24 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมาคือวาระครบรอบ 3 ปี สมรภูมิยูเครนที่ปะทุขึ้นในปี 2022 โดยเป็นการปะทะกันระหว่างรัสเซียกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติก (North Atlantic Treaty Organization: NATO) เมื่อถอดบทเรียน เราอาจพบว่ากลไกที่เคยเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือระงับยับยั้งไม่ทำให้เกิดสงครามกลับกลายเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งครั้งต่อไป
เดิมสันติภาพวางอยู่บนสามเสาหลักอันได้แก่ 1) องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เพื่อสร้างกลไกในรูปแบบ Collective Security ที่ทำให้ให้เกิดการเจรจาก่อนที่ความขัดแย้งจะลุกลามบานปลาย 2) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกรอบต่างๆ โดยเฉพาะพหุภาคี อย่างองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ที่เน้นการสนับสนุนการเปิดเสรีให้กลไกตลาดทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกประเทศและเขตเศรษฐกิจ รวมทั้งปลดชนวนความขัดแย้งอันสืบเนื่องมากจากข้อพิพาททางการค้า และ 3) ความร่วมมือทางการทหารที่จะป้องปรามให้ทุกประเทศเคารพอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐต่างๆ
ในอดีตทั้งสามเสาหลักนี้ได้รับการออกแบบและสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกสู่เอเชียในมิติเศรษฐกิจภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) และความร่วมมือทางการทหารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นคือ NATO
และในห้วงเวลาปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กำลังลดทอนความสำคัญของกลไกทั้งสามลงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการนำสหรัฐฯ ออกจากองค์การระหว่างประเทศหลายองค์กรที่อยู่ภายใต้ UN การเดินหน้าประกาศสงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ และล่าสุดคือการแสดงออกอย่างชัดเจนในการลดการสนับสนุนทางการทหารกับ NATO รวมทั้งการไม่เห็นยุโรปอยู่ในสายตาในกลไกเจรจาสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่กลับกลายเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตและปูทางไปสู่การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย
NATO ที่เคยเป็นเสมือนกลไกสำคัญที่สุดที่เป็นหลักประกันด้านความมั่นคงซึ่งเชื่อมความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป กลับกลายเป็นเครื่องมือต่อรองในเกมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump ผ่านการประกาศของพีต เฮกเซท (Pete Hegseth) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ณ การประชุม Ukraine Defense Contact Group ประเทศเบลเยียม ที่ยอมรับว่า
1. ยูเครนไม่มีทางกลับไปมีบูรณภาพเหนือดินแดนแบบที่เคยเป็นก่อนปี 2014 Hegseth ยังกล่าวด้วยว่าการที่ยูเครนจะกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 คือเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ และการไล่ล่าเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้คือภาพลวงตาที่จะลากยาวสงคราม จนทุกฝ่ายจะเสียหายมากยิ่งขึ้น
[ภูมิหลัง: หลังการปฏิวัติยูเครน (Euro Maidan, 18-23 กุมภาพันธ์ 2014) ในวันที่ 16 มีนาคม 2014 ประชาชน 81.36% ของจำนวนประชากรในคาบสมุทรไครเมียออกมาทำประชามติ และ 96.77% เลือกที่จะประกาศเอกราชให้ไครเมียในนาม ‘สาธารณรัฐไครเมียและเซวัสโตปอล’ ก่อนที่จะลงนามในสนธิสัญญาการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสหพันธรัฐรัสเซียในวันที่ 18 มีนาคม 2014 ซึ่งแน่นอนว่ากระบวนทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้การแทรกแซงและสนับสนุนของรัสเซีย]2. การรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของ NATO เป็นเรื่องที่ยากลำยาก เพราะนั่นจะนำไปสู่สงครามครั้งใหญ่
