ภาพ: Romeo Gacad/AFP และเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง
สูงขึ้นไปบนภูเขา ลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ยังมีจารีตและเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีเพื่อธำรงรักษาอัตลักษณ์ของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง แต่ขณะเดียวกัน กฎกติกาและบทบาทหน้าที่ของคนในชุมชนก็ถูกตั้งคำถามจากคนรุ่นหลังถึง ‘ความเป็นธรรม’ และ ‘ความสมเหตุสมผล’ ในวันที่สังคมเคลื่อนไปข้างหน้า ท่ามกลางการต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ชนเผ่าพื้นเมืองอ่าข่าเป็นกลุ่มแรกที่มีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขจารีตประเพณีอย่างเป็นทางการ มีการลงนามจากตัวแทนอ่าข่าสี่ประเทศ เพื่อให้สอดรับกับหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิง
ชาวอ่าข่าในไทยกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือเจ็ดจังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ตาก แพร่ เพชรบูรณ์ และน่าน ปัจจุบันมีอยู่ราวหนึ่งแสนคน คำว่า ‘อ่าข่า’ แปลว่า ‘คนที่อยู่ตรงกลาง’ พวกเขามีการแต่งกาย อาหาร ภาษา ความเชื่อ และพิธีกรรมของตัวเองที่โดดเด่น โดยมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบูชาบรรพบุรุษอยู่ถึง 12 พิธี
ชุมชนดั้งเดิมของชาวอ่าข่าทำการเกษตรเป็นหลัก แบ่งบทบาทหน้าที่ของชายและหญิงชัดเจน มีการสร้างกฎสำหรับสถาบันครอบครัวที่เข้มงวด รวมถึงมีการตรวจตราดูแลกันของคนในชุมชนอย่างใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวอ่าข่ามีจารีตที่เคร่งครัด ซึ่งโดยมากตั้งขึ้นมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษเพื่อสอดรับกับชีวิตความเป็นอยู่ในรุ่นก่อน แต่ในวันนี้เมื่อสังคมอ่าข่าไม่เหมือนเดิม กฎหลายอย่างก็จำเป็นต้องเปลี่ยน
เวลากว่า 35 ปีของการต่อสู้ พวกเขาผ่านอะไรบ้าง ในอดีตผู้หญิงอ่าข่ามีบทบาทและข้อห้ามแบบไหน อะไรที่ทำให้จารีตต้องเปลี่ยน และพวกเขาทำได้อย่างไร
หมายเหตุ – สรุปเนื้อหาจากงานเสวนา สิทธิสตรีในวัฒนธรรมอ่าข่า: “เรื่องราวที่ต้องฟัง เสียงที่ต้องได้ยิน” จัดโดย IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568

(ซ้ายไปขวา) วิไลลักษณ์ เยอเบาะ, แสงระวี จูเปาะ, พอค้อง มอแลกู่ และชุติมา มอแลกู่
ห้ามปีนหลังคา ห้ามขี่ม้า ห้ามเป็นหม้ายเกิน 26 วัน ฯลฯ
ชีวิตบนข้อห้ามของสตรีชาวอ่าข่า
ย้อนกลับไปในวันที่ชาวอ่าข่ายังเคร่งครัดกับจารีตและยังไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอกมากนัก ผู้หญิงมีข้อควรปฏิบัติมากมาย ชุติมา มอแลกู่ ประธานเครือข่ายอ่าข่าเพื่อสันติภาพลุ่มน้ำโขง เล่าถึงชีวิตประจำวันในอดีตของชาวอ่าข่าให้ฟังว่ามีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ทั้งงานในบ้านและการออกไปทำงานในไร่
“ตอนเช้าตื่นมา ลูกสาวต้องตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง เพราะเมื่อก่อนไม่มีโรงสี ต้องตำข้าวกินเอง ส่วนแม่เอาอาหารให้หมูและไก่ ส่วนพ่อจะดูแลม้าหรือวัวควายที่เลี้ยงไว้ ในเรื่องการทำอาหาร พ่อทำกับข้าวจำพวกเนื้อสัตว์ ส่วนแม่ทำจำพวกผัก เราเตรียมอาหารเพื่อไปกินในไร่” ชุติมาเล่าก่อนอธิบายเสริมว่า ทั้งผู้หญิงและผู้ชายชาวอ่าข่าล้วนไปทำงานในไร่เหมือนกัน เพียงแต่แบ่งงานที่ต้องใช้แรงมากให้ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงทำงานที่เบากว่า
ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรืองานโล้ชิงช้าที่หยุดงาน ผู้หญิงจะซ่อมแซมเสื้อผ้าของครอบครัวให้สามี ลูก และพ่อแม่ เมื่อซ่อมแซมเสร็จแล้วจึงค่อยมาปักผ้าเพื่อเสริมความงามของชุดไว้สำหรับสวมใส่ในช่วงเทศกาล
แม้จะมีการแบ่งบทบาทการทำงานอย่างชัดเจนของชายหญิง แต่ก็มี ‘ข้อห้าม’ หลายประการที่ผู้หญิงอ่าข่าต้องปฏิบัติตาม เช่น ผู้หญิงห้ามออกมาเจอแขกที่มาบ้าน ห้ามปีนหลังคา ห้ามขี่ม้า ห้ามท้องก่อนแต่งงาน ห้ามเป็นหม้ายเกิน 26 วัน เป็นต้น
ชุติมาเล่าว่าข้อห้ามที่กล่าวมานี้มีคำอธิบายจากคนรุ่นก่อน ซึ่งมักมาจากเหตุผลเรื่องความเป็นห่วงว่าผู้หญิงจะเจออันตรายหรือดูแลตัวเองไม่ได้
“สมัยยังเด็ก บ้านอ่าข่าแบ่งเป็นฟากผู้หญิงและฟากผู้ชาย ซึ่งแขกที่มาบ้านไม่สามารถเดินไปฟากผู้หญิงโดยไม่ได้รับอนุญาต เราก็จะแอบดูที่รูไม้ไผ่ว่าใครมา เราก็เคยถามเหมือนกันว่าทำไมไม่ให้ผู้หญิงเดินออกไปดูตรงๆ ผู้ใหญ่ก็บอกว่า สมมติว่าลูกผู้หญิงบ้านนี้สวยแล้วมีหนุ่มมาที่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าหนุ่มที่มามีนิสัยอย่างไร จึงต้องเอาลูกสาวแอบไว้ในบ้าน” ชุติมาลงรายละเอียด
ในขณะที่เรื่องการห้ามปีนหลังคาก็เป็นเรื่องของความปลอดภัยจากการแต่งกาย เพราะกระโปรงผู้หญิงชาวอ่าข่าสั้นราวหนึ่งคืบ การขึ้นไปยืนบนที่สูงจึงอาจดูไม่เหมาะสม ใกล้เคียงกับเรื่องการขี่ม้าที่ทำให้ถูกมองว่าไม่ประพฤติตัวตามหลักกุลสตรีของชาวอ่าข่า
“สมัยก่อนถ้าผู้หญิงอ่าข่าคนไหนขี่ม้า คือหาสามีไม่ได้เลย” ชุติมาขยายความ
สามเรื่องที่กล่าวไปข้างต้นเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีจารีตในอดีตที่สำคัญในระดับเข้มงวด ซึ่งล้วนมีที่มาจากความต้องการจะวางโครงสร้างสถาบันครอบครัวให้แข็งแรง คือเรื่องที่ผู้หญิงไหว้บรรพบุรุษไม่ได้ ผู้หญิงต้องหาสามีใหม่หลังจากเลิกกับสามีภายใน 1-2 อาทิตย์ (หนึ่งอาทิตย์ของชาวอ่าข่าเท่ากับ 13 วัน) และผู้หญิงไม่สามารถท้องก่อนแต่งได้ นับเป็นอาเพศใหญ่
“ผู้หญิงไหว้บรรพบุรุษไม่ได้ ทำได้แค่ทำอาหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อเตรียมถวายเท่านั้น แต่คนไหว้ต้องเป็นผู้ชาย เรื่องนี้อาจเกิดจากกุศโลบายที่ต้องการดึงผู้ชายที่ออกจากบ้านไปค้าขายต่างเมืองหรือไปอยู่ในป่าแล้วไม่ยอมกลับมา ให้กลับมาไหว้บรรพบุรุษอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ขณะเดียวกันการทำข้าวปุ๊กต้องใช้แรง ผู้หญิงหุงข้าว ผู้ชายตำข้าวปุ๊ก ทำด้วยกันเป็นกิจกรรมครอบครัว” ชุติมาเล่า
ชุติมาอธิบายต่อว่า สาเหตุที่ผู้หญิงที่เป็นหม้ายต้องหาสามีใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ของชาวอ่าข่านั้น อาจเพราะเป็นกุศโลบายให้ผู้หญิงต้องอดทน ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ รวมถึงป้องกันการเป็นมือที่สามของครอบครัวอื่น จึงจำเป็นต้องแต่งงานมีคู่ให้เร็วที่สุด ก่อนจะเล่ารายละเอียดให้ฟังต่อว่า
“ถ้าสามีเสียชีวิตไป แล้วเราไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว แม่กับลูกสาวจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวไม่ได้ ต้องไปหาสามีใหม่ เพราะคนในชุมชนไม่ให้อยู่ ถือเป็นกฎจารีตประเพณี และภรรยาไม่สามารถพาลูกกลับบ้านตัวเองได้ ต้องอยู่กับญาติของฝ่ายสามีเราเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าภรรยาเสียชีวิต ผู้ชายไม่จำเป็นต้องหาใหม่”
