จาก ‘ปลาหมอคางดำ’ สู่การฟ้องปิดปาก : เมื่อกระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ กับ เอมผกา เตชะอภัยคุณ

ปลาหมอคางดำ

การรุกรานของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำต่างๆ ของประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในปัญหาของสังคมไทยที่ถูกพูดถึงตลอดปีที่ผ่านมา จนปัญหาดังกล่าวได้สร้างความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาชีพของชาวประมง โดยหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญคือ ‘มูลนิธิชีววิถี’ หรือ ‘ไบโอไทย’ (BioThai) ที่ออกมานำเสนอถึงต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นและเตือนถึงผลกระทบกับความเสี่ยงที่สังคมอาจมองข้ามไป

ภายหลังจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเอกชนที่นำเข้าปลาหมอคางดำแจ้งความดำเนินคดีและอัยการจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งฟ้องมูลนิธิชีววิถีและวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถีในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาต่อบริษัทในเวลาต่อมา ซึ่งบริษัทเอกชนรายนั้นอ้างว่าข้อมูลเป็นเท็จทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัววิฑูรย์ด้วยหลักทรัพย์ 6 หมื่นบาท

คดีนี้สืบเนื่องจากการจัดเวทีเสวนา ‘หายนะสิ่งแวดล้อม กรณีปลาหมอคางดำ’ เมื่อ 26 กรกฎาคม 2567 ที่เชื่อมโยงการแพร่ระบาดกับศูนย์วิจัยและปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำจืดยี่สารของบริษัท

ทั้งนี้ ทางมูลนิธิชีววิถีเปิดเผยว่า วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ได้รับหมายเรียกแรก เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงครามเดินทางไปยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัทเอกชนรายนี้ในวันที่ 5 กันยายน 2567 ซึ่งห่างกันเพียงหนึ่งวัน จนทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าคดีนี้อาจเข้าข่ายการฟ้องแบบ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นสาธารณะหรือไม่

วันโอวัน สนทนากับ ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อชวนหาคำตอบเกี่ยวกับนิยามของการฟ้องคดีแบบ SLAPP เส้นแบ่งระหว่างสิทธิการปกป้องชื่อเสียงของบริษัทกับการฟ้องคดีในลักษณะ SLAPP รวมถึงการมองปัญหาการรุกรานของปลาหมอคางดำผ่านกรอบกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค

การฟ้องแบบ ‘SLAPP’ กำลังทำลายกระบวนการยุติธรรมไทย

เอมผกาในฐานะนักวิชาการที่ติดตามและศึกษาการฟ้องคดีแบบ SLAPP อธิบายว่า ปัจจุบันการฟ้องร้องที่มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนเกิดขึ้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่ผู้ประกอบการฟ้องผู้บริโภคหรือองค์กรภาคประชาสังคมที่ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นสาธารณะ การฟ้องในลักษณะนี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าให้เกิดความหวาดกลัวและไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อ

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นการฟ้องปิดปากได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมจนมีหลายสื่อหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาถกเถียง สื่อบางกลุ่มมองว่าการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเข้าข่ายการฟ้องปิดปาก ขณะที่อีกมุมหนึ่งที่แม้จะไม่ได้กล่าวถึงคดีนี้ แต่นำเสนอว่าบริษัทหรือบุคคลย่อมมีสิทธิในการปกป้องชื่อเสียงของตนเองและคดีเหล่านี้อาจไม่ถือว่าเป็นการฟ้องปิดปาก

ทั้งนี้ เมื่อสังเกตที่ slug หรือส่วนท้ายของ URL ที่บอกว่าหน้านั้นเป็นเนื้อหาแบบใดก็จะพบว่าเป็น public relations news (ข่าวประชาสัมพันธ์) หรือ branded content (การโฆษณาผ่านคอนเทนต์) ซึ่งไม่ได้ระบุว่ามาจากบริษัทใด แต่ในอีกด้านหนึ่งการนำเสนอดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างสิทธิในการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองกับการฟ้องร้องเพื่อปิดปากนั้นยังคงไม่ชัดเจนและสังคมอาจยังมองไม่ตรงกัน

