ที่คิดไม่ถึงคือ สส.อัล กรีนแห่งเท็กซัสของพรรคเดโมแครตซึ่งนั่งถือไม้เท้าอยู่ เขาตะโกนเสียงดังใส่ทรัมป์เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทรัมป์พูด เขาลุกขึ้นเพื่อให้คนได้ยินกันทั่วห้อง สร้างความตกตะลึงแก่ที่ประชุม ในที่สุดประธานสภาไมก์ จอห์นสันก็สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความสงบมานำตัว สส.อัล กรีนออกไปจากห้อง เขายอมเดินตามไปโดยไม่ขัดขวาง ก่อนนี้สมัยประธานาธิบดีโอบามาแสดงสุนทรพจน์สถานะของสหพันธ์ก็มีสมาชิกพรรครีพับลิกันคนหนึ่งลุกขึ้นตะโกนประท้วงว่าเขาเหมือนกัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น

กล้องโทรทัศน์เคลื่อนไปจับภาพสมาชิกเดโมแครตนั่งถือป้ายประท้วงเป็นช่วงๆ โดยมีข้อความ ‘Save Medicaid’, ‘Musk Steals’ และ ‘False’ สส.ราชิดา ทลาอิบ จากมิชิแกนถือป้ายมีข้อความว่า ‘Start by paying your own taxes’ (เริ่มด้วยการจ่ายภาษีของคุณเองก่อน) สส.เดเลีย รามิเรซ จากอิลลินอยส์ใส่เสื้อยืดใต้เสื้อนอกมีข้อความว่า ‘NO KING. NO COUP.’ ป้ายเหล่านั้นทำขนาดเล็กๆ สำหรับชูขึ้นแล้วเอาลงไว้ข้างตัวจึงไม่ถูกเจ้าหน้าที่มาจัดการได้ ภาพทั้งหมดคือเป็นรัฐสภาที่ไร้ระเบียบและแตกแยกกันอย่างที่สุด มี สส. 12 คนจากหลายมลรัฐเดินประท้วงออกจากห้องระหว่างทรัมป์กำลังแสดงสุนทรพจน์

ปกติสมาชิกสภาคองเกรสจะแบ่งกันนั่งแถวริมทางเดินคนละด้านของห้องประชุม แต่วันนี้แถวที่เป็นของเดโมแครตว่างเปล่าหลายที่เพราะคนมาไม่ครบ ทำให้เวลาปรบมือหรือส่งเสียงแสดงความเห็นชอบจะดังออกมาจากคนละฟากหรือพร้อมกัน แต่วันนี้เห็นชัดเลยว่าสองพรรคมิอาจร่วมมือกันได้ ทรัมป์พยายามพูดเพื่อให้เดโมแครตปรบมือให้ เช่น บอกว่าหวังว่าพรรคอีกพรรคจะช่วยลงคะแนนให้กับกฎหมายการลดภาษีที่เขาจะเสนอเข้าสภาในอีกไม่นาน แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากฟากเดโมแครต

อีกนโยบายที่ทรัมป์อวดอ้างสรรพคุณว่าเลิศ ได้แก่ การลดและไล่ออกเจ้าหน้าที่ของสำนักงานรัฐบาลกลางที่ทำงานไม่คุ้มกับเงินเดือนนับหลายสิบหน่วยงานและกระทรวง ที่โด่งดังที่สุดคือการยุติหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐหรือ USAID งานนี้ทรัมป์มอบหน้าที่ให้อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลาและแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ในนามของสำนักงานปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ (Department of Government Efficiency: DOGE) ซึ่งส่งหน่วยเทคโนแครตของมัสก์เข้าไปปิดคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานเหล่านั้นแล้วนำเอาข้อมูลพนักงานออกมาเพื่อส่งอีเมล์ให้ลาออกหรือยุติการปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุผล สร้างความปั่นป่วนและเสียขวัญกำลังใจแก่พนักงานของรัฐบาลกลางนับแสนคน แต่ทรัมป์เอามาอวดอ้างในสุนทรพจน์ว่าเขาได้กวาดล้างความสูญเสียในหน่วยงานเหล่านี้ไปได้นับหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ หลายกรณีพบว่าเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ตัวอย่างที่ทรัมป์ชอบยกมาให้ผู้ฟังประทับใจคือ งบให้ทุนไปขลิบอวัยวะเพศผู้ชายในโมซัมบิก 500 ล้านเหรียญ ให้ทุนไปสงเคราะห์ประเทศเลโซโท ซึ่งทรัมป์หัวเราะเยาะว่าเกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อประเทศอะไรก็ไม่รู้ คนฟังต่างหัวเราะตามด้วยความสนุกสนาน แต่หากมองอย่างคนนอกประเทศ นี่เป็นการกระทำที่เหยียดหยามประเทศแอฟริกาเหล่านั้นอย่างที่สุด กิริยามารยาทแบบนี้มีให้เห็นมากก็ในสมัยที่ตะวันตกออกไปล่าอาณานิคมและประพฤติตัวเป็นเจ้านายเหนือคนท้องถิ่น แต่บัดนี้กิริยามารยาทแบบเจ้าอาณานิคมกลายเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่เกลียดความหลากหลายและความเท่าเทียมกัน

เรื่องใหญ่ที่คนสนใจอยากฟังมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจ แต่ทรัมป์ไม่ได้อธิบายอะไรอย่างเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากหาเสียงและพูดให้คนฟังสะใจ เช่น โทษว่าไข่ไก่แพงมาก เป็นความผิดตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นไข่ไก่สมัยทรัมป์ราคาแพงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะเกิดโรคหวัดนกระบาด จนทำให้ต้องฆ่าไก่ทิ้งไปหลายล้านตัวในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรัฐบาลไบเดนเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพูดเรื่องเศรษฐกิจ ทรัมป์ก็ต้องแวะมาพูดเรื่องที่เขาถนัดและชอบที่สุด นั่นคือการตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับประเทศที่เอาเปรียบอเมริกา เช่น แคนาดา เม็กซิโก และจีน เขาคงได้ยินแล้วว่าแคนาดาจะขึ้นภาษีกับอเมริกาเหมือนกัน จัสติน ทรูโดประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า เขาจะขึ้นภาษาสินค้าจากอเมริการ้อยละ 100 เลยและวิจารณ์นโยบายภาษีของทรัมป์ด้วยว่า ‘เป็นนโยบายที่ทึ่ม (dumb) ที่สุด’ โดนัลด์ ทรัมป์จึงสวนกลับในวันนี้ว่า ถ้าแคนาดาจะขึ้นภาษี เขาก็จะขึ้นกลับเท่ากับที่แคนาดาทำเหมือนกันและกำหนดวันแล้วว่าคือวันที่ 2 เมษายนแทนที่จะเป็นวันที่ 1 เมษายน เพราะคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องตลกไม่จริงเพราะเป็นวัน April Fool

ทรัมป์ยังยืนยันว่าการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าจะทำให้อุตสาหกรรมอเมริกาได้เปรียบ โรงงานจะกลับมาตั้งในอเมริกาและคนอเมริกันจะมีงานทำมากมาย ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะราคาสินค้าในอเมริกาจะมีราคาสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยไม่อาจลดลงได้อีกต่อไป การลงทุนจะไม่ขยายไปอย่างที่คิด โดยเฉพาะชาวไร่อเมริกันจะโดนภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากจีนและอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การส่งออกสินค้าการเกษตรลดลง แต่เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องภาษีกับบรรดาผู้สนับสนุนนโยบายทรัมป์ พวกนั้นก็ยังเห็นด้วยและเชื่อตามที่ทรัมป์บอกทุกประการว่าจะมีงานและเงินเข้ามามากมาย ผมก็อยากรอดูผลพวงของการขึ้นภาษีอย่างเป็นระบบทั่วโลกของทรัมป์ว่าจะเนรมิตความมั่งคั่งให้แก่คนอเมริกันข้างล่างได้จริงหรือ