พอค้อง มอแลกู่ ผู้แทนผู้อาวุโสหญิงอ่าข่า ผู้เป็นแม่ของชุติมา คือหนึ่งในหญิงหม้ายที่สามีเสียชีวิตและมีลูกสาวสามคน ที่ต้องเผชิญกับจารีตที่เคร่งครัดเมื่อราว 50 ปีก่อน เธอพบจุดเปลี่ยนในชีวิตตอนอายุ 29 ปี เมื่อสามีของเธอเสียชีวิต และญาติผู้ใหญ่บอกว่า “อายุยังน้อย จะอยู่แบบนี้จนแก่เฒ่าไม่ได้ ต้องแต่งงานใหม่” วันนี้ในวัยกว่า 84 ปี เธอเล่าเรื่องนี้ได้อย่างเข้มแข็ง
“เราจำเป็นต้องแต่งงานใหม่ ญาติสามีเอาลูกไปเลี้ยง ออกจากบ้านตัวเปล่า ไม่มีทรัพย์สินติดตัว มีแค่เสื้อผ้า 2-3 ชุดที่เอาไว้ใส่” พอค้องเล่าเรื่องด้วยภาษาอ่าข่า โดยมีชุติมาผู้เป็นลูกสาวคอยแปลเป็นไทยให้
ชุติมาเสริมว่า ถ้ายังมีผู้ชายในครอบครัวที่สามารถไหว้บรรพบุรุษได้ก็อาจไม่จำเป็นต้องแต่งงานใหม่ แต่พอค้องอยู่กับสามีและลูกสาวเท่านั้น พอสามีเสียจึงทำให้ไม่มีผู้ชายที่ไหว้บรรพบุรุษได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการนับสายบรรพบุรุษที่ผู้หญิงจะถูกนับเป็นบรรพบุรุษร่วมกับครอบครัวสามีได้ก็ต่อเมื่อมีลูกชายให้ตระกูลเท่านั้น ในขณะที่เมื่อผู้หญิงแต่งงานออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่สามารถกลับไปหาพ่อแม่พี่น้องที่เป็นสายบรรพบุรุษของตัวเองได้ เพราะถือว่าตระกูลนั้นยกลูกสาวให้คนอื่นไปแล้ว กลายเป็นภาระรับผิดชอบของผู้หญิงที่ต้องมีลูกชายให้ได้
จากจารีตประเพณีในอดีตเหล่านี้ ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นตรงกันว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของผู้หญิง และหลายครั้งก็ทำลายและเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครหลายคนจนบอบช้ำสาหัส
เรื่องเล่าของ แสงรวี จูเปาะ ผู้แทนหญิงอ่าข่า เป็นหนึ่งในประสบการณ์อันทรงพลังที่ส่งผลอย่างยิ่งต่อคนรุ่นถัดมา แสงรวีเป็นชาวอ่าข่าที่เกิดในยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นสมัยใหม่เริ่มเข้ามาที่ชุมชนอ่าข่าเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังถือเป็นยุคดั้งเดิมที่คนในชุมชนยังเคร่งครัดกับจารีตประเพณี และเธอเองก็เป็นคนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ยอมรับเธอมากนัก จากบุคลิกแก่นตั้งแต่เด็ก
“เราโตมากับเด็กผู้ชาย ที่พี่หมี่จู (ชุติมา) บอกว่าผู้หญิงอ่าข่าขี่ม้าไม่ได้ แต่เราทั้งขี่ม้า ทั้งยิงหนังสติ๊ก ร่วมกิจกรรมทุกอย่างกับผู้ชาย ซึ่งด้วยวัฒนธรรมสมัยนั้นก็อาจมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่ยอมรับเรา เพราะเราไม่มีความเป็นกุลสตรีอ่าข่าเลย” แสงรวีเริ่มเล่าเรื่อง
แม้จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับในชุมชน แต่โชคดีที่ครอบครัวของแสงรวีสนับสนุนและไม่เคยปิดกั้น ครอบครัวของแสงรวีส่งเธอมาเรียนที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงน้อยคนจะได้ออกมาเรียนหนังสือข้างนอก
“เราเป็นรุ่นแรกๆ ที่ได้ออกมาเรียน เรื่องนี้ต้องขอบคุณพ่อที่สนับสนุน เขาส่งพี่ชายเราไปเรียนที่ตาก ส่วนเราถูกส่งมาเรียนที่เชียงใหม่ ลูกพ่อได้รับการศึกษาทุกคนไม่เกี่ยวว่าเป็นชายหรือหญิง” แสงรวีเล่า
ชีวิตวัยรุ่นในเชียงใหม่ของเธอดำเนินไปอย่างดี แต่แล้วก็เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อเธอเกิดตั้งท้องกับผู้ชายที่มีอายุมากกว่าถึง 20 ปี ซึ่งไม่ได้คบหากัน แสงรวีใช้คำว่าเป็น ‘อุบัติเหตุ’ ในชีวิต แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บเด็กในท้องไว้จนเติบใหญ่มาถึงวันนี้ และเลือกจะกลับไปเรียนต่อเพื่อใช้การศึกษาเปลี่ยนชีวิต
