เมื่อการลี้ภัยไม่อาจหนีพ้นรัฐบาลจีน: เปิดข้อมูลการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัล

เหตุการณ์รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าวให้รัฐบาลจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นภาพสะท้อนหนึ่งของการกดปราบข้ามชาติ (transnational repression) ที่รัฐบาลจีนใช้อำนาจไล่ล่าและคุกคามข้ามพรมแดน เพื่อปราบปรามผู้ลี้ภัยหรือนักเคลื่อนไหวที่เป็นศัตรูของรัฐ

นอกจากความขัดแย้งภายในที่รัฐบาลใช้อำนาจเผด็จการควบคุมประชาชนอย่างเข้มงวดจนทำให้ผู้ต่อต้านรัฐบาลจีนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวนมากแล้ว ความขัดแย้งในเชิงพื้นที่หรือชาติพันธุ์อีกหลายแห่งเช่นที่เกิดกับชาวทิเบต อุยกูร์ ฮ่องกง หรือไต้หวันก็ทำให้รัฐบาลจีนต้องหาหลากวิถีทางมาปิดปากเสียงต่อต้าน แม้ว่านักเคลื่อนไหว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือนักข่าวเหล่านั้นจะอาศัยอยู่ในต่างประเทศก็ตาม

อำนาจของรัฐบาลจีนนอกจากจะมาในรูปแบบการขอความร่วมมือประเทศปลายทางให้ส่งตัวกลับหรือการคุกคามทางกายภาพแล้ว สิ่งที่ทำควบคู่กันไปคือการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัล (digital transnational repression) อย่างการสอดส่องทางดิจิทัล การติดตั้งซอฟต์แวร์สอดแนม การแฮกข้อมูล การคุกคามทางออนไลน์

การกระทำทั้งหมดนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพของผู้คน ซึ่งส่งผลต่อไปถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องประเด็นปัญหาในพื้นที่ต่างๆ

อำนาจของรัฐบาลจีนที่แผ่ขยายออกไปทั่วโลกผ่านพื้นที่ดิจิทัลนี้ชวนให้ตั้งคำถามถึงแนวทางในการรับมือของประเทศต่างๆ ที่นอกจากจะต้องไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของจีนในการกดปราบผู้คนแล้วยังต้องมีกลไกในการปกป้องคุ้มครองและตรวจสอบการกระทำผิดที่เกิดขึ้นทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์

ประเด็นนี้กลายเป็นปัญหาร่วมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลกที่เผชิญการคุกคามจากรัฐบาลจีน จึงมีการหยิบยกมาพูดคุยในวงเสวนา Countering China’s use of digital transnational repression to silence refugees and dissidents globally ใน RightsCon 2025 ที่ไทเป

ทิเบตพลัดถิ่นกับการควบคุมทางออนไลน์ของรัฐบาลจีน

ตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญคือทิเบต อันเป็นพื้นที่ซึ่งจีนเข้าคุกคามและละเมิดผู้คนอย่างร้ายแรงนับแต่ที่จีนใช้กำลังเข้ายึดครองได้สำเร็จ การต่อสู้เพื่อเอกราชทิเบตตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้มีชาวทิเบตจำนวนมากต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็พยายามใช้การกดปราบข้ามชาติเพื่อให้เสียงต่อต้านเงียบลงและภัยคุกคามนี้ก็เริ่มย้ายพื้นที่มาทางดิจิทัลมากขึ้นตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

สำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องภัยคุกคามทางดิจิทัลของชุมชนทิเบตพลัดถิ่น อย่าง ล็อบซัง เกียตโซ ซิเธอร์ (Lobsang Gyatso Sither) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีแห่ง Tibet Action Institute มองว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาการกดปราบข้ามชาติที่เกิดขึ้นกับคนทิเบตพลัดถิ่นทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเกิดจากนโยบายของสี จิ้นผิง ได้แก่ 1. การพยายามกลืนกลายทิเบตให้เป็นส่วนหนึ่งของจีน 2. การพยายามลบคำว่า ‘ทิเบต’ ออกจากพื้นที่การพูดคุยระดับนานาชาติ 3. การควบคุม ‘เรื่องเล่า’ เกี่ยวกับทิเบต ดังนั้น การกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้จีนควบคุมการพูดถึงทิเบตในแง่มุมต่างๆ ได้

ล็อบซังเล่าว่า ตลอดเวลา 60-70 ปีที่ผ่านมาชาวทิเบตเจอการกดปราบจากจีนเสมอมา โดยเฉพาะคนที่ลี้ภัยไปต่างประเทศแต่ยังมีครอบครัวอยู่ในทิเบต หากออกมาเคลื่อนไหวก็จะทำให้ครอบครัวถูกคุกคามและกดดัน

“การกดปราบข้ามชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตอนนี้พวกเราเจอการกดปราบทางดิจิทัลเพิ่มเข้ามา ซึ่งทำให้การคุกคามเข้าถึงตัวง่ายมาก”

ล็อบซังมองว่าจุดเปลี่ยนคือการแพร่หลายของแอปฯ วีแชต (WeChat) ทั้งในจีนและในทิเบตตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งทำให้คนในทิเบตและคนทิเบตพลัดถิ่นติดต่อถึงกันง่ายขึ้น ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่สื่อสารเรื่องการเมือง แต่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเรื่องศิลปะ ดนตรี และวัฒนธรรมด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อผู้คนในทิเบตกับโลกข้างนอก แต่พื้นที่เหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะรัฐบาลจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดบนแพลตฟอร์มได้และเป็นช่องทางที่จะคุกคามผู้ต่อต้าน

ตัวอย่างของการกดปราบทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นกับคนในทิเบตปรากฏในรายงานปี 2023 ของ Tibetan Centre for Human Rights and Democracy (TCHRD) ระบุว่ามีคนทิเบตหลายคนถูกตำรวจจับเข้าคุกเพียงเพราะตั้งกลุ่มแชตในแอปฯ วีแชต ทั้งที่เป็นกลุ่มพูดคุยเรื่องทำบุญซึ่งมีการส่งข้อมูลสถานการณ์โรคระบาดให้กัน แต่ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ความลับทางราชการ นอกจากนี้มีการจับกุมผู้หญิงทิเบตคนหนึ่งที่ใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารและส่งรูปให้คนในต่างประเทศ อันเป็นภาพสะท้อนว่าภาครัฐมีการสอดแนมมือถือคนทิเบตเพื่อเป้าหมายในการกดปราบ

“ในปี 2021 มีคนทิเบตในต่างประเทศได้รับวิดีโอคอลจากครอบครัวของเขาที่ยังอยู่ในทิเบต แต่พอรับสายปรากฏว่าครอบครัวเขาอยู่ที่สถานีตำรวจโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่ข้างๆ และบอกว่า ‘ถ้ายังเคลื่อนไหวต่อไป ลองคิดดูนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น’ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยไม่ว่าคุณจะโดนขู่โดยตรงกับตัวเองหรือโดนขู่ครอบครัวแทน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชาวทิเบตพลัดถิ่นต้องเผชิญกับการกดปราบข้ามชาติ โดยเฉพาะจากการใช้วีแชตหรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ” ล็อบซังบอก

อีกตัวอย่างหนึ่งในปี 2019 มีนักกิจกรรมชาวทิเบตที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโทรอนโตลงสมัครเป็นประธานนักศึกษา ปรากฏว่าอินสตาแกรมของเธอโดนถล่มด้วยคอมเมนต์เหยียดเชื้อชาติและข้อความข่มขู่ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเป็นทิเบตและยกความเหนือกว่าของจีน มีการปลุกระดมบนวีแชตให้นักเรียนจีนในต่างประเทศออกมาต่อต้าน โดยล็อบซังมีข้อสังเกตว่าคอมเมนต์ต่างๆ ที่เข้ามาถล่มมีลักษณะการทำงานและทิศทางเนื้อหาสอดประสานกัน

“สิ่งสำคัญที่ชาวทิเบตซึ่งเคลื่อนไหวในต่างแดนพยายามทำคือส่งเสริมการต่อต้านจากในทิเบต คนทิเบตที่อาศัยในทิเบตยังคงยืนหยัดท่ามกลางแรงกดดันหลายด้าน สิ่งที่พวกเขาทำคือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนในการส่งเสียงออกมา โดยที่อาจจะไม่ได้พูดเรื่องการเมืองโดยตรง แต่เป็นการพูดถึงภาษาของชาวทิเบต จนถึงเรื่องวัฒนธรรม ศาสนา และมุมมองต่อเรื่องต่างๆ บนโซเชียลมีเดียจีน โดยเฉพาะโต่วอิน (Douyin) ที่ฮิตขึ้นมาในช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 ที่ทำให้คนทิเบตออกมาพูดคุยกันเรื่องความเป็นอยู่และชุมชน

