ฉัตรทิพย์ นาถสุภา: ประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์

“…หอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่ว่าด้วยสมัยรัตนโกสินทร์มาก หอจดหมายเหตุมีเอกสารราชการระดับสูงสุดที่เข้าสู่พระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์…”[1]

นี่คือคำกล่าวขึ้นต้นของ ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ในคราวประชุมกับเหล่านักวิชาการปัญญาชนทั้งไทยและต่างประเทศเมื่อปี 2520 หรือเมื่อ 47 ปีที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องเอกสารจดหมายเหตุของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ อันแสดงถึงการเข้าถึงและความเข้าใจในประวัติศาสตร์ไทยจากเอกสารหอจดหมายเหตุอย่างลึกซึ้ง วิพากษ์อย่างทรงพลัง จนเราควรย้อนกลับไปศึกษาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง

            วิพากษ์ สำรวจเอกสารถ้วนทั่ว และจัดลำดับความสำคัญ

อาจารย์ฉัตรทิพย์ชี้ให้เห็นว่า ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2520 มีเอกสารที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้วดังนี้

เอกสารตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 7 มีจำนวนประมาณ 2,000 กล่อง กล่องหนึ่งประมาณ 1,000 หน้า เท่ากับมีเอกสารรวมกันมากถึง 2,000,000 หน้า โดยมีเรื่องราวจากภาษาที่เขียนด้วยลายมือของเหล่าอำมาตย์ แม้จะมีลายมือที่งดงาม แต่เนื้อหาก็เข้าใจได้ยากมากเนื่องจากบริบทที่ต่างยุคต่างสมัย อันนำมาซึ่งความแตกต่างแห่งความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เรื่องราวนี้คืออะไรกันแน่?[2]

ถัดมายังมีเอกสารระดับรอง คือเอกสารระดับกระทรวงอีกหลายพันกล่อง เช่น เอกสารกระทรวงเกษตร 1,356 กล่อง และยังมีของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงนครบาล และกระทรวงมหาดไทยอีก[3] นั่นหมายความว่ายังมีเอกสารอีกหลายล้านฉบับ

เมื่ออาจารย์ฉัตรทิพย์ลองสำรวจจากวิทยานิพนธ์ปริญญาโทระหว่างปี 2505-2520 โดยมีวิทยานิพนธ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 40 ฉบับ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 30 ฉบับ รวมทั้งยังมีจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร บวกกับวิทยานิพนธ์จากแหล่งอื่นๆ ทั้งของชาวต่างประเทศและชาวไทย อีก 15 ฉบับ รวมทั้งสิ้นเป็น 85 ฉบับ อาจารย์ฉัตรทิพย์พบว่าวิทยานิพนธ์เหล่านี้เกือบทุกฉบับเป็นเรื่องราวในสมัยรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะช่วงก่อน พ.ศ. 2475 และมีเรื่องราวสมัยกรุงศรีอยุธยาเพียง 2 ฉบับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจารย์ฉัตรทิพย์สรุปว่าวิทยานิพนธ์แทบทุกฉบับได้ใช้เอกสารจากหอจดหมายแห่งชาตินี้

อาจารย์ฉัตรทิพย์จึงเห็นว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างหอจดหมายเหตุแห่งชาติกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยไม่ใช่ปัญหาที่ว่านักประวัติศาสตร์รุ่นปัจจุบันไม่รู้จักหอจดหมายเหตุหรือไม่ใช้เอกสารในหอจดหมายเหตุ เขารู้จักกันดี เขาใช้กันอย่างมาก นอกจากนี้ปัญหาการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบันก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการไม่มีข้อมูล

แต่ปัญหาการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบันคือปัญหาการสกัดข้อมูลที่มีความหมายออกจากหอจดหมายเหตุแห่งนี้ (เน้นโดยผู้เขียน) นั่นคือการไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของข้อมูลที่สกัดออกมาเพื่อให้เห็นภาพชีวิตด้านต่างๆ ของคนไทยได้ 