แต่เรื่องใหญ่ที่ผมรอฟังเหมือนกับคนอีกมากทั่วโลกคือนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ แต่ก็ผิดหวังเพราะเขาไม่พูดนโยบายต่างประเทศจริงๆ เลย นอกจากเอ่ยถึงปัญหาประเทศเดียวคือยูเครน เขาเอาจดหมายที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีเขียนทำนองกล่าวขอโทษ (แม้ไม่เอ่ยออกมาตรงๆ ก็ตาม) ว่าเขายอมรับว่าอเมริกามีบุญคุณต่อยูเครนอย่างมากในการช่วยรักษาเอกราชและบูรณภาพของดินแดน การโต้แย้งกันถึงเกือบทะเลาะกันในห้องรับรองรูปไข่เมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นสิ่งที่เขาเสียใจอย่างยิ่ง จึงเขียนจดหมายนี้เพื่อบอกประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเขาพร้อมจะมาเจรจาและทำตามกรอบสันติภาพที่ทรัมป์วางไว้ต่อไป รวมทั้งการลงนามในสัญญาให้อเมริกาดำเนินการใช้แร่หายากในยูเครนได้ตามต้องการ แต่ทรัมป์ก็ไม่ได้กล่าวตอบว่าเขายินดีจะพบและเจรจากับเซเลนสกีหรือไม่ในอนาคต หากแต่กลับไปพูดถึงรัสเซียและความตายของทหารรัสเซียและยูเครนในสงครามที่ไม่ควรเกิด เขาตอกย้ำว่าได้คุยกับรัสเซียซึ่งแสดงความตั้งใจในการได้มาซึ่งสันติภาพเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าลึกๆ แล้วทรัมป์กังวลเรื่องประธานาธิบดีปูตินมากกว่าเซเลนสกี ซึ่งบัดนี้เหมือนกับลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ทรัมป์ไม่ได้เอ่ยถึงยุโรปหรือนาโตเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กับจีนก็ไม่พูดถึงนอกจากขึ้นภาษีเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรในการเมืองระหว่างประเทศที่รัฐบาลทรัมป์ได้คิดวางแผนและจุดหมายที่จะไปบรรลุ นอกจากเรื่องสันติภาพ ซึ่งเขาหมายมั่นว่าจะเป็นคนสร้างสันติภาพในยูเครนและกาซาให้ได้ ทั้งหมดนี้คนบอกว่าทรัมป์ต้องการได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเหมือนกับที่ประธานาธิบดีโอบามาได้รับเหมือนกัน ผมเชื่อว่าคณะกรรมการรางวัลโนเบลคงไม่ทึ่มเหมือนทรัมป์ที่จะมอบรางวัลเกียรติสูงส่งต่อมนุษยชาตินี้ให้

กล่าวโดยสรุป ในความคิดของโดนัลด์ ทรัมป์เขามีสมมติฐานชุดหนึ่งที่ใช้ในการสร้างนโยบายของรัฐบาล นั่นคือสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบและขูดรีดโดยประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จากยุโรป ถึงลาตินอเมริกา​ แอฟริกา และเอเชียที่ส่งสินค้าเข้ามาขายในราคาถูก แต่เก็บภาษีขาเข้าจากอเมริกาสูง ทำให้บริษัทอุตสาหกรรมอเมริกันต้องย้ายโรงงานไปตั้งในประเทศเหล่านั้น รวมถึงมองว่าคนทั้งโลกรอความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จากสหรัฐฯ ทั้งเรื่องสาธารณสุขไปถึงความมั่นคงทางทหาร แปลกดีที่เขาไม่มองว่าในทางกลับกัน สหรัฐฯ ก็ได้ผลตอบแทนในด้านอื่นๆ จากการที่คนทั่วโลกยอมรับและให้อเมริกาเป็นโมเดลในการปกครองและทำธุรกิจการค้า เปิดให้ตลาดในประเทศและสินค้าเต็มไปด้วยของผลิตจากสหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่คนทั่วโลกให้ความไว้วางใจและเชื่อถือมากที่สุด