ในมุมมองของเอมผกา การพิจารณาว่าการฟ้องร้องลักษณะใดเข้าข่ายเป็นการฟ้องปิดปากมักไม่ใช่การฟ้องเพื่อหวังชัยชนะในคดี หากแต่มีเป้าหมายเพื่อสร้างภาระทางคดีและให้ผู้ถูกฟ้องยุติการดำเนินการบางอย่าง ซึ่งแตกต่างจากการฟ้องร้องเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองที่ต้องการใช้กระบวนการยุติธรรมในการกอบกู้ความเป็นธรรม จากหลากหลายคดีสามารถสรุปเงื่อนไขในการแยกแยะสองลักษณะนี้ได้จากพฤติกรรมหรือการกระทำสามประการ ประกอบด้วย

1. การเลือกฟ้องคดีอาญามากกว่าคดีแพ่ง คดีอาญามีโทษที่จำกัดสิทธิเสรีภาพมากกว่าคดีแพ่ง หากเป้าหมายคือการปกป้องศักดิ์ศรี ผู้ฟ้องอาจเลือกใช้กระบวนการทางแพ่ง แต่เมื่อเลือกใช้คดีอาญาแทน ก็มักสะท้อนถึงความพยายามสร้างแรงกดดันหรือความหวาดกลัวมากกว่า

2. การเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลในคดีแพ่ง แม้เป็นการฟ้องทางแพ่ง แต่หากมีการเรียกค่าเสียหายในระดับที่เกินจริง ก็อาจถูกมองว่าเป็นความพยายามกลั่นแกล้งหรือข่มขู่ให้ผู้ถูกฟ้องหยุดการเคลื่อนไหวมากกว่าการปกป้องสิทธิจริงๆ

3. การฟ้องหลายข้อหาหรือหลายพื้นที่ ผู้ฟ้องบางรายเลือกใช้วิธีฟ้องหลายข้อหาพร้อมกัน หรือยื่นฟ้องในศาลต่างพื้นที่หลายแห่งเพื่อสร้างความยากลำบากในการต่อสู้คดี ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่มักพบในคดีปิดปาก

เธอย้ำว่าการฟ้องคดีแบบ SLAPP ไม่เพียงแต่บั่นทอนสิทธิของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็น หรือสิทธิที่จะเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อผู้ประกอบธุรกิจหรือหน่วยงานที่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องลักษณะนี้ด้วย เพราะนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาแล้ว ยังบั่นทอนภาพลักษณ์องค์กรแห่งนั้นด้วย ตลอดจนส่งผลกระทบไปถึงนักกฎหมายหรือทนายความที่เข้ามามีส่วนร่วมในคดี โดยเอมผกายกตัวอย่างว่า ปัจจุบันในต่างประเทศเริ่มมีการจัดทำฐานข้อมูลเผยแพร่ว่าบริษัทกฎหมายแห่งใดบ้างที่รับว่าความในคดีที่เข้าข่าย SLAPP

ดังนั้น หากเกิดข้อพิพาทขึ้นควรเลือกใช้วิธีการอื่นในการจัดการปัญหา เพราะจะเป็นทางออกที่สร้างประโยชน์ร่วมกันมากกว่า ปัจจุบันสิ่งที่น่ากังวลคือคดีแบบ SLAPP กำลังทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ ในการกดดันไม่ให้ประชาชนหรือภาคประชาสังคมตรวจสอบ ซึ่งสวนทางกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะพิทักษ์สิทธิของประชาชน

หากศาลและกระบวนการยุติธรรมยังคงยอมรับให้การฟ้องลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ ใครก็ตามที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลก็อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาท หรือถูกเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในจำนวนมหาศาล คำถามสำคัญของเอมผกาคือในอนาคตจะยังมีใครกล้าออกมาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะหรือพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอยู่หรือไม่

“การฟ้องคดีปิดปากไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลย” เอมผกากล่าวย้ำ