การปะเอกสาร เรียงข้อมูล: แนวทางเก่าที่ใช้ไม่ได้แล้ว  

อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่า วิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์การบริหารราชการและเรื่องประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยในบรรดาวิทยานิพนธ์ 70 ฉบับ เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับสองเรื่องนี้เสีย 55 ฉบับ ที่เหลือ 15 ฉบับเป็นเรื่องประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและประวัติศาสตร์สังคม

วิทยานิพนธ์ที่ว่าด้วยการบริหารราชการนั้นมักมีเนื้อหาเช่น เรื่องว่าด้วยการปรับปรุงการปกครองสมัยนี้ เรื่องว่าด้วยบทบาทของเสนาบดีคนนั้นคนนี้ หรือการบริหารมณฑลนั้นมณฑลนี้ หรือเรื่องว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศนั้นประเทศนี้ ซึ่งลักษณะของเอกสารที่มีอยู่ในหอจดหมายเหตุก็มักตรงกับวัตถุประสงค์ของวิทยานิพนธ์พอดี เพราะเอกสารจดหมายเหตุเกิดขึ้นจากการรายงานและสั่งการบริหารราชการทั้งภายในประเทศหรือจากการติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้ผู้วิจัยไม่ต้องสกัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เพียงแค่นำเอาข้อมูลมาเรียงๆ ต่อกันตามเวลาก็พอออกมาเป็นเรื่อง

แต่นี่เป็นแนวทางเก่าที่ใช้การไม่ได้แล้ว โดยอาจารย์ฉัตรทิพย์โต้แย้งว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะ

ประการแรก วิธีปะเอกสาร เรียงข้อมูล ใช้กับการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองและสังคมไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี สังคมก็ดี โน้มเอียงที่จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ทฤษฎี หรือหลักวิชา

ยกตัวอย่างเช่น ‘อัตราแลกเปลี่ยน’ ‘ดุลชำระเงิน’ และ ‘นโยบายงบประมาณ’ ย่อมสัมพันธ์กัน เป็นเหตุเป็นผลกัน โดยการมีงบประมาณที่เกินดุลจะทำให้เงินไม่เฟ้อ ทำให้ดุลการชำระเงินสมดุล ยังผลให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ และหากการค้าเป็นการผูกขาด จะต้องมีการจำกัดปริมาณสินค้าที่นำออกขายเสมอเพื่อเพิ่มกำไร ความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์เช่นว่านี้ไม่ใช่ว่าเราจะนึกเอาเองได้ เราต้องศึกษาจากวิชาสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ถ้าเราไม่รู้หลักหรือทฤษฎีเหล่านี้ เราจะละเลยข้อมูลมากมาย

สมมติว่าเรากำลังศึกษาเรื่องเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรงของไทยสมัยรัชกาลที่ 5 หรือศึกษาเรื่องการผูกขาดของพระคลังสินค้า แต่เราไม่รู้ทฤษฎีการเงิน ไม่รู้ทฤษฎีการผูกขาด ข้อมูลในหอจดหมายเหตุที่เราอ่านก็จะไม่ให้ความหมายแก่เราเลย[5]

ประการที่สอง วิธีปะเอกสาร เรียงข้อมูล เป็นวิธีการที่มีคุณค่าทางวิชาการน้อย การศึกษาประวัติศาสตร์ควรมีวัตถุประสงค์เพื่อความเข้าใจชีวิตมนุษย์ในสังคมโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ วิธีการศึกษาก็ควรเป็นวิธีวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยความรู้ในหลัก ทฤษฎี การศึกษาเปรียบเทียบและใช้เครื่องมือเหล่านี้รวบรวมข้อมูล และทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูล วิธีการนี้จะทำให้เราได้ความจริง ความจริงเช่นนี้เป็นความจริงที่แท้ที่ผ่านการวิเคราะห์วิทยาศาสตร์มาแล้ว ไม่ใช่ความจริงเฉพาะตามเอกสารชุดหนึ่งชุดใดที่อาจหลอกลวงเราได้

อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่า มีผู้คัดค้านว่าเราใช้ทฤษฎีมาวิเคราะห์เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะเหตุการณ์หนึ่งๆ ในประวัติศาสตร์มีลักษณะเป็นเอกภูมิไม่เหมือนเหตุการณ์ไหนๆ จะใช้หลักหรือทฤษฎีซึ่งสร้างไว้ด้วยหลักเหตุผลหรือข้อเท็จจริงทั่วไปมาช่วยศึกษาอธิบายไม่ได้ แต่คำค้านนี้ไม่มีน้ำหนัก เพราะในเหตุการณ์ที่ดูผิวเผินว่าเป็นเรื่องเฉพาะนั้น หากวิเคราะห์โดยถี่ถ้วนลึกลงไปแล้วจะปรากฏว่าเป็นผลของปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมเหมือนเหตุการณ์อื่นๆ ซึ่งเราสามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิชาสังคมศาสตร์

สำนักประวัติศาสตร์สำนักหนึ่งค้านการใช้วิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์มาก โดยอ้างว่าหากเราต้องการรู้และเข้าใจเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จะต้องใช้วิธีถอดจิตเราไปใส่จิตมนุษย์คนที่กระทำการในเหตุการณ์ที่จะศึกษา (เน้นโดยผู้เขียน) ไม่ใช่ศึกษาแบบที่เราเป็นบุคคลที่สามตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งไม่ใช้หลักทั่วไปที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างปรากฎการณ์ที่ค้นพบในระยะหลังไปวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต แต่อาจารย์ฉัตรทิพย์คัดค้านแนวการศึกษาประวัติศาสตร์แนวนี้ อาจารย์เห็นว่ามันค่อนข้างมีลักษณะเป็นจิตนิยม คือเป็นการศึกษาและการเขียนประวัติศาสตร์แบบนึกคิดเอาเองมาก การถอดจิตเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวเกินไปที่จะเอามาใช้ทางวิชาการ และประวัติศาสตร์ไม่ใช่นวนิยาย[6] (เน้นโดยผู้เขียน)

สำนักประวัติศาสตร์จิตนิยมส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากเกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล (Georg Wilhelm Friedrich Hegel, ค.ศ. 1770-1831) นักปราชญ์ชาวเยอรมัน ผู้ถือว่าประวัติศาสตร์เป็นประวัติการคลี่คลายของจิต เฮเกลเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กและมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ในเยอรมนี งานเขียนของเขาที่เกี่ยวกับปรัชญาประวัติศาสตร์โดยตรงคือ Reason in History และ Philosophy of History ในทัศนะของเฮเกลนั้น ความจริงแท้ของโลกคือ ‘จิต’ (spirit, mind, idea, God) และคุณสมบัติที่สำคัญของจิตคือ ‘อิสรภาพ’ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้นและมีศูนย์กลางอยู่ในตัวเอง[8]

นอกจากนี้ยังมีนักประวัติศาสตร์คนสำคัญคนอื่นๆ ในสำนักนี้คือ วิลเฮ็ล์ม ดิลที (Wilhelm Dilthey, ค.ศ. 1833-1911) และ อาร์.จี. คอลลิงวู้ด (R.G. Collingwood, ค.ศ. 1889-1943)[7]

ข้อเสนอของอาจารย์ฉัตรทิพย์

อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยใช้เครื่องมือของสังคมศาสตร์มากขึ้น โดยอาจารย์ได้เสนอประเด็นนี้มากว่าห้าทศวรรษแล้ว และเห็นว่าขณะนั้นเรามีงานวิจัยประวัติศาสตร์การบริหารและประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากพอแล้ว โดยแทบไม่มีการบริหารมณฑลไหนที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศไหนที่นักประวัติศาสตร์ของเราละเลย เราต้องมาหอจดหมายเหตุพร้อมด้วยทฤษฎี ซึ่งเอกสารด้านทฤษฎีหรือการเมืองไม่เหมือนด้านการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างปรากฎการณ์ซ่อนเร้นกว่า[9] (เน้นโดยผู้เขียน)