ที่สำคัญในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ค้ำจุนและพัฒนายกระดับระบบทุนนิยมโลกให้ก้าวหน้าและทรงพลังดังที่เห็นกันอยู่ จนกระทั่งสามารถเอาชนะระบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและจีนได้อย่างไร้ข้อสงสัย ชัยชนะของระบบทุนนิยมจึงมาพร้อมกับคติความเชื่อในลัทธิเสรีนิยม ซึ่งยิ่งขยายตัวเติบใหญ่ในสหรัฐฯ เอง ในที่สุดปัจจัยที่สร้างสหรัฐฯ ให้เป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลกก็กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์และพวกนำมาเป็นข้ออ้างในการปลุกระดมคนอเมริกันชั้นล่างที่ไม่ได้รับผลพวงของความมั่งคั่งเหล่านั้นให้ลุกขึ้นมาและโหวตให้เขาเป็นประธานาธิบดีเพื่อจะสร้าง ‘อเมริกาให้ยิ่งใหญ่’ สำหรับคนข้างล่างเสียที ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หลายประเทศที่มีอำนาจแต่ก็สร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับไม่ได้ง่ายๆ ไม่น่าเชื่อว่าอำนาจละมุนนี้บัดนี้ถูกทรัมป์ปฏิเสธและทำลายลงหมดสิ้นในเวลาไม่กี่วันด้วยลิ้นลมปากของเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องทำสงคราม ‘วัฒนธรรม’ ในประเทศ ด้วยการทำลายนโยบาย ‘ความหลากหลาย เท่าเทียมกันและรวมกัน’ (Diversity, Equity, Inclusive: DEI) ในหน่วยงานรัฐและเอกชนให้หมดสิ้น

นั่นคือที่มาของคติความเชื่อของทรัมป์ว่า ภาษีนำเข้า (tariffs) คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำความรุ่งเรืองและมั่งคั่งกลับมาให้สหรัฐฯ อีกครั้ง เขาทำให้ภาษีนำเข้ากลายเป็นสิ่งที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์หรือคัดค้าน เพราะมัน ‘เป็นสิ่งที่ปกป้องจิตวิญญาณของประเทศเรา’ (protecting the soul of our country) จึงอาจพูดได้ว่าแกนหลักในนโยบายต่างประเทศของทรัมป์คือกำแพงภาษีนำเข้า ส่วนแกนหลักในการปกครองในประเทศคือขจัดความหลากหลายและเท่ากันของคนข้างล่าง ส่วนอุดมการณ์ของเขาคือความจงรักภักดีต่อตัวเขา ไม่ใช่ต่อระบบและระเบียบสังคม

นี่เองที่ทำให้นักวิจารณ์กล่าวว่าทรัมป์กำลังทำตัวเหมือนกับเป็นกษัตริย์ ประเทศสหรัฐฯ ของเขากำลังจะกลายเป็นพระราชอาณาจักรที่เส้นเขตแดนไม่ได้กำหนดตามแผนที่เส้นรุ้งเส้นแวงและสนธิสัญญา หากแต่กำหนดโดยพระราชอำนาจของราชาธิราชโดยพระราชอัธยาศัย (คือตามใจ) นี่คือที่มาของการที่ทรัมป์ประกาศอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าเขาจะเอากรีนแลนด์มาเป็นของอเมริกา เอาคลองปานามาและเอาแคนาดาเป็นมลรัฐที่ 51 เป็นต้น นี่เองคือที่มาของป้ายประท้วงในห้องประชุมวันนี้ว่า ‘ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีรัฐประหาร‘ เพราะเดโมแครตกลัวว่าทรัมป์จะทำรัฐประหารเงียบผ่านการยึดศาลสูงสุดของประเทศและกระทรวง แล้วทำตัวเสมือนกษัตริย์ต่อไป

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทรัมป์แถลงในสุนทรพจน์ตอนแรกว่า นี่คือ ‘การปฏิวัติของสามัญสำนึก’ (common sense revolution)

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save