คณะกรรมการ

คณะกรรมการธิปไตย 2: เมื่อกลไกคณะกรรมการตอบสนองต่อ ‘ข้าราชการ’ ไม่ใช่ ‘งานราชการ’?

อ่านตอนที่ 1 คณะกรรมการธิปไตย: เมื่อรัฐไทยขับเคลื่อนด้วยการตั้ง ‘คณะกรรมการ’

คณะกรรมการ (ระดับปฏิบัติการ) มันเยอะเกินความจำเป็น ยุบเลิกทิ้งไปได้เยอะ จริงๆ ใช้กลไกปกติก็ทำงานได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นคณะกรรมการ

นี่คือความเห็นจากข้าราชการคนหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุข นามสมมติว่า ‘สาว’[1] เกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการในหน่วยงานราชการที่เธอมองว่ามากเกินจำเป็น ขณะเดียวกันหากผู้อ่านเป็นผู้ติดตามข่าวการเมืองหรือความเคลื่อนไหวในรัฐบาล ก็คงได้ยินบ่อยๆ เช่นกันว่าในหลายประเด็นมักมีคำว่าคณะกรรมการเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เช่น ในการทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตก็มีการใช้กลไก ‘คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต[2]’ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ ‘คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ[3]’ ในภายหลัง หรือการจะทำสถานบันเทิงครบวงจรก็มีแผนว่าจะตั้ง ‘คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร[4]’ ขึ้นมาควบคุมการดำเนินงาน หรือกระทั่งหลังตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มช่วงแผ่นดินไหว ภาครัฐก็เข้ามาตรวจสอบสาเหตุด้วยการตั้ง ‘คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง[5]’ การก่อสร้างอาหาร สตง. แห่งใหม่

ในแง่หนึ่งการใช้กลไก ‘คณะกรรมการนโยบายมาขับเคลื่อนภารกิจระดับชาติ’ ก็ช่วยให้เกิดการบูรณาการในการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ แต่ในอีกด้านหนึ่งรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นจำนวนมากเกินความจำเป็นและซ้ำซ้อนในหน้าที่กัน จนส่งผลให้ข้าราชการระดับสูงถูกเบียดบังเวลางาน ต้องไปร่วมประชุมในคณะกรรมการจำนวนมากที่ตนเองถูกแต่งตั้งโดยตำแหน่ง จนไม่สามารถให้เวลากับการเข้าร่วมดำเนินงานของคณะไหนได้เต็มที่และไม่มีเวลาทำภารกิจของหน่วยงานตัวเอง นอกจากนี้คณะกรรมการทั้งหลายที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยภารกิจที่คล้ายกันก็อาจขาดกลไกการประสานงานกัน ส่งผลให้โดยภาพรวมหากไม่มีการจัดระเบียบที่ดี ‘กลไกคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ’ ก็อาจไม่ช่วยให้การทำงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น[6]

ปรากฎการณ์ที่รัฐบาลชอบแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินงานราชการจน ‘เฟ้อ’ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในระดับรัฐบาลในระดับชาติเท่านั้น เมื่อพิจารณาสำรวจกลไกภาครัฐในระดับที่ย่อยลงไปไม่ว่าจะเป็น ระดับกรม ระดับกอง หน่วยงานส่วนภูมิภาค ระดับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรือวิสาหกิจของภาครัฐ จะพบว่าผู้มีอำนาจในหน่วยงานเหล่านี้ก็มีแนวโน้มนิยมที่จะตั้ง ‘คณะกรรมการระดับปฏิบัติการ’ ขึ้นมาขับเคลื่อนงานราชการเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเฟ้อหนักกว่าภาพในระดับชาติด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ข้าราชการ ‘สาว (นามสมมติ)’ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลกับผู้เขียนว่า โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคกลาง มีคณะกรรมการที่ดำเนินงานภายในหน่วยงานประมาณ 40 คณะ (เทียบกับคณะกรรมการระดับชาติที่ทำทุกภารกิจจากทุกกระทรวงที่ผู้เขียนรวบรวมไว้มีประมาณ 220 คณะ)  

ในบทความนี้จึงขอพาทุกท่านขยับไปสำรวจ ‘ปรากฎการณ์คณะกรรมการเฟ้อในภาครัฐระดับปฏิบัติการ’ ทำไมตัวระบบราชการจึงนิยมตั้งคณะกรรมการขึ้นมา คณะกรรมการเหล่านี้มีประโยชน์ช่วยส่งเสริมให้การทำงานของระบบราชการดีขึ้นได้จริงไหม หรือข้าราชการเหล่านั้นตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตอบสนอง ‘เป้าหมายผลประโยชน์ส่วนตัว’ ของตัวข้าราชการเอง

กลไกคณะกรรมการในอุดมคติ ช่วยสร้างความร่วมมือและกระจายอำนาจในการทำงาน

ในภาพระดับประเทศ คณะกรรมการระดับชาติช่วยสร้างการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ข้าราชการข้ามกระทรวงมีพื้นที่ตรงกลางในการแลกเปลี่ยนความเห็น ตกลงแบ่งหน้าที่กัน และสามารถประสานงานในการขับเคลื่อนนโยบายได้ ซึ่งภาพในระดับที่เล็กลง ‘กลไกคณะกรรมการ’ ยังมีประโยชน์ที่ทำให้การทำงานของราชการในระดับปฏิบัติการมีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย[7]

ประการแรก คณะกรรมการทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจในการทำงาน แต่เดิมภายใต้ระบบราชการอำนาจการตัดสินใจจะเป็นไปตามสายบังคับบัญชา การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ของหน่วยงานจึงถูกผูกขาดไว้ที่หัวหน้าหน่วยงานนั้น แต่หากการตัดสินใจใดต้องผ่านกลไกคณะกรรมการ เสียงของผู้ที่เป็นกรรมการจะมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ลูกน้อง หรือคนจากหน่วยงานอื่น กลไกคณะกรรมการจึงช่วยเกลี่ยอำนาจเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีอำนาจน้อยมีสิทธิตัดสินใจมากขึ้น และทำให้การตัดสินใจภายในหน่วยงานมาจากความเห็นที่หลากหลายมากขึ้น

ประการที่สอง คณะกรรมการช่วยเปิดพื้นที่ระดมความรู้ความสามารถ โดยคณะกรรมการจำนวนมากมักระบุให้มีตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่จะช่วยเปิดช่องให้ระบบราชการสามารถดึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากภายนอกภาครัฐ เช่น นักวิชาการ นักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ เข้ามาทำงานร่วมในหน่วยงานรัฐได้

ประการที่สาม คณะกรรมการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมตัดสินใจ กล่าวคือการจัดตั้งคณะกรรมการสามารถระบุให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการด้วย ซึ่งช่วยเปิดช่องให้ผู้ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของของภาครัฐสามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษาหารือ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจครั้งสำคัญ

กล่าวได้ว่านอกจากกลไกคณะกรรมการจะช่วยทำให้เกิดการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐแล้ว ยังเป็นการช่วยกระจายอำนาจการตัดสินใจจากผู้มีอำนาจไปให้ข้าราชการผู้น้อยในหน่วยงาน ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการของภาครัฐ

นั่นหมายความว่าตามอุดมคติ คณะกรรมการน่าจะช่วยให้เกิดการถกเถียงสร้างการมีส่วนร่วมทำให้การทำงานของข้าราชการลดปัญหาการรวมศูนย์ อันจะทำให้ภารกิจภาครัฐน่าจะตอบสนองต่อประชาชนมากขึ้น ด้วยประโยชน์เหล่านี้อาจเป็นเหตุผลที่จูงใจให้ข้าราชการนิยมที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำงานในหน่วยงาน?

