‘เยี่ยมสุสาน’ : วันระลึกถึงผู้ล่วงลับ (All Souls’ Day) ธรรมประเพณีคริสตังไทยเชื้อสายเวียดนามริมฝั่งโขง

เยี่ยมสุสาน

1

วันระลึกถึงผู้ล่วงลับ (All Souls’ Day) ซึ่งจัดขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นธรรมประเพณีสำคัญประการหนึ่งของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก พิธีกรรมในวันดังกล่าวมุ่งเน้นการอธิษฐานเผื่อดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะผู้ที่ยังอยู่ในสภาวะ ‘ไฟชำระ’ (purgatory) เพื่อวอนขอพระเมตตาและการปลดปล่อยจากพระเจ้า ความเชื่อนี้ตั้งอยู่บนรากฐานทางเทววิทยาว่า การภาวนาและพิธีกรรมของคริสตชนที่ยังมีชีวิตสามารถช่วยให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นได้เข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พิธีกรรมที่ว่านี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อในความต่อเนื่องของชีวิตหลังความตาย ตลอดจนสะท้อนสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณระหว่างผู้มีชีวิตและผู้ล่วงลับ วันระลึกถึงผู้ล่วงลับจึงไม่ใช่วันแห่งความโศกเศร้า แต่เป็นวันแห่งความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ เป็นสะพานที่เชื่อมโลกของคนเป็นกับผู้จากไปผ่านเสียงสวด เสียงระฆัง และความศรัทธาที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในชุมชนคาทอลิกทั่วโลก

พื้นที่ชุมชนหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์ทางศาสนาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สัญลักษณ์รูปกางเขนเหนือหลังคาโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านเป็นจุดนำสายตา เป็นภาพที่ปรากฏให้เห็นมายาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) สิ่งปลูกสร้างแห่งความศรัทธานี้ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากยังเป็นเสมือนหมุดหมายสำคัญที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของชุมชนคาทอลิกริมฝั่งโขงแห่งนี้

‘อาสนวิหารนักบุญอันนา’ เป็นวัดคาทอลิกเก่าแก่ของชาวคริสตังในพื้นที่ ได้รับการสถาปนาให้เป็น ‘รองอาสนวิหาร’ ของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อของผู้คน เปรียบเสมือน ‘เมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสาร’ (seeds of the gospel) (บาเย, เกลาดิอุส, 2527) ที่ธรรมทูตรุ่นแรกได้หว่านและบุกเบิกไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง 

ที่มา: ‘สุสานหลังโบสถ์วันเสกสุสาน’ งานภาคสนาม 6 พฤศจิกายน 2564. โดยผู้เขียน
ภาพประกอบที่ 1 สุสานของชาวคริสตังไทยเชื้อสายเวียดนามมีกางไม้เขนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณใจกลางพื้นที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญทางศาสนาที่สื่อถึงความเชื่อในพระเยซูคริสต์และชีวิตหลังความตาย

‘พิธีเสกสุสาน’ ในช่วงวันระลึกถึงผู้ล่วงลับจัดขึ้น ณ สุสานหลังโบสถ์นักบุญอันนา โดยมีโบสถ์ สุสาน และแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายความศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์เป็นแกนกลางของโครงสร้างทางศาสนาและวัฒนธรรม สุสานจึงมิได้เป็นเพียงสถานที่ฝังศพเท่านั้น หากยังทำหน้าที่เป็นเวทีที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อการประกอบพิธีกรรมและถอดรหัสพื้นที่นี้ให้กลายเป็น ‘พื้นที่ของความเป็นอื่น’ (other-space) ที่เปิดโอกาสให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้เป็นและผู้ล่วงลับ นอกจากนี้ ยังสะท้อนลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายแดน และเชื่อมโยงกับประวัติการอพยพของชุมชนคาทอลิกเชื้อสายเวียดนามอย่างลึกซึ้ง

ผู้เขียนจะชวนผู้อ่านไปสัมผัส ‘พิธีกรรมแห่งวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ’ ของชุมชนคาทอลิกเชื้อสายเวียดนามริมฝั่งแม่น้ำโขง ผ่านสายตาและจังหวะชีวิตของผู้คนในชุมชนหนองแสง จังหวัดนครพนม พิธีกรรมนี้เปรียบเสมือน ‘ประเพณีแห่งการเปลี่ยนผ่าน’ (rites of passage; van Gennep, 1909) ที่เชื่อมโยงผู้คนกับศรัทธา ความทรงจำ รากเหง้าทางวัฒนธรรมของตน และบอกเล่าความผูกพันระหว่างคนรุ่นปัจจุบันกับบรรพชนที่จากไป บทความนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาภาคสนาม (ethnography) ที่เก็บเกี่ยวรายละเอียดของชีวิตประจำวัน พิธีกรรม และความเชื่อของชุมชนชายแดน พื้นที่ที่เป็นทั้ง ‘พื้นที่แห่งศรัทธา’ และ ‘พื้นที่แห่งความทรงจำ’ ของผู้คนริมโขง

ที่มา: ‘ศาสนพิธี สุสาน และความทรงจำร่วม’งานภาคสนาม 6 พฤศจิกายน 2564. โดยผู้เขียน
ภาพประกอบที่ 2 ภาพพระสงฆ์ประจำวัดทำพิธีเสกน้ำ ซึ่งมีรากฐานจากความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ การชำระ และการปกป้อง 
ในพิธีเสกสุสาน บาทหลวงจะเสกและประพรมน้ำ ตามหลุมศพ และบริเวณสุสานแก่ผู้ร่วมพิธี

2

ศาสนา พิธีกรรม และความทรงจำร่วม: กรอบการมองพิธีเสกสุสาน

พิธีเสกสุสาน ณ วัดนักบุญอันนา ชุมชนหนองแสง จังหวัดนครพนม เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา พิธีกรรม และความทรงจำร่วมของชุมชนคาทอลิกไทยเชื้อสายเวียดนาม 

การปฏิบัติพิธีกรรมนี้มิใช่เพียงการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ แต่ยังเป็นเวทีสร้างความหมายเชิงสัญลักษณ์ หล่อหลอมวิถีชีวิต และสานสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกครอบครัว และชุมชน ผู้เขียนวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ด้วยกรอบมานุษยวิทยาศาสนา (Geertz, 1973) การศึกษาพิธีกรรม (Turner, 1969; Bell, 1997) และทฤษฎีความทรงจำร่วม (Halbwachs, 1992; Connerton, 1989) เพื่อทำความเข้าใจบทบาท ความหมาย และคุณค่าของพิธีกรรมในการธำรงอัตลักษณ์ และความทรงจำร่วมของชุมชน

มานุษยวิทยาศาสนา

ในมุมมองของผู้เขียน ‘มานุษยวิทยาศาสนา’ คือกรอบการอ่านความหมายของพิธีเสกสุสาน นัยเชิงสัญลักษณ์ซึ่งหล่อหลอมทัศนะของชุมชนเกี่ยวกับชีวิตและความตายใน ‘สุสานหลังวัด’ พื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางพิธีเสกสุสานประจำปีของคาทอลิกเชื้อสายเวียดนาม

ในช่วงพิธีกรรม พื้นที่ที่เคยเงียบสงบจะคึกคักด้วยผู้คนที่มาร่วมรำลึกถึงบรรพบุรุษ สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับความตาย-โลกหลังความตาย และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่วงลับกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมีวัตถุทางวัฒนธรรม เช่น น้ำเสก เทียน ดอกไม้ และบทสวด อันเป็น ‘สื่อกลาง’ ในการเชื่อมโลกทางความรู้สึก และเป็นสัญลักษณ์ที่คอยทำหน้าที่ช่วยสื่อสารและหล่อหลอมความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมพิธี เพื่อให้ตระหนักถึงชีวิต ความทรงจำ และความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณกับผู้ล่วงลับ

การศึกษาพิธีกรรม

พื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์หลังวัดหรือที่เรียกว่า ‘สุสานหลังโบสถ์’ เป็นเวทีของพิธีกรรมที่มีขั้นตอนและความหมายเฉพาะต่อผู้คน ทั้งในด้านการเตรียมสถานที่ การเตรียมการประกอบพิธี การตั้งจิตอธิษฐาน อาหารหรือเครื่องบูชา ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนเป็นภาษาแห่งพิธีกรรม (ritualistic language) ที่ผู้เขียนมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากสามัญสภาพสู่ความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาทั้งในระดับสถานที่ (สุสาน) และระดับจิตวิญญาณ (ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ) โดยมีพิธีเสกสุสานเป็นประเพณีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ทำหน้าที่บันทึก และสร้างการรำลึกถึงอดีตผ่าน ‘ความทรงจำร่วม’ (collective memory) ระหว่างคน บ้าน และชุมชน

ความทรงจำร่วมมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของพิธีเสกสุสาน

การประกอบพิธีเสกสุสานช่วยให้ผู้เข้าร่วมเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันในลักษณะของความทรงจำร่วม พวกเขามิได้เพียงรำลึกถึงผู้ล่วงลับเท่านั้น แต่ยังจำแนก เล่าขาน และตีความเรื่องราวของผู้ตายในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และชุมชน พิธีเสกสุสานของชาวคาทอลิกเชื้อสายเวียดนามริมฝั่งโขงจึงเสมือนเป็นการยืนยันอัตลักษณ์ของตนเอง อันเป็นเครื่องหมายทางวัฒนธรรม (cultural marker) ที่สื่อถึงความต่อเนื่องของชุมชนและความแตกต่างจากกลุ่มอื่น นอกจากนี้ พิธีกรรมยังช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและยอมรับความสูญเสียผ่านการสวดภาวนา การอุทิศส่วนกุศล และการรวมตัวของครอบครัว 

การวิเคราะห์พิธีเสกสุสานเกิดจากการสังเกต-สะสมข้อมูลภาคสนามของผู้เขียน ทำให้เห็นศาสนพิธี
ที่เชื่อมมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมชุมชนที่ร้อยรัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน สัญลักษณ์ในธรรมประเพณีการสืบทอดเรื่องราวและคุณค่าของอดีตจนเกิดเป็นศรัทธา-แรงปรารถนาในพิธีกรรม ความผูกพันภายใต้ความทรงจำผ่านพิธีกรรม ความเชื่อ และความหมายร่วมกันกับคนและชุมชน

3

วันเสกสุสานศาสนพิธีกรรม สัญลักษณ์ ศรัทธา และแรงปรารถนา

พิธีเสกสุสาน ณ สุสานหลังโบสถ์วัดนักบุญอันนาหนองแสง เป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยง ‘โลกของคนเป็น’ เข้ากับ ‘โลกของผู้ล่วงลับ’ ผ่านกระบวนการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและธรรมประเพณีของชุมชนอย่างเป็นระบบ 

พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยการประกอบมิสซา ตามด้วยการโปรยน้ำเสก และการอธิษฐานเผื่อดวงวิญญาณของผู้จากไป ซึ่งสะท้อนความเชื่ออันลึกซึ้งเกี่ยวกับ ‘ชีวิตหลังความตาย’ ตามหลักความเชื่อคาทอลิก ภายใต้บรรยากาศของความศรัทธา การรวมตัวของครอบครัวไม่เพียงเป็นการประกอบพิธีร่วมกันเท่านั้น หากยังเป็นการธำรงสายสัมพันธ์ทางสังคม และจิตวิญญาณของชุมชนริมฝั่งโขง

ที่มา: ‘ธรรมประเพณี แรงปรารถนา และศาสนพิธีการ’ งานภาคสนาม 9 พฤศจิกายน 2567. โดยผู้เขียน
ภาพประกอบที่ 3 พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีกรรม, บาทหลวงหรือพระสงฆ์ประจำวัดกล่าวบทภาวนาเสียงสวดมนต์ และบทสรรเสริญศักดิ์สิทธิ์ดังแผ่วกังวาน สะท้อนถึงความศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ และการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับในพิธีเสกสุสาน

ผู้เขียนได้สนทนากับชาวไทยเชื้อสายเวียดนามครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเล่าเรื่องราวของตนว่าช่วงเวลาก่อนวันพิธีเสกสุสานมักเรียกว่า ‘ช่วงเตรียมงาน’ โดยราวสองสัปดาห์ก่อนพิธี เครือญาติจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปที่ ