สารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ เป็นนักธุรกิจไทยที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งกษัตริย์กาตาร์ทรงจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับทรัมป์และคณะ

‘ดีลลับ’ เขย่าเศรษฐกิจ บทบาท ‘ซีอีโอ’ กับการทูตในระเบียบโลกยุคทรัมป์

แม้บริษัทข้ามชาติและ ‘นายทุน’ จะเป็นผู้เล่นที่ชี้นำเศรษฐกิจและทิศทางโลกมาตลอด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหล่าซีอีโอและมหาเศรษฐีจะออกหน้าเดินสายเจรจา ‘ดีลลับ’ ข้ามประเทศอย่างเปิดเผยเช่นทุกวันนี้

ปรากฏการณ์นี้เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อบริษัทข้ามชาติหลายแห่งมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่าจำนวนจีดีพีในหลายประเทศ ทำให้กลุ่มทุนก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนผู้มีอำนาจรัฐแบบดั้งเดิม

ภาพของซีอีโอบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี เข้าร่วมงานเลี้ยงที่กาตาร์และสนทนากับโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนให้เห็นเส้นแบ่งระหว่างการทูตและการเจรจาธุรกิจที่ดูจะเลือนรางลงทุกที และยากที่จะแยกว่าสิ่งที่เห็นเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง ผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือผลประโยชน์ของประเทศ

โลกเปลี่ยน การทูตก็ต้องเปลี่ยน

ในอดีต กระทรวงการต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญในการทูตแบบดั้งเดิม โดยทำหน้าที่เจรจา ปกป้องผลประโยชน์ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ภูมิทัศน์ทางการทูตเปลี่ยนแปลงไปมากในยุคนี้ เราเห็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดของจีน การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และความร่วมมือทางเทคโนโลยีเพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ให้เห็นว่า “บทบาทการทูตได้ขยายขอบเขตเกินกว่าการดำเนินงานของรัฐ” โดยรัฐบาลต้องปรับตัวรับมือกับตัวแสดงใหม่อย่างองค์กรระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ (MNCs) ที่มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ ‘การทูตเชิงบรรษัท’ (Corporate Diplomacy)

บทวิเคราะห์ของ Economist Intelligence Unit ชี้ให้เห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ได้ก้าวขึ้นมามีอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศ โดยมีบทบาทกำหนดทิศทางนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ และสามารถกำหนดวาระ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพ: White House / Daniel Torok

‘การทูตเชิงบรรษัท’ ทรงพลังในยุคนี้

‘การทูตเชิงบรรษัท’ หรือ ‘การทูตภาคเอกชน’ เป็นกระบวนการที่บริษัทข้ามชาติใช้เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาลต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และผู้มีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสำเร็จทางธุรกิจ ปกป้องผลประโยชน์ และบริหารความเสี่ยงทางการเมือง บริษัทเหล่านี้ดำเนินกิจกรรมหลายรูปแบบ ตั้งแต่การล็อบบี้รัฐบาล การขยายเครือข่ายธุรกิจและการเมือง การเจรจาข้อตกลงการค้าและการลงทุนขนาดใหญ่ การจัดการความเสี่ยงในประเทศที่เข้าไปลงทุน ไปจนถึงการสร้างภาพลักษณ์องค์กรในระดับโลก

เหตุใดบริษัทเหล่านี้จึงมีอำนาจมากในเวทีโลก?

  • เงินทุนมหาศาล: บริษัทข้ามชาติมีงบประมาณจำนวนมากในการลงทุน สร้างงาน และวิจัยพัฒนา ส่งผลให้มีอำนาจต่อรองสูงกับรัฐบาลหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการการลงทุนจากต่างชาติ ข้อมูลจาก UNCTAD ยืนยันว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากบริษัทเหล่านี้  
  • เครือข่ายทั่วโลก: บริษัทเหล่านี้สร้างเครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงทั่วโลก ทำให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและผู้มีอำนาจในทุกระดับได้ พวกเขาสามารถใช้เครือข่ายนี้ผลักดันกฎหมายหรือนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ  
  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: บริษัทยักษ์ใหญ่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีล้ำสมัย พลังงาน สาธารณสุข และการเงินดิจิทัล ซึ่งบางครั้งแม้แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่มี ความเชี่ยวชาญนี้กลายเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเจรจาประเด็นสำคัญระดับโลก

‘ซีอีโอ’ ขึ้นเวทีโลกแทนนักการทูต

การเยือนตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 13-15 พฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากคณะผู้แทนทางการแล้ว ทรัมป์ยังพาซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงกว่า 60 คนร่วมเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สะท้อนให้เห็นการผสานกันระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับการทูตได้อย่างชัดเจน

การเยือนครั้งนี้มุ่งเน้นความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทรัมป์ได้หารือกับผู้บริหารชั้นนำในวงการ AI อย่างแซม อัลท์แมน จาก OpenAI และเจนเซน ฮวง จาก Nvidia พร้อมทั้งร่วมวางศิลาฤกษ์ ‘AI campus’ ที่อาบูดาบี ผลลัพธ์คือสหรัฐฯ ได้ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ให้ซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้หุ้น Nvidia พุ่งขึ้นทันที ด้าน โมฮัมเหม็ด โซลิมัน ผู้เชี่ยวชาญจาก Middle East Institute ย้ำว่านี่เป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญของตะวันออกกลางในการพัฒนา AI ระดับโลก

นอกจากความร่วมมือด้าน AI แล้ว การเยือนครั้งนี้ยังสร้างปรากฏการณ์ด้านการลงทุนครั้งใหญ่ โดยซาอุดีอาระเบียตกลงลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ กาตาร์ประกาศลงทุน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในส่วนของภาคเอกชน Boeing ได้ยอดสั่งซื้อเครื่องบินจำนวนมากจาก Qatar Airways ขณะที่อีลอน มัสก์ ร่วมเดินทางกับคณะของทรัมป์มาแล้วหลายครั้ง และยังมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ

เหตุการณ์สำคัญในการประชุม ยังรวมถึงการพบปะระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีซีเรียเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ผลลัพธ์คือสหรัฐฯ ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อซีเรีย พร้อมกับที่ซีเรียได้เปิดประตูต้อนรับการลงทุนจากบริษัทอเมริกันในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

สารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ เป็นนักธุรกิจไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งกษัตริย์กาตาร์ทรงจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับทรัมป์และคณะ โดยมีผู้นำระดับสูงจากสหรัฐฯ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วย

ในฐานะซีอีโอของบริษัทไทยรายใหญ่ที่ลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐฯ เช่น โรงไฟฟ้า Jackson และเตรียมขยายการลงทุนด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าขนาด 1,000 เมกะวัตต์ สารัชถ์ได้ใช้โอกาสนี้หารือกับทรัมป์และคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือทางการค้าของไทย ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ แสดงความพร้อมที่จะตอบรับการลงทุนด้านพลังงาน ทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่เป็น ‘สัญญาณบวก’ ต่อการเจรจาการค้าด้านภาษี

นอกจากการประชุมครั้งนี้ ยังมีกรณีอื่นๆ ที่แสดงถึงบทบาททางการทูตภาคธุรกิจของซีอีโอ เช่น การที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ มีส่วนในการผลักดันและคัดค้านข้อตกลงทางการค้าต่างๆ โดยข้อมูลจาก OpenSecrets.org ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงโควิด-19 บริษัทผลิตยาชื่อดังได้เจรจาขายวัคซีนให้กับรัฐบาลทั่วโลกโดยตรง ขณะที่บิ๊กเทคอย่าง Google, Meta, Apple และ Amazon ก็ร่วมกำหนดมาตรฐานการใช้เทคโนโลยีทั่วโลก และเป็นผู้เจรจาต่อรองข้อกฎหมายระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ดร.เอียน เบรมเมอร์ ประธาน Eurasia Group ได้สะท้อนประเด็นนี้ว่า “เมื่อบริษัทต้องดำเนินงานข้ามประเทศ จึงต้องประสานงานกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ และมักจะขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์”

ภาพ: White House / Daniel Torok

‘ซีอีโอ’ VS. ‘นักการทูต’

จากการที่ซีอีโอมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ ผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้มีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับนักการทูต ไม่ว่าจะเป็นความชำนาญในการเจรจาต่อรอง วิสัยทัศน์ในระดับโลก ความสามารถในการสร้างเครือข่าย และประสบการณ์ด้านการจัดการสถานการณ์วิกฤต เช่น อีลอน มัสก์ และบิล เกตส์ อัจฉริยะด้านนวัตกรรม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าซีอีโอจะมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับนักการทูต แต่ก็ยังคงมีประเด็นด้านจริยธรรมที่ต้องพิจารณา ประเด็นสำคัญที่สุดคือ การรับผิดรับชอบ (accountability) ในขณะที่นักการทูตรับผิดรับชอบโดยตรงกับรัฐบาล (ซึ่งควรจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน) ซึ่งโดยหลักการแล้วถือว่ายึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก และรับผิดรับชอบต่อประชาชนโดยอ้อม แต่ซีอีโอมีภาระหน้าที่ต่อผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ตรงกับผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ  

ตามที่ ดร.โจเซฟ ไน นักรัฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงได้ชี้ให้เห็นว่า “เป้าหมายของบริษัทกับเป้าหมายของชาติ มักจะเป็นคนละเรื่อง”

นอกจากนี้ภาคเอกชนมักดำเนินกิจการโดยไม่เปิดเผยข้อมูล ทำให้สังคมไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีระบบควบคุมภายในองค์กรที่เข้มข้นเทียบเท่ากับภาครัฐ รวมทั้งซีอีโอไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน ทำให้การดำเนินการต่างๆ อาจไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย

อัลเลน แอล. ไวท์ นักวิชาการอาวุโสของสถาบัน Tellus Institute ในอังกฤษ ระบุว่า “การทูตในภาคธุรกิจสามารถสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศได้ แต่รัฐต้องตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้อิทธิพล และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน”

บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในยุคการทูตซีอีโอ?

แม้ว่าบริษัทข้ามชาติจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น แต่กระทรวงการต่างประเทศยังคงเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เป็นนักการทูตในโลกยุคนี้ กระทรวงฯ มีภารกิจสำคัญคือการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในทุกมิติ ซึ่งครอบคลุมกว้างกว่าเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

นอกจากนี้กระทรวงฯ ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานรัฐ เพื่อผลักดันงานด้านการทูตให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งดูแลและช่วยเหลือคนไทยในต่างแดน ซึ่งเป็นบทบาทที่ภาคเอกชนไม่สามารถทดแทนได้  

ที่สำคัญ กระทรวงฯ ยังเป็นแกนหลักในการสร้างและรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือในระดับโลก

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐจำเป็นต้องพัฒนาองค์กรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยต้องกระชับความร่วมมือกับภาคเอกชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เชี่ยวชาญในประเด็นร่วมสมัย ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล วิทยาศาสตร์ และสาธารณสุข พร้อมทั้งปรับปรุงช่องทางการสื่อสารกับประชาคมโลก และวางกฎเกณฑ์เพื่อกำกับดูแลให้บริษัทข้ามชาติดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภาพ White House / Daniel Torok

การทูตแบบใหม่ภายใต้ระเบียบโลกใหม่

ความไม่แน่นอนและความผันผวนที่เกิดขึ้นกับระเบียบโลกใหม่จะยิ่งทำให้บทบาทของภาคเอกชนมีความสำคัญมากขึ้น และส่งผลให้การทูตในอนาคตจะมีลักษณะเป็นแบบผสมผสาน (Hybrid Diplomacy) ทั้งรัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ และบริษัทข้ามชาติต้องร่วมมือและแข่งขันอย่างสมดุล พร้อมทั้งเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เข้มแข็ง เพื่อกำกับดูแลให้บริษัทข้ามชาติดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเคารพสิทธิมนุษยชน

ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ต้องเจอกับความท้าทายในการสร้างดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์สามด้าน ได้แก่ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ผลประโยชน์ของรัฐ และผลประโยชน์ร่วมของประชาคมโลก จึงต้องวางกลยุทธ์ที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพของบริษัทขนาดใหญ่อย่างรอบคอบ

ผลการศึกษาชี้ว่าการดำเนินการของบรรษัทข้ามชาติอาจเป็นปัญหากับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังขาดศักยภาพด้านนวัตกรรม การพึ่งพาการลงทุนจากบริษัทเหล่านี้มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และนำไปสู่ ‘ช่องว่างทางนวัตกรรม’ ซึ่งจะกลายเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำในระดับโลก

ประเทศไทยซึ่งอยู่ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา จึงต้องสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์สามด้านนี้ การวางกลยุทธ์จึงต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากบริษัทขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาอธิปไตยและความเป็นอิสระในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านนวัตกรรมและทรัพยากรบุคคลเพื่อยกระดับจากการเป็นเพียงผู้รับเงินลงทุนไปสู่การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่เข้มแข็ง

คิวา ออลกู๊ด นักวิเคราะห์อาวุโสของเวทีเศรษฐกิจโลก World Economic Forum สะท้อนมุมมองที่น่าสนใจว่า “เราไม่ควรมองว่าต้องเลือกระหว่างภาครัฐหรือภาคเอกชน แต่ควรแสวงหาแนวทางที่จะเสริมสร้างความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายให้มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบที่มากขึ้น”

ทั้งนี้ เราหวังว่าจะได้เห็นการจัดระเบียบโลกใหม่ ผ่านการพัฒนาระบบและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้ ‘การทูตภาคธุรกิจ’ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลกำไรของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ข้อมูลอ้างอิง:

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save