สิทธิผู้บริโภคที่กำลังหายไปจากการรุกรานของปลาหมอคางดำ

ที่ผ่านมาเวลาสังคมเข้าใจว่าปัญหาการรุกรานของปลาหมอคางดำเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในอีกด้านหนึ่งปัญหาดังกล่าวกลับกระทบสิทธิผู้บริโภคด้วย ในกฎหมายไทยได้มีการรับรองสิทธิของผู้บริโภคทั้งในรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลากหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ที่ระบุว่าผู้บริโภคมีสิทธิได้รับคุ้มครอง 5 ประการ ประกอบด้วย

  1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
  2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ
  3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
  4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา
  5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย

ในมุมมองของเธอ การฟ้องคดีแบบปิดปากอาจส่งผลให้สิทธิที่จะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างเห็นได้ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 จะเป็นกฎหมายที่บัญญัติเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แต่สิทธิดังกล่าวถือว่าเป็นสิทธิดั้งเดิมที่มีอยู่ในกฎหมายมานานแล้ว ซึ่งในปัจจุบันยังมีอีกสิทธิหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือรับรองในกฎหมายไทยคือ สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน (right to a healthy environment) กล่าวคือผู้บริโภคจำเป็นต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนด้วย โดยสิทธิดังกล่าวถูกให้ความสำคัญทั้งใน UN guideline ที่เป็นหลักการที่กำหนดโดยสหประชาชาติ (United Nations) เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานหรือแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ หรืออยู่ในหลักสิทธิผู้บริโภคสากล

“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้มีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวมากนัก เพราะว่าเรามีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคหรือคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคก่อนที่หลักสากลจะเกิดขึ้นเสียอีก หากถามว่าถ้าไทยไม่ได้รับรองสิทธิดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเชื่อมโยงสิทธิของตนกับประเด็นสิ่งแวดล้อมได้ น่าสังเกตว่าที่ผ่านมาสิทธิของผู้บริโภคกับสิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย

“ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ที่รับรองอย่างชัดเจนว่าสิทธิของผู้บริโภคต้องครอบคลุมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ส่งผลให้เวลาที่มีการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะ ประชาชนจึงสามารถเข้าใจได้ว่าคุณภาพของสินค้า บริการ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวล้วนเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหาคนละเรื่องคนละส่วน” เอมผกากล่าว

คำกล่าวข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า สิทธิผู้บริโภคกับสิทธิในสิ่งแวดล้อมต่างเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก หากปราศจากสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิของผู้บริโภคก็ไม่อาจสมบูรณ์ได้ และหากระบบกฎหมายไม่ยืนหยัดคุ้มครองสิทธิเหล่านี้ ความมั่นใจของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและการตรวจสอบเพื่อประโยชน์สาธารณะก็จะถูกบั่นทอนลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำยังไม่ชัดเจนในแง่กฎหมายว่าถือเป็นสินค้าอันตรายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคหรือไม่ เนื่องจากกฎหมายกำหนดเพียงคำนิยามของสินค้าอันตรายหรือสินค้าไม่ปลอดภัย แต่ปลาหมอคางดำอาจไม่ได้เข้าข่ายตรงตามนิยามดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปลาชนิดนี้ก่ออันตรายต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว ทำให้หลายฝ่ายไม่ได้มองว่าประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคโดยตรง และยังไม่มีกลไกเพียงพอในการคุ้มครองผู้บริโภคหรือสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว

ดังนั้น ปัญหาปลาหมอคางดำจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนช่องว่างทางกฎหมายที่ทำให้สิทธิผู้บริโภคและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนถูกท้าทาย ผ่านการฟ้องร้องในลักษณะที่อาจเข้าข่ายคดี SLAPP ซึ่งสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวและกดดันต่อผู้ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ

หากประเทศไทยไม่เริ่มคิดกลไกป้องกันการฟ้องปิดปากอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต ก็อาจไม่มีใครกล้าออกมาปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งด้านผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประชาชนในการตรวจสอบและเรียกร้องความเป็นธรรมก็จะลดลงเรื่อยๆ ท่ามกลางปัญหาที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save