เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอดีตประธานาธิบดีโคลอมเบีย อัลวาโร อูริเบ (Álvaro Uribe) กลายเป็นอดีตผู้นำคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ถูกศาลแห่งโบโกตาตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา โดยเขาถูกตัดสินให้ถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลา 12 ปี นอกจากนี้เขายังถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองและถูกปรับเป็นเงิน 578,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 18.7 ล้านบาท) อูริเบซึ่งยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ ได้แจ้งต่อผู้พิพากษาว่าเขาจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน โดยกล่าวว่าคดีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “ทำลายเสียงของฝ่ายค้านที่เป็นประชาธิปไตย”
อูริเบเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง ค.ศ. 2002-2010 และยังคงได้รับความนิยมในโคลอมเบีย แม้จะถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวานอกกฎหมายเพื่อทำลายล้างกลุ่มกบฏฝ่ายซ้าย ซึ่งเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว อดีตประธานาธิบดีถูกตัดสินว่ามีความผิดในสองข้อกล่าวหาในคดียุ่งเกี่ยวกับพยานที่ดำเนินมาสืบสวนมาเป็นเวลายาวนานกว่า 13 ปี โดยอดีตสมาชิกกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวานอกกฎหมายสองคนที่ถูกจำคุกให้การเป็นพยานว่า ดิเอโก คาเดนา (Diego Cadena) อดีตทนายความของอูริเบ เสนอเงินให้พวกเขาเพื่อเป็นพยานแก้ต่างให้อูริเบในข้อหาที่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องและให้การสนับสนุนกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวานอกกฎหมายในช่วงระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
สำหรับปฏิกิริยาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของโคลอมเบียในสมัยที่อูริเบเป็นประธานาธิบดีนั้น มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประณามการตัดสินจำคุกอูริเบ โดยกล่าวหาว่าระบบตุลาการของโคลอมเบียถูกใช้เป็นอาวุธโดย กุสตาโว เปโตร (Gustavo Petro) ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของโคลอมเบียซึ่งมีนโยบายเอียงไปทางสังคมนิยม และเห็นอกเห็นใจเวเนซุเอลาซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของรัฐบาลอเมริกันนับตั้งแต่ที่อดีตประธานาธิบดี อูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอลาในปี 1998 โดยรูบิโอเขียนบนเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย X ว่า “อาชญากรรมเพียงอย่างเดียวของอดีตประธานาธิบดีอูริเบคือการต่อสู้และปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
อูริเบนั้นได้รับการยกย่องจากสหรัฐอเมริกาว่ามีแนวทางที่แข็งกร้าวต่อการปราบปรามกลุ่มกบฏฝ่ายซ้ายของประเทศที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิมาร์กซิสต์ โดยเฉพาะกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย (FARC) แต่อีกด้านเขาก็ถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่สร้างความแตกแยกให้กับประเทศเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันอูริเบก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนในประเทศที่สั่งสมอยู่มาเป็นเวลานานในขณะที่เขามีอำนาจบริหารประเทศ
สำหรับประวัติของอูริเบนั้น เขาเกิดที่เมืองเมะเดยีน เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้องห้าคน บิดาของเขา อัลแบร์โต อูริเบ เป็นเจ้าของที่ดินและฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ อูริเบได้เข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยแอนทิโอเกียและสำเร็จการศึกษาในปี 1977 ต่อมาบิดาของเขาถูกสังหารโดยกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบียระหว่างความพยายามลักพาตัวในปี 1983 หลังจากบิดาของเขาเสียชีวิต อูริเบหันเหตัวเองเข้าสู่วงการทางการเมืองและกลายเป็นสมาชิกของพรรคเสรีนิยมซึ่งเป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองหลักของประเทศในขณะนั้น (อีกพรรคหนึ่งได้แก่พรรคอนุรักษนิยม) ซึ่งต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองเมะเดยีนโดย อัลวา โรวิล เยกัส ผู้ว่าการจังหวัดแอนทิโอเกียในขณะนั้น แต่เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีได้เพียงห้าเดือนก็ถูกบีบให้ลาออก เนื่องจากเบลิซาริโอ เบตันกูร์ ประธานาธิบดีโคลอมเบียในขณะนั้นได้กดดันผ่านผู้ว่าการจังหวัดให้เขาลาออก เพราะมีหลักฐานว่าอูริเบมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มค้ายาเสพติดใหญ่แห่งเมืองเมะเดยีน