ในทางปฏิบัติจริง ข้าราชการไม่อยากรับโทษ จึงตั้งกรรมการมากระจายความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ข้าราชการจำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติงานจริงที่ต้องมีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ กลับมีความเห็นว่าคณะกรรมการที่ตนพบเจอส่วนมากไม่ได้ช่วยให้การทำงานของราชการมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างที่คาดหวังไว้ หรือกระทั่งมองว่าคณะกรรมการจำนวนมากไม่มีประโยชน์ ไม่ควรมีอยู่ ไม่ได้ตอบโจทย์ภารกิจของภาครัฐ แต่ตอบโจทย์ความต้องการของข้าราชการผู้ใหญ่ที่จัดตั้งขึ้นมากกว่า เช่น เข้ม[8] (นามสมมติ) ข้าราชการคนหนึ่งในกระทรวงแรงงานที่ให้ความเห็นกับเราว่า

คณะกรรมการมีไว้เป็นตุ๊กตาเสียกบาลหรือสายล่อฟ้า ที่เอาไว้ถ่ายโอนความรับผิดจากคนๆ เดียวไปสู่คนจำนวนหนึ่ง…. คณะกรรมการจำนวนมากถูกตั้งขึ้นมาเพราะว่า ตัวผู้ตั้งไม่อยากรับผิดคนเดียว เลยต้องการหาคนมารับผิดชอบด้วย

คณะกรรมการกลายเป็นกลไกที่ถูกใช้ตอบสนองต่อ ‘ความระแวงของข้าราชการ’ กล่าวคือ กลไกระบบราชการมีระเบียบที่เคร่งครัดและซับซ้อนมีโอกาสสูงที่ข้าราชการจะผลักดันโครงการอะไรสักอย่างแล้วจะทำผิดระเบียบได้โดยง่าย ข้าราชการที่มีอำนาจจึงกังวลว่าการตัดสินใจดำเนินโครงการของตนอาจจะมีข้อผิดพลาด ที่อาจจะส่งผลทำให้ตนเองได้รับโทษทางราชการในภายหลังได้ ข้าราชการจึงแก้ปัญหาความระแวงด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบร่วมหากเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาด ซึ่งการตั้งคณะกรรมการช่วยให้ผู้ตั้งเบาใจได้มากขึ้นจากการที่กรรมการแต่ละท่านจะไปหาวิธีป้องกันไม่ให้คนในคณะกรรมการเดียวกันถูกลงโทษได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลายครั้งคณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นมาได้ตั้งคณะกรรมชุดย่อย (อนุกรรมการ) ขึ้นมาอีกหลายคณะเพื่อคอยตรวจสอบเรื่องทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องช่วยป้องกันต่อกันไปเป็นหลายทอด เช่น ในการสร้างตึกราชการตึกหนึ่ง ข้าราชการที่เกี่ยวข้องจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดูแลการสร้างตึกในภาพรวม ซึ่งคณะกรรมการชุดนั้นก็จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการย่อยๆ เพื่อช่วยตรวจสอบความเรียบร้อย ทั้งคณะกรรมการจัดหาผู้รับเหมา คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้รับเหมา คณะกรรมการตรวจรับ คณะกรรมการตรวจสอบกฎหมายการก่อสร้าง คณะกรรมการตรวจสอบการเบิกงบ ฯลฯ การไม่อยากต้องรับผิดจึงนำไปสู่การงอกเงยของคณะกรรมการเป็นจำนวนมาก

หากการตั้งคณะกรรมการมารับผิดชอบร่วมหัวจมท้ายร่วมกัน แล้วคณะกรรมการแต่ละท่านระดมสมองให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ช่วยอุดรูรั่วไม่ให้การตัดสินใจผิดพลาดก็ยังนับว่ากลไกคณะกรรมการยังมีประโยชน์อยู่บ้าง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายครั้ง ประธานผู้ตั้งคณะกรรมการมีธงในใจอยู่แล้ว การตัดสินใจได้เกิดขึ้นก่อนการประชุม[9] หรือกระทั่งเกิดขึ้นก่อนการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเสียอีก[10] กรรมการท่านอื่นที่เข้าร่วมประชุมจึงมีหน้าที่เพียงยกมือรับรองการตัดสินใจ (รอร่วมรับผิดชอบ) ไม่ได้มานั่งถกเถียงระดมความเห็นมากนักเนื่องจากเกรงใจประธาน คณะกรรมการจึงถูกใช้เป็นเพียง ‘ตรายาง’ รับรองร่วมรับผิดชอบการตัดสินใจของประธานเท่านั้น ไม่ได้ถูกใช้เพื่อกระจายอำนาจการตัดสินใจออกประธาน (ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่) แบบที่ควรจะเป็น

กล่าวโดยสรุป กลายเป็นว่าในภาคปฏิบัติจริงคณะกรรมการไม่ได้ถูกใช้เพื่อระดมความเห็นที่หลากหลาย ไม่ได้ถูกใช้เพื่อกระจายอำนาจการตัดสินใจ แต่คณะกรรมการจำนวนมากถูกตั้งมาเพื่อแก้ปัญหาความไม่ต้องการที่จะถูกเอาผิดของผู้มีอำนาจในระบบราชการ คณะกรรมการถูกใช้ตรวจสอบเพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐไม่ผิดกฎระเบียบรวมถึงถูกใช้เป็นการสร้างหลักประกันให้มีคนร่วมรับผิดชอบหากการดำเนินงานนั้นนำมาสู่บทลงโทษ (เมื่อมีผู้รับผิดชอบมากจะเอาผิดได้ยากขึ้น)

การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาด้วยเหตุผล ‘ลดความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษ’ จึงไม่ช่วยให้การทำงานของระบบราชการมีประสิทธิภาพขึ้น เนื่องจาก

  1. ทำให้ภารกิจล่าช้าลงโดยไม่จำเป็น กล่าวคือแม้ว่าประธานจะมีธงอยู่แล้วแต่จะดำเนินอนุมัติให้ทำภารกิจได้ต้องผ่านที่ประชุมคณะกรรมการ ที่บางครั้งอาจต้องประชุมหลายครั้งเพื่อให้ลงมติตัดสินใจกระบวนการทั้งหมดให้แล้วเสร็จ ทั้งที่หากผู้มีอำนาจตัดสินใจเลือกไม่ใช้กลไกคณะกรรมผลลัพธ์การตัดสินใจก็เหมือนกัน
  2. การตั้งคณะกรรมการมาเพื่อรับรองธงของประธานยังถูกมองว่าเป็นการสร้างภาระงานให้กับข้าราชการท่านอื่นที่ต้องเข้ามาร่วมในกระบวนการจัดตั้งคณะกรรมการโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะข้าราชการที่ถูกมอบหมายให้เป็นเลขาฯ ของคณะกรรมการ ที่ต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ติดต่อนัดหมายระบุคนที่จะเป็นกรรมการก่อนมีคำสั่งจัดตั้ง จัดทำเอกสารส่งให้คณะกรรมการทุกคน จัดเตรียมสถานที่และของว่างให้พร้อม ทำสรุปการประชุม รวมถึงบ่อยครั้งต้องเป็นผู้ไล่ทวงงานที่กรรมการได้รับมอบหมาย ทั้งที่อาจจะรู้ว่าการเสียเวลาไปกับงานของคณะกรรมการนั้นไม่ได้ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นเนื่องจากการตัดสินใจยึดตามธงประธานแน่นอนอยู่แล้ว[11]

กรณีตัวอย่าง: คณะกรรมการเยียวยาภัยพิบัติไฟไหม้

กรณีตัวอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นคือกรณีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเยียวยาไฟไหม้ในพื้นที่จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ[12]

จุดเริ่มต้นมาจากการที่เกษตรกรในพื้นที่แถบนั้นเผาซากพืชผลเกษตรหลังเก็บเกี่ยว แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้เผาดันไม่สามารถควบคุมกระแสไฟได้ หรือละเลยไม่ควบคุมกระแสไฟ (ไม่สามารถตามตัวได้ว่าใครเผา) ส่งผลให้ไฟลามเข้าไปในพื้นที่บ้านพักอาศัยของชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน และเกิดไฟไหม้บ้านที่ตั้งอยู่ติดกันประมาณ 2-3 หลัง ทางราชการส่วนท้องถิ่นเห็นว่าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากภัยที่เกิดขึ้น จึงมีความเห็นว่าควรหาวิธีให้การเยียวยา กระบวนการชดเชยเยียวยาภัยพิบัติอันซับซ้อนจึงเริ่มจากจุดนี้

  • ขั้นตอนแรก เผชิญกับระเบียบที่น่าปวดหัว

ข้าราชการที่ต้องการจะหาทางเยียวยาให้กับชาวบ้านพบปัญหาที่สำคัญคือ ระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยามีจำนวนมาก ซับซ้อน และคลุมเครือ ต้องอาศัยการตีความจากผู้ปฏิบัติงาน โดยผู้ที่จะทำการเยียวยาโดยอาศัยอำนาจตามระเบียบจะต้องเผชิญกับคำถามมากมายตั้งแต่[13]

ภัยที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นสาธารณะภัยไหม?

ภัยนี้นับว่าฉุกเฉินไหม?

สถานการณ์ในปัจจุบันจะนับว่าเป็นการป้องกันหรือเยียวยา?

ภัยที่เกิดขึ้นเป็นภัยประเภทไหน?

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาต้องมีหน่วยงานไหนบ้าง?

การช่วยเหลือต้องพึ่งพาหน่วยงานภายนอกไหม (เช่น ผู้รับเหมา)?

การให้ความช่วยเหลือสามารถให้ความช่วยเหลือได้ระดับไหน?

ควรจัดให้มีการช่วยเหลือประเภทไหนได้บ้าง?

ฯลฯ

มูลค่าของงบประมาณและวิธีการที่ระเบียบจะยอมอนุมัติให้นำไปใช้ช่วยเหลือประชาชนได้ขึ้นอยู่กับการตอบคำถามเหล่านี้ หากไม่ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัดหรือให้การชดเชยที่ไม่ตรงตามนิยามในระเบียบอาจนำมาซึ่งบทลงโทษต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

  • ขั้นตอนที่สอง ตั้งคณะกรรมการมาประชุมตรวจระเบียบ

ข้าราชการผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงเลือกที่จะใช้กลไก ‘คณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น’[14] มาดำเนินการ เพื่อให้มีตัวแทนจากองคาพยพต่างๆ มาช่วยตีความและช่วยรับรองการตัดสินใจ โดยคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยทั้งนายกเทศมนตรี ผู้แทนจากส่วนกลาง (กรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น) ผู้แทนจากส่วนภูมิภาค (ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ) ผู้แทนชาวบ้านที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลือก ฯลฯ

เมื่อตั้งคณะกรรมการแล้ว กระบวนการเยียวยาเริ่มต้นจากการประชุมครั้งแรกภายหลังจากเหตุไฟไหม้ประมาณ 4-5 วัน โดยการประชุมครั้งแรกมีเป้าหมายเพื่อตอบคำถามว่า “ภัยที่เกิดขึ้นจะถูกนิยามว่าเป็นภัยประเภทไหน?” เมื่อประชุมครั้งแรกแล้วเสร็จ ทางคณะกรรมการก็นัดประชุมต่อเนื่องอีกครั้งในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ถัดมา โดยเป้าหมายของการประชุมครั้งที่สองเพื่อตอบคำถามว่า “หน่วยงานไหนที่ต้องรับผิดชอบในการเยียวยาบ้าง?” หลังจากนั้นก็นัดประชุมต่อเนื่องอีกครั้งในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ถัดมา โดยเป้าหมายของการประชุมครั้งที่สามเพื่อลงมติสุดท้ายว่า “การเยียวยาจะเป็นอย่างไร? ใครจะได้รับบ้าง? เท่าไหร่?” หลังจากการประชุมทั้ง 3 ครั้งได้บทสรุป ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการให้การเยียวยาต่อชาวบ้านได้จริงๆ

  • แล้วกลไกคณะกรรมการสร้างประโยชน์ได้จริงไหม?

โดยสรุป การตั้งกลไกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการเยียวยาใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเศษเป็นอย่างน้อยเพื่อให้เกิดการเยียวยา นั่นเป็นเวลาที่ยาวนานเมื่อพิจารณาจากที่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วน จนหลายครั้งกลไกการช่วยเหลือที่ไม่เป็นทางการจากผู้มีอิทธิพลนอกภาครัฐนั้นว่องไวกว่า

นอกจากนี้ กลไกคณะกรรมการได้สร้างภาระให้กับผู้เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็นด้วย โดยเฉพาะข้าราชการที่มาจากหน่วยงานอื่นที่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเดินทางมาประชุม เบียดบังเวลาที่ข้าราชการเหล่านั้นต้องใช้เพื่อทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบของตนเอง

การใช้กระบวนการคณะกรรมการอาจยิ่งเป็นเรื่องที่ ‘วุ่นวายเกินความจำเป็น’ เมื่อพิจารณาจากกระบวนการดำเนินงานจริงที่พบว่า

1. ข้าราชการที่เกี่ยวข้องสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ตั้งแต่ก่อนการประชุมแต่ละครั้งแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ อปท. (ผู้ให้สัมภาษณ์) ได้โทรหาข้าราชการส่วนกลางให้ช่วยตีความระเบียบและตอบคำถาม ก่อนจะนำคำตอบนั้นไปนำเสนอในที่ประชุมให้กรรมการท่านอื่นรับรอง (และกรรมการท่านอื่นมักยึดมติตามที่ข้าราชการส่วนกลางฟันมา)

2. ระเบียบได้เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจสามารถตัดสินใจได้เลยในการเยียวยาระดับเบื้องต้น แต่สถานการณ์จริงพบว่าผู้มีอำนาจมักเลือกใช้กลไกคณะกรรมการในการเยียวยาแม้กระทั่งการเยียวยาเบื้องต้น

ในสายตาของผู้ปฏิบัติงาน ข้าราชการ ‘ตัวน้อย (นามสมมติ)’ มองว่าหากต้องการให้กลไกการเยียวยามีประสิทธิภาพจริงๆ ข้าราชการผู้มีอำนาจในพื้นที่ควรมีอำนาจในการตัดสินใจได้เลย เนื่องจากระเบียบก็กำหนดหลักการเยียวยาชดเชยไว้อยู่แล้ว หากปรับปรุงเขียนระเบียบให้ชัดเจนมากขึ้น กลไกการเยียวยาก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องระดมข้าราชการจำนวนมากมาเสียเวลาเพื่อรับรองการตัดสินใจของข้าราชการคนใด

การมีกลไกคณะกรรมการจึงไม่ได้ช่วยให้เกิดการระดมความเห็นเพื่อออกแบบให้การเยียวยาเหมาะสมตอบสนองความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยที่สุด หน้าที่หลักของกลไกคณะกรรมการคือช่วยทำให้ข้าราชการมั่นใจว่าที่ตนเองดำเนินการไปนั้นจะไม่ผิดระเบียบ

บทส่งท้าย: คณะกรรมการบิดเบี้ยว เพราะระบบบิดเบี้ยว

ในระดับปฏิบัติการ คณะกรรมการจึงไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ‘สร้างการบูรณาการในการทำงานของภาครัฐ’ ‘กระจายอำนาจการตัดสินใจออกจากผู้มีอำนาจ’ หรือ ‘ระดมความเห็นที่หลากหลาย’ แต่คณะกรรมการกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อ ‘ลดความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษจากระเบียบราชการที่ซับซ้อนและเข้มงวด’ จำนวนของคณะกรรมการที่มากขึ้นจึงไม่ได้นำไปสู่การบริหารงานภาครัฐจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทางตรงข้ามกลับทำให้การบริหารงานราชการมีประสิทธิภาพลดลงแต่ตัวข้าราชการผู้ทำงานปลอดภัยมากขึ้น

ระเบียบราชการที่ซับซ้อนจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘คณะกรรมการเฟ้อ’ เนื่องจากข้าราชการที่ต้องการขับเคลื่อนภารกิจที่ควรจะเป็นในฐานะข้าราชการ ต้องหาวิธีที่จะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเจ็บตัวมากนัก