“หน้าที่ของเราคือต้องทำให้การส่งเสียงแบบนี้ขยายตัวออกไป โดยต้องตระหนักถึงการไม่สร้างอันตรายให้คนที่ยังอยู่ในประเทศ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรื่องที่คนทิเบตมักคุยกันเวลาเห็นโพสต์ต่างๆ ก็คือ ‘ถ้ากดแชร์ไปจะโดนอะไรไหม?’ แต่สิ่งสำคัญคือเราไม่ควรคิดแทนคนอื่น หากคนทิเบตในประเทศเขาเข้าใจถึงความเสี่ยงดีและเลือกแล้วที่จะโพสต์เรื่องต่างๆ บนโซเชียลมีเดียของจีน”

ข้อสังเกตหนึ่งของล็อบซังคือ เขาสังเกตว่าชาวทิเบตเริ่มแชร์ข้อมูลรายงานเกี่ยวกับการกดปราบข้ามชาติมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความตระหนักรู้ที่มากขึ้นในปัญหานี้ เป็นแนวโน้มที่ดีต่อการเคลื่อนไหวเพื่อทำงานร่วมกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ ต่อไป

“สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก คือการเลิกใช้วีแชตเพื่อตัดการเข้าถึงของรัฐบาลจีน เพราะการกดปราบก็จะดำรงอยู่ต่อไป แต่นี่คือส่วนหนึ่งของการต่อต้าน”

นอกจากนี้ ล็อบซังยังตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยี เช่น วีแชตที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดส่องและกดปราบข้ามชาติ ซึ่งสังคมสมควรตั้งคำถามไปถึงนักลงทุนในบริษัทเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

การคุกคามที่ลงลึกถึงจิตใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทิเบตในต่างประเทศนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการที่รัฐบาลจีนใช้คุกคามผู้เห็นต่างกลุ่มอื่นๆ ที่มีปัญหากับรัฐบาล

อ้ายเหมิน เหลา (Ai-Men Lau) หัวหน้าทีมการมีส่วนร่วมทางสังคมที่ Doublethink Lab ซึ่งเป็นภาคประชาสังคมที่ทำงานวิจัยเรื่องอิทธิพลและปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของจีน ชวนให้มองภาพรวมของปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก

ในปี 2023 Doublethink Lab เผยแพร่รายงานชื่อ Silenced Voices, Hidden Struggles ซึ่งสำรวจความเห็นผู้เห็นต่าง 29 คนจากชุมชนชาวทิเบต, อุยกูร์, จีน และฮ่องกงที่อาศัยในต่างประเทศถึงสิ่งที่พวกเขาเผชิญจากการกดปราบข้ามชาติของรัฐบาลจีนที่มุ่งเป้าไปยังนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในต่างแดน

“ผู้เข้าร่วมการสำรวจ 18 คนจาก 29 คนระบุว่าพวกเขาถูกข่มขู่คุกคามโดยตรงจากการแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐบาลจีน การคุกคามที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การติดตามทางกายภาพ, การส่งข้อความหรือการโทรข่มขู่, การคุกคามในที่ประท้วง, อีเมลฟิชชิง และการปล่อยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลคนในครอบครัว

“การคุกคามทางดิจิทัลเป็นการเปิดทางให้การคุกคามทางกายภาพขยายตัวและมีโอกาสนำไปสู่การใช้ความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล”

อ้ายเหมินบอกว่า ช่วงการประท้วงฮ่องกงปี 2019-2020 ชาวฮ่องกงที่อาศัยในประเทศอื่นๆ มีการจัดชุมนุมกันเพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกง สิ่งที่ตามมาคือมีการจัดตั้งกลุ่มชาวจีนเพื่อโต้กลับผู้ประท้วงโดยติดต่อกันบนวีแชตเป็นหลัก มีการถ่ายภาพหน้าผู้ประท้วงจำนวนมากแล้วนำมาเผยแพร่ต่อๆ กันบนแพลตฟอร์ม และยังพบว่ามีการเสนอเงินให้ผู้ที่เข้าร่วมการโต้กลับม็อบฮ่องกง ในช่วงเวลานี้การคุกคามทางออนไลน์ที่เกิดกับผู้ประท้วงฝ่ายม็อบฮ่องกงเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก

แม้ภาครัฐจะมองว่าการประท้วงโต้กลับม็อบฮ่องกงเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถทำได้ แต่เรื่องที่น่ากังวลคือการรวมตัวลักษณะนี้นำไปสู่การข่มขู่คุกคามทางออนไลน์และสร้างผลกระทบรุนแรงต่อผู้ที่ออกมาประท้วง

Doublethink Lab มีรายงานอีกชิ้นชื่อ No Escape: The Weaponization of Gender for the Purposes of Digital Transnational Repression ที่ชี้ให้เห็นว่าเรื่องเพศถูกหยิบใช้เป็นอาวุธของการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัล

“มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นผู้หญิงหลายคนให้ข้อมูลว่าถูกโจมตีทางโซเชียลมีเดียด้วยคอมเมนต์คำด่าทางเพศซึ่งคุกคามและหยาบคาย รวมถึงมีคนแชตมาข่มขู่ว่าจะข่มขืน แทะโลม จนถึงแชตมาด่าเรื่องส่วนตัวของนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ซึ่งล้วนเป็นการโจมตีที่สะท้อนแนวคิดปิตาธิปไตย”

อ้ายเหมินยกตัวอย่างการคุกคามกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นกับนักข่าวผู้หญิง เธอได้รับอีเมลที่แนบภาพถ่ายส่วนหน้าอกของเธอ ซึ่งถ่ายมาจากงานนิทรรศการหนึ่งที่มีภาพของเธอร่วมจัดแสดง นักข่าวหญิงรายนี้ได้รับอีเมลคุกคามเช่นนี้จำนวนมาก อีกกรณีหนึ่งคือมีนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรื่องฮ่องกงซึ่งอาศัยในแคนาดาได้รับข้อความด่าทอว่า “พ่อแม่ของเธอคงผิดหวังมากที่ส่งลูกไปแวนคูเวอร์ เพราะอยากให้มีความคิดแบบตะวันตก แต่สุดท้ายกลายเป็นแค่พวกโว้กหัวรุนแรงที่น่าเบื่อสุดๆ” โดยข้อความทั้งหมดคือการพยายามบอกว่า ‘คุณไม่ใช่ลูกสาวที่ดี’

นอกจากนี้กรณีที่พบบ่อยคือนักกิจกรรมหญิงเชื้อสายจีนที่โจมตีรัฐบาลจีนมักถูกคอมเมนต์ด่าบนโซเชียลมีเดียเรื่องการมีแฟนเป็นคนผิวขาว ส่วนเทคนิคใหม่ที่อ้ายเหมินสังเกตเห็นคือการสวมรอยเป็นสื่อมวลชนแล้วติดต่อกับนักเคลื่อนไหวผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อขอข้อมูลบางอย่าง

“การกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัลสร้างผลกระทบทางจิตใจและทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจ มีนักกิจกรรมผู้หญิงบอกว่าการถูกติดตามสอดส่องทำให้เกิดความหวาดระแวง ไม่กล้าไปไหนคนเดียว นำมาซึ่งความเครียดและวิตกกังวล รวมถึงปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานรณรงค์ประเด็นสังคม

“การรับมือการกดปราบทางดิจิทัลยังเกิดขึ้นแค่ในระดับกลุ่มคน แต่ยังไม่มีกลไกในเชิงโครงสร้าง นั่นทำให้คนที่เผชิญปัญหานี้ต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ปกปิดข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย หรือหากจะไปประท้วงก็ต้องระแวดระวังเรื่องความปลอดภัยหลายขั้นตอนมาก หรือกระทั่งว่าต้องใส่หน้ากากไปประท้วงเพื่อป้องกันคนถ่ายรูปหน้าไปเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย” อ้ายเหมินกล่าว

เมื่อไม่มีกลไกในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ นักกิจกรรมที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศหลายคนต้องตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศจีนหรือพื้นที่ซึ่งรัฐบาลจีนควบคุม สภาพเช่นนี้สร้างความกังวลที่ส่งผลต่อทั้งชีวิตประจำวันและการทำงานเคลื่อนไหว ซึ่งอ้ายเหมินมองว่าปัญหาสุขภาพจิตยังเป็นเรื่องที่ผู้คนในแวดวงประชาสังคมมักมองข้ามอยู่

“ฉันเรียนจบด้านสังคมสงเคราะห์ เคยทำงานในโรงพยาบาลจิตเวช บอกได้เลยว่าคนแวดวงนี้ไม่รู้หรอกว่าการกดปราบข้ามชาติคืออะไร แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่านักบำบัดจะรักษาคุณอย่างไร เราไม่มียาต้านซึมเศร้าสำหรับคนที่ถูกรัฐบาลสอดแนมและคุกคาม เรื่องที่ฉันกลัวที่สุดคือนักบำบัดจะพูดว่าเรื่องการถูกรัฐบาลคุกคามที่เล่าไปนั้นฟังดูเหมือนอาการของโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง คือเขาอาจมองว่าเราคิดไปเอง” อ้ายเหมินบอก

กฎหมายระหว่างประเทศกับคำถามถึงทิศทางต่อไปของโลก

อีกมุมมองจาก ไมเคิล แคสเตอร์ (Michael Caster) หัวหน้าโครงการ Global China ที่ Article 19 เล่าว่า Article 19 กำลังทำรายงานเรื่องเสรีภาพในการประท้วงกำลังจะเผยแพร่เร็วๆ นี้ ซึ่งส่วนหนึ่งของรายงานมุ่งศึกษาจีนในฐานะผู้กระทำการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัลซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับชุมชนพลัดถิ่นชาวจีน ทิเบต ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก

“การวิจัยของเราชี้ให้เห็นถึงขบวนการกดปราบข้ามชาติที่ทำงานกันอย่างสอดประสานระหว่างรัฐบาลจีนกับเครือข่ายผู้สนับสนุนที่มาคุกคามผู้ประท้วงเพื่อให้เสียงวิจารณ์รัฐบาลจีนเงียบลง โดยเราติดตามคือเรื่องการเซ็นเซอร์ทางออนไลน์, การสอดแนม, การโจมตีทางไซเบอร์, การคุกคามและก่อกวนทางออนไลน์ และการบิดเบือนข้อมูล” ไมเคิลกล่าว

ไมเคิลชี้ให้เห็นว่าการเซ็นเซอร์ทางออนไลน์เป็นรูปแบบหนึ่งของการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัล เขายกตัวอย่างกรณีในปี 2020 มีองค์กรสิทธิมนุษยชนจีนในสหรัฐอเมริกาจัดการประชุมและรำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมินทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มซูม (Zoom) โดยมีผู้เข้าร่วม 250 คน แต่มีคนเข้าร่วมทางช่องทางอื่นๆ อีกหลายพันคน หลังจากนั้นไม่กี่วันบัญชีซูมขององค์กรนี้ก็ถูกระงับ ตามมาด้วยการระงับบัญชีผู้ใช้ของนักเคลื่อนไหวสองคนที่เคยจัดงานรำลึกเทียนอันเหมินทางซูม โดยทางซูมก็ออกมายอมรับว่าทางแพลตฟอร์มปิดกั้นการประท้วงออนไลน์เพราะมีการกดดันจากรัฐบาลจีน

“จากคำแถลงของบริษัทบอกว่า พวกเขาได้รับแจ้งจากรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการจัดประชุมรำลึก ‘วันที่ 4 มิถุนายน’ บนซูม ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในจีนและมีการเรียกร้องให้ซูมยุติการประชุมและบัญชีของผู้จัดงาน โดยซูมย้ำว่ากู้คืนบัญชีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนในสหรัฐฯ ให้แล้ว แต่ก็พยายามอธิบายว่าการกระทำของพวกเขาสมเหตุสมผลแล้วที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดการเซ็นเซอร์ที่รุนแรงของรัฐบาลจีน เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์บางส่วนอยู่ในจีน”

นอกจากนี้คือรูปแบบการฟิชชิงและการโจมตีด้วยมัลแวร์ มีกลุ่มชาวทิเบต อุยกูร์ และอื่นๆ มักได้รับการแจ้งเตือนจากกูเกิล (Google) ว่าบัญชี Gmail ของพวกเขาถูกโจมตีโดยมีการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งส่วนตัวไมเคิลเองก็เคยได้รับการแจ้งเตือนแบบนี้หลายครั้งเช่นกัน

ทาง Article 19 ยังได้สัมภาษณ์รูชาน อับบาส (Rushan Abbas) จากองค์กร Campaign for Uyghurs เธอเล่าว่า