ต่อมาอูริเบได้รับการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกจากจังหวัดแอนทิโอเกียระหว่างปี 1986-1994 โดยในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก อูริเบสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปเงินบำนาญ สวัสดิการแรงงาน และระบบประกันสังคมรวมถึงการส่งเสริมระบบสหกรณ์และการคุ้มครองสตรี อย่างไรก็ตามกฎหมายบางฉบับถูกวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ลดความรับผิดชอบของรัฐต่อระบบประกันสังคม ในช่วงระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก เขาได้รับรางวัลทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในฐานะหนึ่งใน ‘วุฒิสมาชิกที่ดีที่สุด’ และในฐานะวุฒิสมาชิกที่มี ‘ความคิดริเริ่มด้านกฎหมายที่ดีที่สุด’ อีกด้วย
หลังจากนั้นอูริเบได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการจังหวัดแอนทิโอเกียระหว่างปี 1995-1997 ในระหว่างดำรงตำแหน่ง อูริเบได้พัฒนาสิ่งที่เขาเรียกว่าแบบจำลองสำหรับการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งในทางทฤษฎีจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของจังหวัด โดยเขาได้อ้างว่าแบบจำลองนี้จะช่วยปรับปรุงการจ้างงาน การศึกษา ความโปร่งใสในการบริหาร และความมั่นคงสาธารณะ
นอกจากนี้อูริเบยังได้สนับสนุนแนวความคิดของรัฐบาลโคลอมเบียในขณะนั้นที่ให้มีการจัดตั้งหน่วยงานรักษาความปลอดภัยเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ CONVIVIR ที่ภายหลังได้กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก โดยผู้ที่สนับสนุนมองว่า CONVIVAR ได้ปรับปรุงความปลอดภัยในชุมชนและช่วยประสานงานด้านข่าวกรองกับกองทัพในการต่อสู้กับกลุ่มกบฏฝ่ายซ้าย แต่พวกที่ต่อต้านกล่าวหาว่า CONVIVAR ละเมิดสิทธิพลเรือนและดำเนินการโดยไม่มีการกำกับดูแลอย่างจริงจัง ในปี 1998 ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) รายงานว่ามีข้อมูลที่น่าเชื่อถือซึ่งบ่งชี้ว่ากลุ่ม CONVIVIR ในเขต Magdalena Medio และเขต Cesar ถูกควบคุมโดยกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวานอกกฎหมาย และ CONVIVAR ยังได้ขู่ว่าจะสังหารประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นผู้เห็นอกเห็นใจกลุ่มกบฏฝ่ายซ้ายหรือปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับ CONVIVAR อีกด้วย
ในปี 2002 อูริเบลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศในฐานะผู้สมัครอิสระ หลังจากแยกตัวออกจากพรรคเสรีนิยม นโยบายการเลือกตั้งของเขามุ่งเน้นไปที่การคืนความสงบให้กับประเทศ ส่วนข้อเสนออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง การปราบปรามการทุจริต และการริเริ่มการลงประชามติระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจหลายประการของประเทศ เชาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 53 โดยรองประธานาธิบดีของเขาคือฟรานซิสโก ซานโตส กัลป์เดรอน (Francisco Santos Calderón) สมาชิกตระกูลซานโตสผู้ซึ่งสืบทอดตำแหน่งมายาวนานในฐานะสมาชิกพรรคเสรีนิยมและเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันเอล ติเอมโป ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของประเทศ ซานโตสยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กรต่อต้านการลักพาตัว (Fundación País Libre) ซึ่งก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาตกเป็นตัวประกันของปาโบล เอสโกบาร์ (Pablo Escobar) เจ้าพ่อค้ายาเสพติดแห่งเมืองเมะเดยีน
ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี อูริเบประกาศว่าเป้าหมายหลักคือการจำกัดหรือเอาชนะกลุ่มติดอาวุธหลักสามกลุ่มในโคลอมเบีย ได้แก่ กองกำลังป้องกันตนเองแห่งโคลอมเบีย (AUC) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ (ELN) และกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย (FARC) โดยอูริเบกล่าวว่ารัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าทางทหารเสียก่อน เพื่อให้กองกำลังกองโจรกลับมาเจรจาต่อรองด้วยท่าทีที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเขาได้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมจากระดับร้อยละ 3.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2002 และเป็นร้อยละ 6 ในปี 2006 ข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการของรัฐบาลยังระบุว่าภายในเวลาสองปีจากเดือนสิงหาคม 2004 อัตราการฆาตกรรม การลักพาตัว และการก่อการร้ายในโคลอมเบียลดลงมากถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี โดยในปี 2003 อัตราการฆาตกรรมลดลง 7,000 คดีเมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2002 หรือคิดเป็นร้อยละ 27 และภายในเดือนเมษายน 2004 รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังตำรวจหรือทหารประจำการอย่างถาวรในทุกเขตเทศบาลของโคลอมเบียเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ
ในปี 2004 อูริเบประสบความสำเร็จในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญโคลอมเบีย ค.ศ. 1991 โดยรัฐสภาได้อนุญาตให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีวาระที่สอง โดยก่อนหน้านี้หลายปีประธานาธิบดีโคลอมเบียถูกจำกัดให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ครั้งละสี่ปี และถูกห้ามไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่อีก แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันก็ตาม ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว อูริเบได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 28 พฤษภาคม 2006 สำหรับวาระประธานาธิบดีสมัยที่สอง (2006–2010) และกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งซ้ำติดต่อกันในโคลอมเบียในรอบกว่าศตวรรษ เขาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 62 หรือมากกว่า 7.3 ล้านเสียง ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์โคลอมเบีย
เมื่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระที่สองของอูริเบใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้สนับสนุนของเขาพยายามหาทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้เขามีสิทธิลงสมัครประธานาธิบดีเป็นวาระที่สาม รัฐสภาโคลอมเบียในขณะนั้นสนับสนุนให้มีการลงประชามติของประชาชนในประเด็นดังกล่าว แต่ศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธหลังจากทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับ ศาลรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้มีการลงประชามติ แต่ยังประกาศว่าประธานาธิบดีโคลอมเบียสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงสองวาระเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันก็ตาม เท่ากับว่าอูริเบหมดสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในอนาคต
หลังจากครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2010 อูริเบได้กลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งโดยได้รับการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกระหว่างปี 2014-2020 แต่ในเดือนสิงหาคม 2020 ศาลฎีกาแห่งโคลอมเบียตัดสินให้เขาถูกกักบริเวณในบ้านระหว่างการไต่สวนทางตุลาการที่กำลังดำเนินอยู่ในคดีสังหารหมู่ El Aro และ La Granja ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการจังหวัดแอนทิโอเกีย การกักบริเวณอูริเบในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โคลอมเบียที่ศาลได้สั่งควบคุมตัวอดีตประธานาธิบดี วันรุ่งขึ้นหลังจากการจับกุม อูริเบตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 แต่เขาประกาศว่าเขาหายดีแล้วในอีกหกวันต่อมา ก่อนที่ในวันที่ 18 สิงหาคม 2020 อูริเบได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิก อย่างไรก็ตามเขาได้รับการยกเลิกการกักบริเวณในวันที่ 10 ตุลาคม 2020 หลังจากที่ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นว่าเขามีส่วนร่วมในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวพยานในคดีดังกล่าว
ในเดือนพฤษภาคม 2024 อูริเบถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการในความพยายามแทรกแซงพยานและติดสินบนในคดีที่เขาให้การสนับสนุนกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวานอกกฎหมาย หลังจากมีการเปิดเผยบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ถูกดักฟัง ซึ่งได้ยินเขาพูดคุยถึงความพยายามที่จะพลิกกลับคำให้การของอดีตสมาชิกกองกำลังกึ่งทหารสองคนที่กำลังจะมาให้การเป็นพยานกล่าวโทษเขาพร้อมกับทนายความคนหนึ่งของเขา จนนำมาสู่การตัดสินของศาลแห่งโบโกตาว่าเขามีความผิดฐานแทรกแซงพยานและข้อหาฉ้อโกงในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตัดสินให้เขาถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลา 12 ปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งถ้าในท้ายที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามการตัดสินของศาลแห่งโบโกตาก็เท่ากับเป็นการปิดฉากทางการเมืองของอัลวาโร อูริเบ ประธานาธิบดีที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของโคลอมเบียนั่นเอง