“จากเดิมที่เราอยู่ในชุมชนก็เป็นผู้หญิงที่ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่โอเคเท่าไหร่ แล้วมามีเรื่องราวพลิกผันของชีวิตคือมีลูกตอนที่ยังไม่พร้อมอีก โชคดีที่เรามีครอบครัวที่ให้โอกาส และมีผู้ใหญ่ที่เป็นเสาหลักวัฒนธรรมของอ่าข่าช่วยเหลือ เขาลงมาช่วยทำพิธีตอนลูกเราเกิดที่เชียงใหม่ เขาบอกว่าถึงหมู่บ้านไม่ยอมรับไม่เป็นไร จะทำพิธีให้ตรงนี้ เสร็จแล้วเขาก็กลับไปบอกหมู่บ้านว่าทำพิธีเรียบร้อยแล้ว เราเลยได้กลับไปที่ชุมชนพร้อมลูก” แสงรวีเล่าเรื่องในอดีต
แต่ถึงแม้จะกลับไปอยู่ในชุมชนได้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียนเพราะความไม่ยอมรับของจารีตดั้งเดิม แสงรวีเล่าว่า “จากวันนั้นถึงวันนี้เราต้องเปลี่ยนเป็นคริสเตียนเพราะสิ่งเหล่านี้ ทั้งลูกและครอบครัวเราด้วยนะ ทั้งหมู่บ้านมีคริสเตียนครอบครัวเดียว”
แสงรวีทิ้งท้ายว่า “เรื่องของเราอาจเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับน้องๆ ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นพลังสำคัญของอ่าข่าหรือชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ต้องมาฝ่าฟันกับเป็นวัฒนธรรมแบบเดิม”
ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงจารีต
จากเรื่องเล่าที่ผู้หญิงอ่าข่าหลายคนต้องเผชิญในอดีต ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
ชุติมาเข้าร่วมกลุ่มที่ขับเคลื่อนเรื่องการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้คนที่เป็นแกนนำในอดีตเสียชีวิตไปแล้วหลายคน แต่ชุติมายังคงดำเนินงานต่อมาอย่างแข็งขัน เธอเล่าว่าจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงมาจากการที่ชาวเนเธอร์แลนด์ผู้แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะมาเผยแผ่ศาสนา ก่อนจะค่อยๆ ผูกพันกับวัฒนธรรมอ่าข่าจากการเก็บข้อมูล
จุดที่ทำให้เริ่มมีการตั้งคำถามกับจารีตประเพณีดั้งเดิมคือการเจอการกำจัดลูกแฝดและทารกที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเกิด เพราะคนอ่าข่ามีความเชื่อเรื่องไม่เลี้ยงลูกแฝด หลังจากนั้นจึงเกิดการรวมกลุ่มในนามสมาคมอ่าข่า เคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขกฎจารีตเรื่องการกำจัดลูกแฝดในอ่าข่าที่อยู่ 5 ประเทศ คือ จีน เมียนมา ลาว ไทย เวียดนาม ซึ่งในลุ่มน้ำโขงริเริ่มขึ้นที่ประเทศไทย
“เรื่องในยุคนั้น ไม่มีใครกล้าเปลี่ยน ต้องทนอยู่อย่างนั้น บางครั้งเราฟังแค่ว่าต้องทำ แต่เราไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ เพราะไม่มีใครกล้าถามว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ต้องปฏิบัติตามอย่างเดียว
“สมัยก่อนเราไม่ได้ออกจากชุมชนไปไหน ยานพาหนะที่ไปได้ไกลที่สุดของเราคือม้า แต่ในปัจจุบัน ชุมชนเราไม่มีม้าแล้ว ทุกวันนี้ใช้มอเตอร์ไซค์และรถยนต์ คนนอกเข้ามาในชุมชนของเรา สถานการณ์เปลี่ยนไป วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป จากที่เราไม่เคยมาเรียนหนังสือข้างนอก เราก็ต้องให้ลูกหลานมาเรียนหนังสือข้างนอก หลายอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว เราเลยมีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยน” ชุติมาเล่า
