ข่าวฮือฮาเกี่ยวกับการเมืองภายในสหราชอาณาจักรเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คือการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีริชี ซูนัก ซึ่งได้ดึงเดวิด แคมเมอรอน อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อกหักทิ้งวงการการเมือง ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟและสมาชิกสภาสามัญเมื่อ 7 ปีก่อนเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่แพ้ประชามติ Brexit
สื่อมวลชนในอังกฤษประโคมข่าวกันต่อเนื่องหลายวัน ทำให้สื่อในต่างประเทศติดตามข่าวกันคึกคัก เพราะแคมเมอรอนเองก็เคยมีบทบาทในเวทีการเมืองของโลกอยู่หลายปีในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (2010-2016) เลยทำให้ข่าวการปรับ ครม. ตำแหน่งอื่นๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจมากนักต่างพุ่งความสนใจไปที่อดีตนายกแคมเมอรอน
ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์หลักของการปรับ ครม. ครั้งนี้ เป็นวิธีการหนึ่งของซูนักที่จะปลดรัฐมนตรีมหาดไทยอย่างซูลเอลลา บราวเวอร์แมน ผู้จุดประเด็นการเมืองร้อนแรงอื้อฉาวหลากหลายประเด็น อย่างเช่นนโยบายควบคุมคนเข้าเมือง ปัญหาคนไร้บ้าน และล่าสุดคือท้าทายอำนาจนายกรัฐมนตรีไปเขียนบทความตีพิมพ์สร้างแรงกดดันตำรวจลอนดอน ให้สั่งแบนการชุมนุมประท้วงของผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ แล้วให้ท้ายกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา สั่นสะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาลคอนเซอร์เวทีฟตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะนี้ก็เหลือเวลาอีกปีกว่าๆ ที่สหราชอาณาจักรจะต้องยุบสภาจัดเลือกตั้งทั่วไปตามวาระ แต่คะแนนนิยมพรรครัฐบาลร่วงหล่นไปเรื่อยๆ มีโอกาสสูงที่พรรคฝ่ายค้านจะชนะเลือกตั้ง จึงทำให้นายกรัฐมนตรีซูนักต้องวางยุทธศาสตร์ใหม่ พลิกเกมเรียกคะแนนนิยมกลับมา จึงมีการวางเดิมพันด้วยการดึงนักการเมืองมากประสบการณ์และบารมีสูง (heavy weight) ในเวทีการเมืองของโลกเข้ามาร่วมรัฐบาล ซึ่งมีทั้งเสียงชมเชยและเย้ยหยันจากสมาชิกพรรคตัวเองและพรรคฝ่ายค้าน ส่วนสื่อมวลชนออกจะงงๆ อยู่ ต้องพลิกตำราว่าปรับ ครม. แบบนี้ผิดธรรมเนียมประเพณีประชาธิปไตยหรือมีประเด็นทางรัฐธรรมนูญหรือไม่
ประเด็นโต้เถียงคือ ประเพณีการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่รัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาสามัญ (House of Commons) ที่ผ่านการเลือกตั้ง เพราะมีหน้าที่ต้องมาตอบกระทู้ในสภา (accountable to the elected chamber) เมื่อแคมเมอรอนลาออกจากการเป็น ส.ส. ไปนานแล้วจะถือว่าผิดประเพณีประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเขาจะเข้าไปในสภาสามัญเพื่อทำหน้าที่ตอบกระทู้ตามธรรมเนียมปฏิบัติไม่ได้
The Conversation นิตยสารที่เป็นเวทีของนักวิชาการตั้งคำถามว่า ‘ทำไมนายกฯ ซูนักแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาสามัญเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เกิดอะไรขึ้น?’ บทความนี้เขียนโดยนักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญอย่างแอนดี้ เรน (Andy Rain) ระบุว่าตามประเพณีการเมืองในสหราชอาณาจักรในปัจจุบันนี้ถือเป็นกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่โดยหลักการแล้วไม่มีข้อห้ามแต่อย่างได เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยแท้
ถ้าว่ากันตามรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลจากทั้งจากสภาสามัญ (สภาผู้แทนราษฎร-สมาชิกมาจากการเลือกตั้ง) หรือสภาขุนนาง (House of Lords สภาสูง-สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง) ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีก็ปฏิบัติตามหลักการนี้มาตลอด
ประเพณีปฏิบัตินี้ เป็นไปตามหลักรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่ารัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งหมายถึงสภาสามัญและสภาขุนนางรวมกัน ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้งให้เดวิด แคมเมอรอนเป็นสมาชิกสภาขุนนางก่อนแล้วค่อยแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
ตามขั้นตอนนี้ ลอร์ดแคมเมอรอนก็จะไปนั่งอยู่ในแถวที่นั่งของสมาชิกสภาฝ่ายรัฐบาล คอยตอบกระทู้จากสมาชิกสภาขุนนางจากแถวนั่งที่เป็นฝ่ายค้าน แม้กระนั้นก็ตามยังมีคนตั้งคำถามต่อประเด็นเรื่องความชอบธรรม ที่ว่ายุคสมัยคริสตศตวรรษที่ 21 นี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะยังมีการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาเป็นรัฐมนตรีอีกหรือ เพราะหลักการที่ว่า รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อรัฐสภา (accountable to parliament) ในภาคปฏิบัติคือ แสดงความรับผิดชอบต่อสภาสามัญที่สมาชิกมาจาการเลือกตั้ง
เมื่อรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศไม่มีสิทธิเข้าสภาสามัญเพื่อแถลงนโยบายหรือตอบกระทู้ถามจากเพื่อนสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองหรือฝ่ายค้าน ก็คงทำให้สมาชิกบางคนไม่พอใจ และประเด็นนี้ลินด์เซย์ ฮอยล์ (Lindsay Hoyle) ประธานสภาสามัญได้เอ่ยปากแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่ร้อนแรงหลายแห่งทั้งในยูเครนและปาเลสไตน์ ผู้แทนประชาชนในสภาสามัญต้องการตรวจสอบผลงานของรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศคนใหม่ แต่ต้องมาฟังคำแถลงจากรัฐมนตรีช่วย ซึ่งเป็น ส.ส. แทน
ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศมาจากสภาขุนนาง สมัยที่มาการ์เรต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยแต่งตั้งลอร์ด แคริงตัน (Lord Carrington) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการมาแล้วระหว่างปี 1979-1982 และเคยมีกรณีอดีตนายกรัฐมนตรีอเล็ก ดักลัส ฮูม (Alex Douglas Home) หวนกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศระหว่างปี 1970-1974
สำหรับผู้ที่ติดตามการเมืองในสหราชอาณาจักรคงพอจะมองเห็นยุทธศาสตร์ของนายกฯ ซูนัก เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมานี้ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศมีความซับซ้อนและสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามใหญ่ได้ตลอดเวลา ทั้งกรณียูเครนที่ยืดเยื้อหาทางออกไม่ได้มาถึงสองปี และเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาและอิสราเอล ซึ่งเป็นปัญหาละเอียดอ่อน
ในช่วงที่ประธานาธิบดีปูตินสั่งกำลังทหารบุกรุกยูเครนด้วยข้ออ้างต่างๆ ที่ไม่เข้าข่ายกฎหมายระหว่างประเทศดังจะเห็นได้จากมติของสหประชาชาติ ในช่วงนั้นนายกฯ บอริส จอห์นสัน กระโจนเข้าไปดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยตัวเอง โดยรัฐมนตรีว่าการตอนนั้นแทบไม่มีบทบาทอะไร และเมื่อกวาดดูรายชื่อบรรดานักการเมืองแถวหน้าของรัฐบาลอังกฤษตอนนั้น ก็จะเห็นว่าไม่มีใครที่มือถึงและมีประสบการณ์ด้านต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งคนล่าสุดอย่างเจมส์ เคลเวอร์ลีที่เพิ่งถูกย้ายให้ไปรับตำแหน่ง รมว. มหาดไทย แทนซูลเอลลา บราวเวอร์แมน
เป็นที่ยอมรับกันว่าลอร์ด แคมเมอรอนเป็นนักการเมืองมากประสบการณ์ มีบารมีสูงทั้งในพรรคคอนเซอร์เวทีฟ และเป็นที่รู้จักการแพร่หลายในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ แม้ว่าจะพลาดพลั้งในช่วงการรณรงค์ Brexit ที่เป็นช่องให้จอห์นสันช่วงชิงขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทนในที่สุด แต่จอห์นสันก็ต้องลงจากตำแหน่งไปเพราะพฤติกรรมส่วนตัวที่ตกหลุมความลุ่มหลงตัวเองจนพัง
ระหว่างที่ลอร์ดแคมเมอรอนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวหกปีขณะนั้น เขาได้สะสมความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำของประเทศมหาอำนาจหลายคน ทั้งโอบามา, ปูติน และสีจินผิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีจินผิง ซึ่งในช่วงเวลานั้นสื่อมวลชนเรียกว่ายุคทองของความสัมพันธ์สหราชอาณาจักรและจีน
ยุทธศาสตร์ของซูนักคือ ต้องการใช้ทักษะและความสัมพันธ์ส่วนตัวของลอร์ดแคมเมอรอนกับผู้นำจีน เพื่อปรับรูปแบบความสัมพันธ์กันใหม่ เพราะระยะหลังๆ นี้มีความบาดหมางกันหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องฮ่องกงมาถึงเรื่องที่จีนส่งตำรวจเข้ามาตั้งสำนักงานในสหราชอาณาจักรเพื่อไล่ล่านักวิชาการจีนที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์และนักกิจกรรมประชาธิปไตยจากฮ่องกง
ส่วนเรื่องที่ลอร์ดแคมเมอรอนจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับปูตินเพื่อคลี่คลายปัญหายูเครนหรือไม่อย่างไร ก็คงต้องเฝ้าดูกันต่อไป