สุดท้ายนี้ ในบทความพิจารณาเฉพาะกรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการโดย ‘ข้าราชการที่อยากทำงานเพื่อสาธารณะ’ แต่ถูกกดทับโดยระบบระเบียบของข้าราชการเท่านั้น ยังไม่ได้รวมถึงกรณีที่ถูกใช้โดยข้าราชการที่เทากว่าที่ใช้กลไกคณะกรรมการเพื่อมาตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ตั้งคณะกรรมการมารับรองการคอร์รัปชัน[15] การตั้งคณะกรรมการมาเพื่อลดแรงเสียดทานในสังคมไปก่อน[16] (ทำให้ดูเหมือนว่าทำงานอยู่) ซึ่งการตั้งคณะกรรมการด้วยเป้าหมายเหล่านี้ก็มีไม่น้อยในระบบราชการไทย[17]

References
1 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘สาว (นามสมมติ)’ กระทรวงสาธารณสุข, สัมภาษณ์วันที่ 19 มีนาคม 2568
2 สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง. 2566. การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 1/2566. URL: https://ofm.mof.go.th/th/detail/2019-03-06-14-23-47/2023-10-06-08-56-51
3 กรมประชาสัมพันธ์. 2568. นายกฯ เคาะ ดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจ นำร่องกลุ่ม 16-20 ปี. URL: https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/371793
4 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ……
5 ไทยรัฐ. 2568. เปิดชื่อ คกก.สืบสวนข้อเท็จจริงตึก สตง. ถล่ม ต้องรายงาน “อนุทิน” ใน 7 วัน. URL: https://www.thairath.co.th/news/politic/2850176
6 กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ และฐาปนพงศ์ ยีขุน. 2568. คณะกรรมการธิปไตย: เมื่อรัฐไทยขับเคลื่อนด้วยการตั้ง ‘คณะกรรมการ’. URL: https://101pub.org/national-committee-thailand-bureaucracy/
7 กองหลักนิติบัญญัติ และสถาบันพัฒนานักกฎหมายมหาชน คณะกรรมการกฤษฎีกา. 2561. เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่อง บทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
8 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘เข้ม (นามสมมติ)’ กระทรวงแรงงาน, สัมภาษณ์วันที่ 21 มีนาคม 2568
9 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘หนุ่ม (นามสมมติ)’ กระทรวงการคลัง, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2568
10 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘สาว (นามสมมติ)’ กระทรวงสาธารณสุข, สัมภาษณ์วันที่ 19 มีนาคม 2568
11 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘สาว (นามสมมติ)’ กระทรวงสาธารณสุข, สัมภาษณ์วันที่ 19 มีนาคม 2568
12 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘ตัวน้อย (นามสมมติ)’ สังกัดเทศบาลตำบลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ, สัมภาษณ์วันที่ 17 เมษายน 2568
13 ระเบียบที่เกี่ยวข้องเช่น
ก. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 URL: https://www.dla.go.th/upload/document/type2/2023/7/29615_1_1688699973285.pdf?time=1689547202478&fbclid=IwY2xjawKBU1RleHRuA2FlbQIxMABicmlkETEzY1ZPdW84Y1RxMnVqSVBNAR4izDesHGOY7kDs8gbvyPAY8I8GGzt9nAifZrrZPsti5EKR4-eFqVN5-szocA_aem_Xeq_MgvtAxRVRzh637eXrA
ข. คู่มือการปฏิบัติงานการจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 URL: https://backofficeminisite.disaster.go.th/apiv1/apps/minisite_cco/204/sitedownload/32432/download?TypeMenu=MainMenu&filename=9e04f4dc2c7eeb675fc27762fa4373e3.pdf&fbclid=IwY2xjawKBU1hleHRuA2FlbQIxMABicmlkETEzY1ZPdW84Y1RxMnVqSVBNAR6OhA_AZXSVa2XYilNvMVg5Ag0QKODfmTgopovALsHgSW_muk9F0TMk9Y8-og_aem_Got1RJ5eLHD7o8RTx2MBEQ
ค. หลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 URL: https://www.thasadet.go.th/contents/post/000001615-c7586421715b037c6c6c1c8929100f1d.pdf?fbclid=IwY2xjawKBU2tleHRuA2FlbQIxMABicmlkETEzY1ZPdW84Y1RxMnVqSVBNAR6iC88Av0iZe9eCDi0Vf1JqF5oYxFN9q6R4VRYeSV2vgH9lS7RqeE8OBiW1Ew_aem_Nemjb7sVNctsZ7Tvog-rAw
ง. พระราชบัญญัติ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 URL: https://backofficeminisite.disaster.go.th/apiv1/apps/minisite_ndwc/194/content/2744/download?filename=e0de515d51a339dd45431a0dd2af95ee.pdf&fbclid=IwY2xjawKBU25leHRuA2FlbQIxMABicmlkETEzY1ZPdW84Y1RxMnVqSVBNAR7Jc8X24E6LvRxQlPg7xi-ouRjeJEak955PYXHE35bK1dLe-qpqNS1ba1sKTg_aem_9dMXPz53DpYHrTasaRJiPw
14 ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 URL: https://www.dla.go.th/upload/document/type2/2023/7/29615_1_1688699973285.pdf?time=1689547202478&fbclid=IwY2xjawKBU1RleHRuA2FlbQIxMABicmlkETEzY1ZPdW84Y1RxMnVqSVBNAR4izDesHGOY7kDs8gbvyPAY8I8GGzt9nAifZrrZPsti5EKR4-eFqVN5-szocA_aem_Xeq_MgvtAxRVRzh637eXrA
15 กรณีการสร้างตึก SKYY9 ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นโครงการคอร์รัปชันขนาดใหญ่ ย่อมต้องมีการตั้งคณะกรรมการมารับรองโครงการดังกล่าว
16 กรณีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนสาเหตุของการถล่มของตึก สตง. มีกำหนดการไว้ว่าจะแจ้งผลหาสาเหตุภายใน 7 วัน แต่เมื่อครบกำหนดทางคณะกรรมการก็แจ้งว่ายังฟันธงสาเหตุไม่ได้ ต้องยืดระยะเวลาการตรวจสอบไปอีก https://thestandard.co/building-collapse-update/ กรณีนี้ถูกตั้งคำถามว่าอาจเข้าข่ายเป็นการตั้งคณะกรรมการเพื่อลดแรงเสียดทานทางสังคม
17 สัมภาษณ์ข้าราชการ ‘เข้ม (นามสมมติ)’ กระทรวงแรงงาน, สัมภาษณ์วันที่ 21 มีนาคม 2568

MOST READ

101PUB

2 Feb 2023

เปิดใต้พรมหนี้สาธารณะไทย ‘หนี้’ อะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง ?

101 PUB ชวนสำรวจว่าตัวเลข ‘หนี้สาธารณะ’ ที่ถูกรายงานทุกเดือน มีความครบถ้วนและสะท้อนหนี้ของประเทศที่แท้จริงหรือไม่

กษิดิ์เดช คำพุช

2 Feb 2023

101PUB

2 Mar 2023

‘บัตรคนจน’ ที่คนจนจริงครึ่งหนึ่งเข้าไม่ถึง: 5 ปี นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

101 PUB สำรวจ 5 ปี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่าเข้าไม่ถึงคนจนราวครึ่งหนึ่ง แถมรั่วไหลสู่ผู้ไม่เข้าเกณฑ์ งบที่ใช้ไป 2.8 แสนล้านบาทจึงไม่เข้าเป้า

ฉัตร คำแสง

2 Mar 2023

Public Policy

2 Aug 2021

ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ… : ทางเลือกนโยบายใหม่ที่แย่กว่านโยบายเดิม

วงอร พัวพันสวัสดิ์ เขียนถึง ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาฯ ฉบับใหม่ที่อาจเป็นทางเลือกทางนโยบายที่ควรตกไป เพราะสร้างต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายที่สูงกว่า พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ 2542 ขาดการแสวงหาแนวร่วมและการยอมรับที่กว้างขวาง รวมทั้งชวนตั้งคำถามว่า การออกกฎหมายใหม่คือหนทางเดียวในการปฏิรูปการศึกษาเรียนรู้หรือไม่?

วงอร พัวพันสวัสดิ์

2 Aug 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save