“นักเคลื่อนไหวและองค์กรของชาวอุยกูร์เผชิญกับการโจมตีและการคุกคามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางออนไลน์ เว็บไซต์ของเราเป็นเป้าหมายของการพยายามแฮ็กและฟิชชิง รวมถึงมีการโจมตีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของฉันด้วย นี่เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในกลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่นกัน The Tibetan Centre for Human Rights and Democracy (TCHRD) ที่ตั้งอยู่ในเมืองดารัมซาลาในอินเดียก็เจอการพยายามฟิชชิงและการโจมตีทางไซเบอร์อยู่เรื่อยๆ

“ยังมีการคุกคามทางออนไลน์รูปแบบอื่นๆ เช่น การก่อกวน การข่มขู่ และการแสดงออกถึงความรุนแรงทางเพศ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหรือคนในครอบครัวนักปกป้องสิทธิมนุษยชน การข่มขู่เหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างสอดประสานกันบนแต่ละแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นบริษัทที่ตอบสนองและรับผิดชอบต่อหลักการสิทธิมนุษยชน

“นอกจากการส่งอีเมลแอบอ้างเพื่อขอข้อมูลแล้ว ยังมีกรณีที่มีการส่งอีเมลแนบภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังนักกิจกรรมและคนในครอบครัวด้วย ในทางส่วนตัวฉันเองก็เคยตกเป็นเป้าการข่มขู่คุกคามทางโซเชียลมีเดียหลายครั้ง คนในครอบครัวก็ได้รับอีเมลคุกคาม บางฉบับมีเนื้อหาโจ่งแจ้ง ทั้งหมดนี้เป็นการข่มขู่เพื่อให้กลุ่มคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเงียบเสียงลงด้วยการโจมตีตัวบุคคลที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ แล้วยังทำให้คนในครอบครัวของพวกเขาต้องรับผลนี้ไปด้วย ซึ่งมีครอบครัวนักเคลื่อนไหวจำนวนมากที่ยังคงอาศัยอยู่ในจีนหรือฮ่องกง”

ไมเคิลกล่าวว่า การกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัลอีกรูปแบบหนึ่งคือการบิดเบือนข้อมูล ซึ่งพบมากช่วงการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกงปี 2019 แต่มีกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วคือบัญชีทวิตเตอร์ Teacher Li Is Not Your Teacher ที่มีผู้ติดตาม 1.8 ล้านคน ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการประท้วงในจีนถูกบล็อกหรือแบนจากการค้นหา กรณีนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการแบนจากระบบเพราะมีบัญชีแอบอ้างถูกสร้างขึ้นจำนวนมากหรือเกิดจากการกดดันโดยตรงของรัฐบาลจีน แต่เรื่องเหล่านี้สะท้อนภาพการเซ็นเซอร์ บิดเบือนข้อมูล และเทคนิคโจมตีทางออนไลน์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในจีน

“การที่จีนใช้วิธีการกดปราบข้ามชาติเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทั้งสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก, สิทธิในความเป็นส่วนตัว, เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และสิทธิอื่นๆ อีกหลายประการที่ได้รับการรับรองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)

“คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ยืนยันหลักการว่าสิทธิที่บุคคลพึงมีในออฟไลน์จะต้องได้รับการคุ้มครองในออนไลน์เช่นเดียวกัน อันรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก

“มติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนที่ 24/5 ว่าด้วยสิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการสมาคมได้ย้ำถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสมัยใหม่ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการใช้สิทธิดังกล่าวและยังเตือนรัฐต่างๆ ถึงพันธกรณีในการเคารพและคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกคนในการชุมนุมโดยสงบและการสมาคมอย่างเสรีทั้งในบริบทออนไลน์และออฟไลน์” ไมเคิลกล่าว

สำหรับประเด็นความรับผิดชอบของบริษัทเอกชน ซึ่งในกรณีนี้คือบริษัทเทคโนโลยี ไมเคิลชี้ให้เห็นว่าหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGP) ในเสาหลักที่สองระบุความรับผิดชอบของบริษัทว่าให้ตรวจสอบว่าการดำเนินธุรกิจของตนไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต้องมีกระบวนการบรรเทาผลกระทบ รวมถึงการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว

“นี่เป็นแนวทางหนึ่งที่เราสามารถเรียกร้องการมีส่วนร่วมและกดดันบริษัทเทคโนโลยีให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นที่จะไม่เป็นผู้ร่วมสนับสนุนการกดปราบข้ามชาติทางดิจิทัล”

ไมเคิลมีข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลต่างๆ และผู้บังคับใช้กฎหมายถึงสิ่งที่พอจะทำได้เพื่อรับมือการกดปราบข้ามชาติ เช่นที่ FBI ในสหรัฐอเมริกาสร้างกลไกการรายงานเรื่องการกดปราบข้ามชาติขึ้นมา ซึ่งเขาเห็นว่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีการอบรมเรื่องนี้ให้ผู้บังคับใช้กฎหมายลงไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่

“สำหรับภาคเทคโนโลยีควรมีการทำงานร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องมีตัวแทนผู้ตกเป็นเป้าหมายการกดปราบข้ามชาติร่วมอยู่ด้วย บริษัทเทคโนโลยีควรมีนโยบายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและการกดปราบข้ามชาติ โดยต้องมีความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลหากทางบริษัทหรือห่วงโซ่อุปทานเข้าไปเกี่ยวพันกับจีนจนเปิดช่องให้เกิดการกดดันทางเศรษฐกิจหรือการเมืองได้ ซึ่งอาจขัดแย้งกับความรับผิดชอบของบริษัทตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจทำให้เกิดการถูกเซ็นเซอร์หรือการสอดแนมบนแพลตฟอร์มได้

“เราขอให้ส่งเสริมสิทธิในความเป็นส่วนตัวในแพลตฟอร์มต่างๆ หากทำได้ขอให้นำการเข้ารหัสแบบ end-to-end มาใช้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งต้องเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่ถูกกีดกันทั้งในเชิงเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ ต้องมีการแจ้งเตือนพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็วกับคนที่สงสัยว่าถูกโจมตีบนแพลตฟอร์ม รวมถึงต้องมีการติดตามตรวจสอบข้อมูลและภัยคุกคามอย่างใกล้ชิด โดยคำนึงถึงเสรีภาพการแสดงออกเพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการต่างๆ นั้นสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน

“นอกเหนือจากการยกระดับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยแล้ว แพลตฟอร์มต้องระบุตัวและจัดการกับผู้คุกคาม ต้องมีกลไกการปกป้องผู้ใช้ทางออนไลน์ โดยที่มาตรการทั้งหมดต้องโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานทางกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดเสรีภาพการแสดงออก” ไมเคิลกล่าว

การกดปราบข้ามชาติกับผู้ลี้ภัยอย่างรุนแรงเช่นที่จีนทำนี้เป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นกับรัฐที่ใช้อำนาจเผด็จการอย่างรัสเซียหรืออิหร่าน ไมเคิลกล่าวเพิ่มเติมว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน โดยเฉพาะประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ใช้การกดปราบข้ามชาติกับพลเมืองของตัวเองที่หนีภัยไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังมีความร่วมมือระหว่างรัฐในการโหมกระพือให้เกิดการกดปราบข้ามชาติมากขึ้น ซึ่งหลายกรณีคือการบังคับสูญหายและการฆ่าตัดตอน

แม้ว่าขณะที่บทสนทนานี้เกิดขึ้นยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่ามีการส่งตัวชาวอุยกูร์จากไทยกลับให้รัฐบาลจีน (ซึ่งภายหลังมีการเปิดเผยว่าเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ) แต่ไมเคิลก็มองเห็นว่าเป็นปัญหาที่น่ากังวล

“ประเด็นเรื่องอุยกูร์เป็นหนึ่งในปัญหาท้าทายสำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าเราจะมีกรอบกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอยู่ แต่มันจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อรัฐที่มีอำนาจตัดสินใจจะทำตาม แต่ถ้าผู้มีอำนาจไม่เห็นความหมายของมันแล้วทุกอย่างก็อาจพังทลาย ซึ่งเรากำลังอยู่ในจุดเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น

“ในเชิงหลักการแล้วหลักการห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) นั้นชัดเจนว่า หากมีคนหนีภัยจากการประหัตประหารมา ไม่ว่าเขาอยู่ในประเทศนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ แต่ประเทศเจ้าบ้านมีพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะไม่ส่งตัวบุคคลกลับไปยังที่ที่เขาจากมา ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทย กัมพูชา หรืออีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังทำในการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับนั้นถือว่าละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศอย่างชัดเจน” ไมเคิลกล่าวปิดท้าย

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save