ข้อสังเกตของอาจารย์ฉัตรทิพย์

อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่า เพื่อแสดงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้เห็นชัดเจนว่าทฤษฎีจะช่วยในการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไร อาจารย์ฉัตรทิพย์ได้อธิบายถึงเอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในส่วนเอกสารของกระทรวงที่มีผู้ใช้น้อยและไม่ค่อยมีคนระลึกถึงความสำคัญของมัน (ขยายความโดยผู้เขียน)

กระทรวงแรกคือ กระทรวงกลาโหม

ทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศถือว่าการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางอำนาจ (power politics) กำลังอำนาจของชาติจึงเป็นสิ่งกำหนดการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของประเทศหนึ่งใดมาก แต่ปรากฏว่าในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ผู้วิจัยค่อนข้างละเลยเอกสารกระทรวงกลาโหมมาก ใช้แต่เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่ความจริงกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวกับก้อยของเหรียญเดียวกัน หากอ่านเอกสารของกลาโหมก็จะทราบแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสัมพันธ์ของไทยกับอังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ

กระทรวงที่สองคือ กระทรวงวัง

เอกสารกระทรวงนี้สำคัญมากสำหรับความเข้าใจวัฒนธรรมของสังคมไทยทั้งสังคม ไม่ใช่เกี่ยวพันเฉพาะกับองค์พระมหากษัตริย์กับเจ้านาย หากเราศึกษาทฤษฎีชนชั้นนำ (elite) ในวิชารัฐศาสตร์ จะทราบว่าชนชั้นนำคือบ่อเกิดวัฒนธรรมสังคม ฉะนั้นหากต้องการศึกษาวัฒนธรรมหรือประเพณีในสังคมไทยก็ควรอ่านเอกสารกระทรวงวัง ซึ่งอาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่าอาจสำคัญกว่าเอกสารกระทรวงศึกษาธิการในแง่การศึกษาในเรื่องนี้

กระทรวงที่สามคือ กระทรวงการคลัง

ในส่วนกระทรวงนี้ อาจารย์ฉัตรทิพย์วิเคราะห์ไว้เรื่องเดียวคือว่า ถ้าเราอ่านเอกสารกระทรวงนี้ เราจะพบเรื่องของเจ้าภาษีนายอากรมาก ถ้าเราอ่านผ่านๆ เลยไป ก็ดูคล้ายๆ ว่านี่คือการเก็บภาษีประเภทหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาซ้ำประจำ แต่ถ้านึกถึงทฤษฎีของเฟร็ด ดับเบิลยู ริกส์ (Fred W. Riggs) [10] ที่ว่าเมืองไทยเป็น ‘ระบบข้าราชการ’ (bureaucratic polity) หรือ ‘อำมาตยาธิปไตย’ ซึ่งเผยแพร่ในหนังสือ Thailand : The Modernization of a Bureaucratic Polity (พ.ศ. 2509)[11] หรืองานของคาร์ล ออกุสต์ วิทโฟเกล (Karl August Wittfogel)[12] ว่าด้วย ‘นายทุนข้าราชการ’ ทฤษฎีเหล่านี้บอกว่าเจ้าภาษีไม่ได้เก็บภาษีอะไรเลย แต่ทำการค้าผูกขาดภายใต้ร่มเงาของขุนนางหรือระบบราชการในกระทรวงการคลังนี้มากกว่า ทั้งนี้วิทโฟเกลยังได้วิเคราะห์แนวมาร์กซิสต์ในความคิดของแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) ในกรณีจีนและอินเดียว่าเป็น hydraulic-bureaucratic official-state และสร้างกรอบคิดที่มาจากความสงสัยแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) ในเรื่อง ‘วิถีการผลิตเอเชีย’ (Asiatic Mode of Production)[13]