[ภูมิหลัง: ผู้นำ NATO ได้ให้สัญญากับผู้นำอดีตสหภาพโซเวียตว่า NATO จะไม่มีการขยายจำนวนพันธมิตรอีกต่อไป รวมทั้งคำกล่าวที่โด่งดังของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เจมส์ เบเกอร์ (James Baker) ที่กล่าวว่า พื้นที่ความร่วมมือ NATO จะไม่มีการขยายออกไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียวทางทิศตะวันออก “not one inch eastward” แต่จากการเปิดเผยของศูนย์ หอเอกสารความมั่นคงแห่งชาติของมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน (the National Security Archive, George Washington University) ได้นำเสนอเอกสาร 30 ฉบับที่เคยถูกจัดชั้นความลับระดับสูงสุดในทศวรรษ 1990 แต่ถูกลดชั้นไม่เป็นความลับอีกต่อไปในปี 2017 ของทั้งสหรัฐฯ โซเวียต เยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศส เผยให้เห็นถึงคำรับรองมากมายเกี่ยวกับความมั่นคงของสหภาพโซเวียตที่ผู้นำตะวันตกมอบ ไม่ว่าจะเป็นจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช (George H.W. Bush) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เฮ็ลมูท โคล (Helmut Kohl) และ ฮันส์-ดีทริช เก็นเชอร์ (Hans-Dietrich Genscher) นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี, ฟร็องซัว มีแตร็อง (François Mitterrand) อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส และมากาเร็ต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ให้กับอดีตประธานาธิบดีโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) และเจ้าหน้าที่โซเวียตคนอื่นๆ ในประเด็นการไม่ขยายจำนวนพันธมิตรของ NATO ซึ่งประเด็นนี้กลายเป็นความเข้าใจผิดที่ลุกลามต่อเนื่องจนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและ NATO ในปัจจุบัน โดยหลังสงครามเย็น NATO กลับรับสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 16 ประเทศ]3. เมื่อยูเครนยังคงเรียกร้องหลักประกันทางด้านความมั่นคง Hegseth ยังกล่าวต่อผู้นำยุโรปหลังจากปฏิเสธการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO ว่า หลักประกันความมั่นคงของยูเครนคือ กองทัพยุโรปที่ไม่มีกองทัพสหรัฐและกองทัพของ NATO พร้อมทั้งยังเสนอให้ประเทศยุโรปต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของตนเองโดยการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้นเป็นระดับ 5% ของ GDP ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หากคำนึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก NATO โดยปัจจุบันมีเพียง 23 ประเทศจาก 32 ประเทศสมาชิกของ NATO เท่านั้นที่มีงบประมาณด้านกลาโหมที่ระดับ 2% ของ GDP ตามที่ตกลงกันไว้ใน NATO
[ภูมิหลัง: สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และรัสเซีย เคยลงนามร่วมกันใน Budapest Memorandum on Security Assurances ว่าทั้งสามประเทศจะ 1) เคารพเอกราชและอำนาจอธิปไตยของเบลารุส คาซัคสถาน และยูเครน 2) งดเว้นจากการคุกคามหรือใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชของเบลารุส คาซัคสถาน และยูเครน 3) งดเว้นจากการบีบบังคับทางเศรษฐกิจต่อทั้งสามรัฐ 4) สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย จะให้ความช่วยเหลือเบลารุส คาซัคสถาน และยูเครน หากทั้งสามรัฐตกเป็นเหยื่อของการกระทำรุกรานหรือเป็นเป้าหมายของการคุกคามการรุกราน 5) จะไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกัน และ 6) หากที่ประเด็นพิพาทให้ใช้การปรึกษาหารือ โดยทั้งหกข้อคือสิ่งที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย สัญญากับเบลารุส คาซัคสถาน และยูเครน เพื่อให้ทั้งสามรัฐยอมทำลายอาวุธนิวเคลียร์ที่ตนเองครอบครองเอาไว้ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่ดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้]4. Hegseth ยังแสดงออกอีกว่าความร่วมมือทางความมั่นคงและการทหารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก หรือการที่สหรัฐฯ จะเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงให้กับยุโรปไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกของสหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะในปัจจุบันสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องดำเนินการคือการสร้างความเข้มแข็งขยายแสนยานุภาพของสหรัฐฯ เพื่อดูแลปกป้องตนเอง (ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ Trump กล่าวในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี) เพราะ ณ ขณะนี้ภัยคุกคามสูงสุดของสหรัฐคือสาธารณรัฐประชาชนจีน
