Si Vis Pacem, Para Bellum
แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์
ศัตรูกล้ามาประจัน จะอาจสู้ริปูสลาย
ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์ในการห้ำหั่นกัน กลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ‘ระเบียบโลกโลภาภิวัฒน์’ (Globalization) ที่ถูกกำหนดขึ้นภายหลังจากสหรัฐฯ ทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจขั้วเดียว (Uni-polarity Hegemonic Power) ณ จุดสิ้นสุดของสงครามเย็น กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก
โลกาภิวัฒน์ที่เชื่อในเรื่องการค้าเสรี การลงทุนเสรี การลด ละ เลิก กฎระเบียบที่แตกต่างกันของแต่ละเขตเศรษฐกิจ แล้วแทนที่โดยมาตรฐานเดียวกันในระดับโลก โดยให้ภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของระบบกรรมสิทธิ์ต่างๆ เป็นผู้เล่นหลักในตลาดโลกที่กำหนดปริมาณการซื้อขาย แลกเปลี่ยน และกำหนดระดับราคาด้วยกลไลตลาด กำลังถูกเปลี่ยนไป
กลไกตลาดที่เคยเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญของห่วงโซ่มูลค่าระดับนานาชาติ (Global Value Chains: GVCs) กำลังถูกแทนที่ด้วยปัจจัยทางความมั่นคง ที่เจือสมด้วยชุดความคิดเศรษฐกิจชาตินิยม (Economic Nationalism) เกลียดกลัว หวาดระแวงต่างชาติ (Xenophobia) ประเด็นเหล่านี้ล้วนท้าทายความเชื่อในระดับสากล ที่ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจลุกลามจนกลายเป็นการปะทะทางการทหารระหว่างกันได้จบสิ้นลงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกประเทศต่างเชื่อมั่นในกลไกระหว่างประเทศที่มีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบที่เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับนานาชาติ คำถามที่สำคัญคือ ในระยะของการเปลี่ยนแปลงนี้ ระเบียบโลกที่กำหนดปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะอยู่ในรูปแบบไหน และจะพัฒนาต่อไปในรูปแบบใดเพื่อเข้าสู่จุดสมดุลใหม่
ประเทศจีนที่ทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่องภายใต้ระเบียบโลกาภิวัฒน์ และปรับยุทธศาสตร์ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการวางเป้าหมายที่จะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานโลกในปี 2035 พร้อมกับวางนโยบายการต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาเป็นผู้เล่นหลัก ที่ร่วมกำหนดชะตากรรมของประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกัน ผ่านนโยบาย 3 เสาหลัก อันได้แก่ ความคิดริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (Global Development Initiative: GDI), ความคิดริเริ่มความมั่นคงระดับโลก (Global Security Initiative: GSI) และ ความคิดริเริ่มอารยธรรมโลก (Global Civilization Initiative: GCI) ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วในตอนที่ 4 ของบทความชุด Amidst the Two Oceans
นโยบายเหล่านี้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์สมมติฐานสำคัญของสหรัฐฯ ที่พิจารณาว่า จีนคือชาติเดียวในโลกที่มีทั้งศักยภาพและมีความตั้งใจที่จะท้าทายระเบียบโลกที่สหรัฐฯ ต้องการควบคุมแต่เพียงผู้เดียว
ในอนาคตอันใกล้นี้ การปะทะกันระหว่างมหาอำนาจและการเปลี่ยนแปลงในระเบียบโลกจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก และในระยะเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ ภาวะสุญญากาศทางอำนาจในการวางระเบียบโลกยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ เองก็อยู่ในช่วงขาลง ในขณะที่จีนเองก็ยังไม่ได้ทะยานขึ้นมาเป็นมหาอำนาจหมายเลข 1 โลกที่มีมหาอำนาจหลายขั้ว (Multi-Polarity) จะเป็นโลกที่อยู่ในสภาวะที่ศาสตราจารย์ Amitav Acharya[1] เรียกว่า ‘Multiplex World’ คือ โลกที่อยู่ในภาวะยุ่งยากซับซ้อน (Complexity) และความยุ่งยากซับซ้อนนี้จะทบเท่าทวีคูณ (Multiple) [Multiple + Complexity = Multiplex]
Multiplex World ตามคำนิยามของ Amitav Archaya คือโลกที่ไม่มีผู้จัดระเบียบ (hegemon) ความหลากหลายในมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จะมีความแตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน มิติเหล่านี้ต่างก็เชื่อมโยงทุกประเทศและทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ผู้เล่นหลัก ทั้งที่เป็นผู้สร้างและผู้ทำลายระเบียบโลก จะไม่ใช่ภาครัฐของประเทศมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งอีกต่อไป แต่จะเป็นบทบาทขององค์การและความร่วมมือระดับภูมิภาค รวมถึงผู้เล่นที่มิใช่ภาครัฐ อาทิ บรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และเครือข่ายต่างๆ ที่เชื่อมโยงกลุ่มผลประโยชน์เข้าไว้ด้วยกัน (อ่านเพิ่มเติมจาก ถ้าหากไทยไม่ปรับ… ในระเบียบโลกที่เปลี่ยน…)
ในระยะของการเปลี่ยนผ่านนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ระเบียบโลกยุคเปลี่ยนผ่านจะวางอยู่บน 3 เสาหลักที่ผูกโยงเข้าด้วยกัน อันประกอบไปด้วย 1. Realpolitik การเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบสัจจนิยมที่เน้นการบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ (the end justifies the means) 2. Transactionalism ในภาวะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง รัฐบาลต่างๆ มักจะใช้ยุทธศาสตร์แบบ Transactionalism ในรูปแบบที่เน้นการทำ ‘ดีล’ ที่เน้นการแลกเปลี่ยนโดยมุ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้า ระยะสั้น ทันทีทันใด มากกว่าที่จะยอมเสียสละผลประโยชน์บางประการของแต่ละฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืนในอนาคต และ 3. Non-State Actors บทบาทของผู้เล่นที่มิใช่ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ อย่าง Apple, Huawei, Google, Meta, TikTok, Nvidia ฯลฯ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ทรงอิทธิพล หรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธ อย่างฮามาส ฮูตี และ/หรือ ฮิซบุลลอฮ์
สภาวะสงครามเย็นครั้งที่ 2 จึงเกิดขึ้น โดยผู้เขียนเชื่อว่าสงครามเย็นในรอบนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างกลุ่มประเทศโลกเหนือ (Global North) ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศที่ระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจแบบประเทศพัฒนาแล้วและมีรายได้สูง กับกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) ซึ่งนำโดยสาธารณรัฐประชาชนจีนและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด เพื่อช่วงชิงพันธมิตรที่จะนำไปสู่การปิดล้อม จำกัดเขตการขยายอิทธิพลของแต่ละฝ่าย ซึ่งโดเมนหรือสมรภูมิที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีตัวแทนในการปะทะกันจะมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งกว่าทุกๆ ความขัดแย้งที่เคยเป็นมา
ผู้เขียนมีข้อเสนอหลักคือ พื้นที่ทางทะเลและมหาสมุทรโลกได้กลายเป็นองคาพยพหลักท่ามกลางสมรภูมิรบของสงครามเย็น 2.0 แบบเต็มตัว ในขณะเดียวกัน มหาอำนาจที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนเวทีความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์โลก ได้ยกระดับความขัดแย้งของพื้นที่กายภาพของมหาสมุทรบนเปลือกโลก ไปสู่การแข่งขันชิงชัยบนพื้นที่อวกาศเหนือเปลือกโลก รัฐไทยท่ามกลางสมุทรานุภาพโลกและภูมิรัฐศาสตร์อวกาศจำเป็นต้องออกแบบนโยบายการต่างประเทศให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากที่สุด

แผนภาพข้างต้นจึงน่าจะสรุปสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างดีที่สุด นั่นคือ ประเทศไทยที่เป็นประเทศอำนาจกลาง (Middle Power) ตั้งอยู่ในท่ามกลางการปะทะของนโยบายการต่างประเทศของจีนที่ขยายอิทธิพลและแสวงหาพันธมิตรผ่าน 3 เสาหลัก GDI, GSI และ GCI โดยมีสหรัฐฯ และพันธมิตรที่พยายามอย่างยิ่งในการใช้มหาสมุทรในการปิดล้อม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกลับเข้ายึดครองคลองปานามา และการป้องกันการสร้างคลอง Nicaragua โดยทุนสนับสนุนของจีน หรือการสร้างเส้นทางขั้วโลก North-West Passage (NWP) จาก California – Alaska – Canada – Greenland – Europe ทางเลือกเพื่อลดการผูกขาดของจีนและรัสเซียบนเส้นทาง North Sea Route (NSR) จาก จีน – รัสเซีย – ยุโรป เพื่อใช้มหาสมุทรแปซิฟิก – มหาสมุทรแอตแลนติกในการปิดล้อม หรือการสร้างพันธมิตรสหรัฐฯ-อิสราเอล ที่มีส่วนสำคัญในการแทรกแซงกิจการในตะวันออกกลาง และการสร้างคลอง Ben-Gurion หรือคลองสุเอชแนวที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงมหาสมุทรแอตแลนติก สู่ มหาสมุทรอินเดีย
แต่แน่นอนว่า ภูมิยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดและสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นจุดปะทะในอนาคต คือ มหายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งประเทศไทยต้องอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยอธิบายไว้แล้วในบทความตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ของ Amidst the Two Oceans
ทั้งนี้ เราต้องไม่ลืมว่า ณ ปัจจุบัน ภูมิรัฐศาสตร์ที่พิจารณาจากแผนที่เป็นหลัก มิได้มีเฉพาะมุมมองในแนวระนาบ (Horizontal Perspective) เท่านั้น หากแต่มุมมองที่นำเอาแผนที่มาซ้อนกันในแนวดิ่ง (Vertical Perspective) จากพื้นดินใต้ทะเลและมหาสมุทรในโลก สู่ทะเลแห่งความเงียบสงบ (Mare Tranquillitatis, Sea of Tranquility) บนดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ใต้ทะเล พื้นดินใต้ทะเล ทะเลหลวง สู่ Low-Altitude Economy ที่โดรนถูกนำมาใช้ในฐานะยุทโธปกรณ์หลักในการห้ำหั่นในหลายสมรภูมิ และในระดับสูงที่สุดในการครอบครองความเป็นเจ้าเหนือภูมิรัฐศาสตร์อวกาศ (Astro-Politics) ที่ว่าด้วยดาวเทียม สถานีอวกาศ และวงโคจรเหนือดวงจันทร์ จุดเริ่มต้นสู่การไปดาวอังคาร เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ประเทศไทยในประชาคมอาเซียนกำลังตกอยู่ในวงล้อมความขัดแย้งท่ามกลางสมุทรนุภาพโลก
ในสภาวการณ์เช่นนี้ที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความซัดส่ายไม่แน่นอน อยู่เหนือการควบคุม และไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Uncertain, Uncontrollable, Unpredictable) หลายประเทศไม่สนใจวิธีการ ไม่สนใจตัวผู้เล่น และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทุกอย่างข้ามมิติเศรษฐกิจ และมิติความมั่นคง สิ่งที่ทุกประเทศต้องยึดถือคือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ดังนั้น หากผู้นำของประเทศอยู่ในภาวะสับสนระหว่างการรักษาผลประโยชน์ของชาติกับการรักษาหรือสร้างความงอกเงยให้กับผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนครอบครัวแล้ว ประเทศก็จะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง เพราะผู้นำที่เลวร้ายเหล่านั้นอาจพร้อมที่จะนำเอาผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศไปแลกเปลี่ยนกับกำไรมหาศาลของธุรกิจของตนหรือของครอบครัว
กรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาคือตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศไทยคือประเทศที่มีพลังอำนาจของชาติเข้มแข็งกว่ากัมพูชาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ ขนาดประชากร ขนาดเศรษฐกิจ ระดับการพัฒนาประเทศ และขนาดของแสนยานุภาพ หากแต่การแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวระหว่างครอบครัวผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ (นัยว่าจะเป็นเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่ผู้นำทั้ง 2 ครอบครัวมีผลประโยชน์ทับซ้อน) ไปจนถึงการที่ครอบครัว คนใกล้ชิด และผู้สนับสนุนของผู้นำประเทศที่พึ่งพาผู้นำฝ่ายตรงข้ามในทุกครั้งที่ตนเองและครอบครัวประสบวิกฤตทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งก็มีต้นตอมาจากผลประโยชน์ขัดแย้ง ผลประโยชน์ทับซ้อน จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถสร้างอำนาจต่อรองได้จากข้อมูลต่างๆ ที่พวกเขากำความลับเอาไว้ และพร้อมที่จะนำมาใช้ ‘blackmail’ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีคลิปเสียงบทสนทนาลุง-หลาน ซึ่งเชื่อว่ายังมีข้อมูลในลักษณะนี้ถูกเก็บงำไว้อีกมากมาย เหล่านี้ทำให้ประเทศที่มีพลังอำนาจสูงกว่ากลับกลายเป็นฝ่ายถูกคุกคามได้
และในท่ามกลางความขัดแย้ง สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ ความพยายามแทรกแซงกิจการภายในภูมิภาคของมหาอำนาจ อย่างเช่นสหรัฐฯ ที่นำเอาเครื่องมือมาตรการทางภาษีและการกีดกันทางการค้า (ซึ่งก็ขัดแย้งกับกฎกติการสากลขององค์การการค้าโลก) มาใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันให้ประเทศคู่กรณีต้องเดินหน้าสู่การหยุดยิง transactionalism ที่เอาเรื่องของเศรษฐกิจมาแลกเปลี่ยนกับประเด็นความขัดแย้งทางการทหารและความมั่นคงเกิดขึ้น มิพักต้องกล่าวถึงประเด็นข้อแลกเปลี่ยนที่ฝ่ายไทยต้องเสนอหรือถูกกดดันให้รับจากฝ่ายสหรัฐฯ ที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการว่าเรายอมแลกเปลี่ยนสิ่งใดบ้างเพื่อแลกกับอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากไทยไปสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ซึ่งยังคงความเคลือบแคลงสงสัยของภาคเอกชน ประชาสังคม ว่าเรายอมเปิดตลาดภาคธุรกิจใดบ้าง ผู้ประกอบการกลุ่มใดบ้างที่จะรับภาระสูงสุด และมีการเอาประเด็นทางการทหารและความมั่นคงไปแลกเปลี่ยนด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะการยอมให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพเรือในประเทศไทยทางชายฝั่งอันดามัน
คำถามต่อมาคือ แล้วในระยะยาวที่ปรับเข้าสู่สมดุลใหม่ ระเบียบโลกจะเป็นอย่างไร? ผู้เขียนเชื่อว่า กระบวนการ Minilateralism หรือ Flexible Multilateralism จะเป็นคำตอบ
Minilateralism คือการรวมกลุ่มของประเทศจำนวนน้อย (มักจะไม่เกิน 3-5 ประเทศ) เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่องที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเน้นที่ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการตัดสินใจ ในขณะที่ Flexible Multilateralism คือการรวมกลุ่มของประเทศที่มีความยืดหยุ่นสูง อาจมีการปรับเปลี่ยนสมาชิกไปตามประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข โดยไม่ได้ผูกติดกับพันธกรณีที่ตายตัวเหมือนองค์กรพหุภาคีแบบดั้งเดิม
แนวคิดทั้งสองนี้เป็นผลผลิตจากความล้มเหลวหรือความเฉื่อยชาของระเบียบพหุภาคีแบบดั้งเดิม (Traditional Multilateralism) เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN), องค์การการค้าโลก (WTO) ที่มักเผชิญกับอุปสรรคจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจที่ใช้สิทธิยับยั้ง (veto power) หรือการต่อรองที่ยืดเยื้อ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
ภายหลัง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้ว (polarization) และการแข่งขันทางอำนาจอย่างรุนแรง ระเบียบโลกมักจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างสมดุลใหม่ (rebalancing) ซึ่งแนวคิด Minilateralism และ Flexible Multilateralism อาจจะเป็นคำตอบในระยะยาว ด้วยเหตุผลดังนี้
ประการแรก ลดทอนอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มักเกิดจากการที่ประเทศมหาอำนาจพยายามขยายอิทธิพลของตน การรวมกลุ่มแบบ Minilateralism ทำให้ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในประเด็นที่ตนสนใจได้ โดยไม่ต้องรอให้ประเทศมหาอำนาจเห็นด้วยหรือผ่านความเห็นชอบจากเวทีพหุภาคีขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลดอิทธิพลและการผูกขาดอำนาจจากประเทศมหาอำนาจลงได้ ตัวอย่างสำคัญ เช่น กระบวนการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคีได้โดยมีประธานอาเซียนเข้ามาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ และกันให้สหรัฐฯ และจีนกลายเป็นเพียง Co-Organizer และ Active-Participant
ประการที่สอง ตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ภายหลังความขัดแย้ง จะมีปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น การสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การจัดการกับวิกฤตพลังงาน หรือการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ การรวมกลุ่มแบบ Minilateralism และ Flexible Multilateralism ช่วยให้กลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสามารถรวมตัวกันและตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ล่าช้าและซับซ้อนขององค์กรพหุภาคีขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น เจรจา Digital Economic Partnership Agreements ที่กำหนดกติการการค้าในโลกดิจิตอล ที่ปัจจุบันมีประเทศที่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวมากกว่า 70 ประเทศ
ประการที่สาม สร้างความร่วมมือที่ยืดหยุ่นและเป็นไปได้จริง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ประเทศต่างๆ อาจมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดต่อกัน แต่ในบางประเด็นอาจยังสามารถร่วมมือกันได้ การรวมกลุ่มแบบ Flexible Multilateralism ช่วยให้ประเทศที่เคยขัดแย้งกันสามารถหันมาร่วมมือกันในประเด็นเฉพาะที่ตกลงกันได้ โดยไม่ต้องผูกพันกันในทุกมิติของความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการสร้าง ‘สะพานเชื่อม’ ที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ไม่ขาดสะบั้นอย่างสมบูรณ์ และอาจนำไปสู่ความร่วมมือในประเด็นอื่นๆ ในอนาคตได้ ดังที่ประชาคมอาเซียนกำลังพยายามดำเนินการ และเริ่มเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้นผ่านการเชื่อมโยงการประชุมหลากหลายมิติ ดังที่เราได้เห็นผู้นำสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย บลาซิล และบางประเทศในสหภาพยุโรป ต่างก็เลือกที่จะเดินทางมาร่วมประชุมในการประชุมคู่ขนานกับการประชุมสุดยอดอาเซียน และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2025
ประการสุดท้าย เสริมสร้างระเบียบโลกใหม่แบบอำนาจหลายขั้วหรือพหุศูนย์อำนาจ (Multi-polar World) หากระเบียบโลกในอนาคตไม่ใช่ระเบียบแบบสองขั้วในยุคสงครามเย็น หรือขั้วเดียวในยุคโลกาภิวัฒน์ หากแต่เป็นแบบพหุศูนย์อำนาจ การรวมกลุ่มแบบ Minilateralism และ Flexible Multilateralism จะสอดคล้องกับโครงสร้างอำนาจใหม่นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดศูนย์กลางความร่วมมือและการตัดสินใจที่หลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่เวทีพหุภาคีขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว ทำให้เกิดความสมดุลและลดความเสี่ยงจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป
จะเห็นได้ว่า เพื่อการเดินหน้าไปสู่ระเบียบโลกใหม่ ประเทศไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง และเคยมีบทบาทนำในอาเซียนมาตลอดประวัติศาสตร์ร่วม 60 ปี ไทยมีศักยภาพสูงในการจะร่วมริเริ่มผลักดันระเบียบโลกใหม่เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการเล่นบทบาทนำในประชาคมอาเซียน ขนาดตลาดขนาดใหญ่ ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ของอาเซียน ประกอบกับทำเลที่ตั้งในจุดศูนย์กลางทางภูมิยุทธศาสตร์และประสบการณ์ของไทยในการดำเนินนโยบายทางการทูตและนโยบายการต่างประเทศที่แหลมคมในอดีต จะทำให้ไทยสามารถผลักดันประเด็นสำคัญๆ ในเวทีโลกได้อย่างมากมาย
หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไทยเราต้องการการทำงานที่สอดประสาน (Synergy) ระหว่าง 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูง (Policy Makers) ที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ (Policy Implementator) ที่ซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อนรับเอานโยบายไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา (Multi-Disciplinary, Inter-Disciplinary) ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุน ช่วยแนะนำการตัดสินใจทางนโยบาย และ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง
ทั้งหมดนี้เพื่อปฏิรูปประเทศไทยให้ไทยสามารถ ‘formulate’ ยุทธศาสตร์และนโยบายของไทยในระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างดีที่สุด เพื่อประชาชนไทย
[1] ศาสตราจารย์เกียรติคุณ Amitav Acharya ดำรงตำแหน่ง UNESCO Chair in Transnational Challenges and Governance ณ School of International Service และเป็นศาสตราจารย์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ณ American University, Washington, D.C.