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ว่าทำไมระบบนายทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่และประชาธิปไตยเสรีจึงเกิดขึ้นค่อนข้างยากในสังคมไทย ซึ่งหากเราไม่คุ้นกับทฤษฎี เราอาจผ่านเลยเอกสารสำคัญเหล่านี้ไป โดยต่อมาภายหลัง อาจารย์ฉัตรทิพย์ได้พยายามพัฒนาความเข้าใจเรื่องนี้อย่างเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยการพัฒนาองค์ความรู้จากการทำวิจัยของอาจารย์ร่วมกับลูกศิษย์ปริญญาโทจำนวนมาก ซึ่งอาจารย์ฉัตรทิพย์ให้ข้อมูลว่ามีทั้ง ผศ. พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เป็นลูกศิษย์ปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ที่อาจารย์ฉัตรทิพย์เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ประวัติศาสตร์ให้เป็นคนแรก[14] นอกจากนั้นยังมีคนอื่นเช่น สิริลักษณ์ ศักดิ์แกรียงไกร[15] สังศิต พิริยะรังสรรค์[16] ศิวรักษ์ ศิวารมย์[17] ญาดา ประภาพันธ์[18] สุวิทย์ ไพทยวัฒน์[19] ชูสิทธิ์ ชูชาติ[20]  ประนุช ทรัพยสาร[21] และนภาพร อติวานิชยพงศ์[22] จนนับเป็นสำนักคิดว่าด้วย ‘ทุนนิยมไทย’ ประยุกต์กับ ‘วิถีการผลิตแห่งเอเชีย’ [23] ซึ่งอธิบายเรื่องนายทุนนายหน้า (comprador) ระบบทุนนิยมขุนนาง บทบาททางประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ 2475 โดยคณะราษฎร ทั้งในเชิงความหมายทางประวัติศาสตร์และอุปสรรค เรื่อยมาถึงความหมายทางสังคมของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งในประเด็นหลังนี้ อาจารย์ฉัตรทิพย์ได้จุดประกายความคิดไว้ตั้งแต่ปี 2517 ผ่านบทความเรื่อง ‘วิวัฒนาการระบบเศรษฐกิจไทย’[24]

สรุปที่ไม่สรุป

จดหมายเหตุที่เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ชั้นต้นสำคัญยังมีความสำคัญแน่นอน แต่หลังจากที่อาจารย์ฉัตรทิพย์วิเคราะห์และเสนอแนะเรื่องเอกสารจดหมายเหตุและวิทยานิพนธ์ปริญญาโทจำนวนเป็นร้อยฉบับเมื่อเกือบห้าทศวรรษแล้ว วันนี้วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษยังมีเนื้อหาซ้ำแบบเดิมๆ ที่อาจารย์เสนอแนะหรือไม่

นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจและท้าทายทั้งวงวิชาการและนโยบายสาธารณะ ซึ่งผู้เขียนก็ยังไม่ทราบ แต่จะศึกษาและเรียนรู้ต่อไป และหากเป็นไปได้ย่อมอยากได้รับทราบความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนจากผู้รู้ที่กรุณาอ่านบทความสั้นๆ ชิ้นนี้ในไม่ช้า

ด้วยความเคารพอาจารย์ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา


[1] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา “หอจดหมายแห่งชาติกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย” คำบรรยายในรายการ “คุยกันเรื่องเก่า” ตามคำเชิญของกรมศิลปากรร่วมกับ Dr. David K. Wyatt และ Dr. Craig J. Reynolds ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ถนนสามเสน 19 สิงหาคม 2520 ตีพิมพ์ครั้งแรก วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม-กุมภาพันธ์ 2521 : 58.

[2] เพิ่งอ้าง : 58.

[3] เพิ่งอ้าง : 58.

[4] เพิ่งอ้าง : 59.

[5] เพิ่งอ้าง : 61.

[6] เพิ่งอ้าง : 63.

[7] ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและคณะ, “ความหมาย ความสำคัญ และการจำแนกสาขาของประวัติศาสตร์”, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคม, กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ จำกัด 2537 : 12.

[8] ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและคณะ, “ปรัชญาและวิธีการของประวัติศาสตร์”,  ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคม, กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ จำกัด 2527 : 29.

[9] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, หอจดหมายเหตุแห่งชาติกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย : 64.

[10] Fred W. Riggs นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันและเป็นผู้ริเริ่มการศึกษาบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ Administration in developing countries : The theory of prismatic society, (Haughton Mifflin co. 1964) ผลงานเกี่ยวเกี่ยวกับไทยคือ Fred W. Riggs, Thailand: The Modernization of a Bureaucratic Polity ที่มีอิทธิพลต่อวงการวิชาการมาก

[11] พิมพ์โดย Honolulu : East-West Center Press, 1966.

[12] เขาเป็นนักประวัติศาสตร์และจีนศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน เขาสังกัดกลุ่มมาร์กซิสต์และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน ผลงานโดดเด่นคือ Oriental Despotism : A Comparative Study of Total Power, 1957

[13] Wittfogel มาสรุปเป็น การกดขี่บูรพา (Oriental despotism) บางคนเรียกว่าบรมเดชานุภาพตะวันออก ซึ่งเน้นการชลประทาน โครงสร้างราชการต้องการรักษาสถานะของพวกเขาและก่อผลกระทบต่อสังคม ด้วยรัฐต้องเกณฑ์บังคับแรงงานเพื่อสร้าง การกดขี่โดยราชการหรือบรมเดชานุภาพตะวันออก (bureaucratic despotism)

[14] ข้อมูลจากอีเมลอาจารย์ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ถึงผู้เขียน วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567

[15] ต้นกำเนิดชนชั้นนายทุนในประเทศไทย พ.ศ. 2398-2453

[16] วิทยานิพนธ์เรื่อง Thai Bureaucratic Capitalism 1932-1960, Faculty of Economic, Thammasat University, 1980

[17] วิทยานิพนธ์เรื่อง กระบวนการการแบ่งชนชั้นชาวนาในชนบท ศึกษาเฉพาะชาวนาภาคกลาง พ.ศ. 2485-2524 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2527

[18] ระบบเจ้าภาษีนายอากรสมัยรัตนโกสินทร์ยุคต้น

[19] วิทยานิพนธ์เรื่อง วิวัฒนาการเศรษฐกิจชนบทในภาคกลางของประเทศไทย พ.ศ. 2394-2475 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2522

[20] วิทยานิพนธ์เรื่อง วิวัฒนาการเศรษฐกิจหมู่บ้านภาคเหนือของประเทศไทย พ.ศ. 2398-2475 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2523

[21] วิทยานิพนธ์เรื่อง วิวัฒนาการเศรษฐกิจหมู่บ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2539-2475 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2525

[22] วิทยานิพนธ์เรื่อง The Development of Political Economy Thought in Thailand, 1932-1982, Faculty of Economic, Thammasat University 1986.

[23] อาจารย์ฉัตรทิพย์ใช้แนวคิดวิถีการผลิตแห่งเอเชีย ของคาร์ล มาร์กซครั้งแรกในการวิจารณ์งานวิจัยเรื่องศักดินากับพัฒนาการสังคมไทยของ ศ.ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่งานสัมมนาซึ่งจัดโดยสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย อ้างจาก อานันท์ กาญจนพันธ์, “สังคมไทยตามความคิดและความไฝ่ฝันในงานของอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา”  60 ปี ฉัตรทิพย์ นาถสุภา (ศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2544) : 137.

[24] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, “วิวัฒนาการระบบเศรษฐกิจไทย” อักษรศาสตร์พิจารณ์ ฉบับที่ 9 ปีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2517

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save