และเมื่อเราติดตามสถานการณ์จาก Munich Security Conference ในประเทศเยอรมนี สู่การพบกันของคณะทำงานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และรัสเซีย ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย เราจะยิ่งพบกับการยืนยันว่าระเบียบโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผ่านการแถลงของเจดี แวนซ์ (JD Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า การยุติสงครามและการสร้างความสัมพันธ์กับรัสเซียจะนำไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะพิเศษ (a very unique economic opportunities)
นั่นแปลว่า ณ ปัจจุบัน คุณค่า (value) ในเรื่องความมั่นคงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศที่ถูกละเมิด ชีวิตของประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความเสียหายทางด้านจิตใจของประชาชนเรือนล้าน กลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญรองลงไปกว่าโอกาสทางเศรษฐกิจ
ทั้งหมดถูกสรุปรวมความโดยข้อความของประธานาธิบดี Trump เองที่นำเสนอผ่านในโซเชียลมีเดียของเขาที่ว่า
“ลองนึกดู, นักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จอย่างพอประมาณอย่างโวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ได้โน้มน้าวให้สหรัฐอเมริกาใช้เงิน 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าสู่สงครามที่ไม่มีทางชนะได้และไม่จำเป็นต้องเริ่มต้น แต่เป็นสงครามที่เขาจะไม่สามารถยุติได้หากไม่มีสหรัฐอเมริกาและ “TRUMP”. สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากกว่ายุโรปถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินของยุโรปก็ได้รับการประกันการจ่ายคืน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย. ทำไมโจ ไบเดน (Joe Biden, อดีตประธานาธิบดี) ผู้สลึมสลือจึงไม่เรียกร้องความเท่าเทียม ในเมื่อสงครามครั้งนี้สำคัญต่อยุโรปมากกว่าเรามาก เรามีมหาสมุทรที่สวยงามและกว้างใหญ่เป็นเส้นแบ่งกั้น. นอกจากนี้ Zelenskyy ยังยอมรับว่าเงินครึ่งหนึ่งที่เราส่งไปให้เขา ‘หายไป’. เขาปฏิเสธที่จะมีการเลือกตั้ง เขามีคะแนนนิยมในยูเครนต่ำมาก และสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีคือการเล่นกลับไปกลับมาเหมือนเล่นซอกับ Biden. Zelenskyy ผู้เป็นเผด็จการที่ผ่านการเลือกตั้งต้องรีบดำเนินการ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีประเทศเหลืออยู่ ในระหว่างนี้เรากำลังเจรจายุติสงครามกับรัสเซียสำเร็จ ซึ่งทุกคนยอมรับว่ามีเพียง “TRUMP” และรัฐบาล TRUMP เท่านั้นที่ทำได้ Biden ไม่เคยพยายาม ยุโรปล้มเหลวในการนำสันติภาพมาให้ และ Zelenskyy อาจต้องการให้ “ขบวนรถไฟเหาะ” ดำเนินต่อไป ฉันรักยูเครน แต่ Zelenskyy ทำหน้าที่ได้แย่มาก ประเทศของเขาพังทลาย และผู้คนนับล้านต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น และสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป…..”

ณ ชั่วโมงนี้สิ่งที่เราต้องทำใจและพยายามทำความเข้าใจ แม้จะฝืนสามัญสำนึก และต้องศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางรับมือ นั่นก็คือระเบียบโลกในสายตาของ Trump ซึ่งคือ “รัฐที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า สามารถละเมิดอธิปไตยเข้ายึดครองพื้นที่ของรัฐที่มีพลังอำนาจอ่อนด้อยกว่าได้ หากการเข้ายึดครองนั้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” และ “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (ตามวิธีคิดของ Trump ที่ดูตัวเลขขาดดุล-เกินดุลเป็นหลัก) คือกลไกขับเคลื่อนมิติความมั่นคง สงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ และสงครามในสนามรบจริง คือสิ่งที่เจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนกันได้”
และท้ายสุดที่เราคนไทยต้องคำนึงถึงให้มากที่สุดก็คือ เมื่อความร่วมมือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมิใช่ความสำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Trump และเมื่อภัยคุกคามสูงสุดของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Trump คือจีน นั่นหมายความว่าเรดาร์ของ Trump กำลังส่ายเข้ามายังภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่ง ณ ที่นั้น ประเทศไทยและประชาคมอาเซียน คือจุดศูนย์กลางของทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์