“สาเหตุที่เราคิดว่าอ่าข่าต้องเปลี่ยนมีอยู่สองสาเหตุหลัก คือ หนึ่ง แต่ละประเทศก็มีกฎหมายบ้านเมืองที่กฎจารีตของเราผิดกฎหมาย และสอง ยุคสมัยเปลี่ยนไป เราไม่สามารถดำรงอยู่ใต้กฎจารีตประเพณีที่ถือมาเป็นพันปีได้ เป็นการสุกงอมของปัญหาที่เราเจอ หลายเรื่องที่เราไม่อาจรับได้ในยุคนี้ เพราะวิถีเปลี่ยนไป เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามวิถีที่เราเจอ
“เมื่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกสุกงอม เราเลยต้องลุกขึ้นมา แต่ไม่ใช่มีใครมาบอกนะว่าคุณต้องเปลี่ยน คนอ่าข่าตระหนักถึงประเด็นปัญหานี้เอง เรามาถกกันว่า ถ้าลูกสาวคุณเจอแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร ถ้าลูกชายคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้จะรู้สึกอย่างไร สังคายนาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน 20-30 ปีนะ กว่าจะเปลี่ยนแปลงได้” ชุติมาอธิบาย
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต้องดำเนินไปทั้งในทางวิธีคิดในชุมชนและการเปลี่ยนแปลงบนหน้ากระดาษอย่างเป็นทางการ การเริ่มต้นจากเรื่องกำจัดแฝดตั้งแต่แรกเกิดถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทำได้เร็ว เพราะกฎจารีตนี้ถือเป็นการผิดกฎหมายประเทศไทย จนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันทั้งกับคนนอกและคนใน
“กฎจารีตประเพณีเหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโดยอ่าข่าประเทศใดประเทศหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ต้องมีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเป็นสิบๆ ปี กว่าที่เราจะลุกขึ้นมาบอกว่าเราต้องมาสังคายนา บูรณาการ แก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ เราใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 35 ปี ตั้งแต่เริ่มคุยกันจนถึงมีการลงนามจากตัวแทนอ่าข่าสี่ประเทศ”
จากการต่อสู้อย่างยาวนาน ในปัจจุบัน ผู้หญิงอ่าข่าไม่จำเป็นต้องหาสามีใหม่ภายใน 26 วันแล้ว เมื่อท้องโดยไม่มีสามีก็ไม่ถือว่าผิดอาเพศ ผู้หญิงสามารถไหว้บรรพบุรุษได้ การมีลูกสาวโดยไม่มีลูกชายไม่ได้ทำให้ถูกตัดออกจากสายบรรพบุรุษ ไม่มีการกำจัดลูกแฝดตั้งแต่แรกเกิด ผู้หญิงสามารถปีนขึ้นหลังคาได้แล้ว และถ้าตอนนี้ยังมีการขี่ม้าในชุมชน การที่ผู้หญิงขี่ม้าก็คงไม่ใช่ปัญหาแล้ว ไปจนถึงบทบาทของผู้หญิงกับผู้ชายที่แบ่งตามความถนัด โดยไม่ได้แบ่งแยกตามจารีตประเพณี
“เราคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่เกิดเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงทำอะไรได้หลายอย่าง เราไม่ต้องพิสูจน์ว่าเรื่องไหนผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ต้องทำได้ อันนั้นมันเหมือนการแข่งขัน แต่เราควรมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ชายที่เป็นพ่อเป็นพี่น้องของเรา ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เชื่อใจซึ่งกันและกัน ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน” ชุติมากล่าว ก่อนทิ้งท้ายว่า
“อยากฝากผู้หญิงทุกคนว่าเราต้องกล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราไม่ต้องกลัว เราให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตัวดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เมื่อก่อนคิดว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าเรามั่นใจแล้วลองทำดู สุดท้ายถ้าทำได้ เราก็จะภาคภูมิใจ อยากเสริมพลังให้สตรีทุกคน จับมือเดินไปด้วยกัน”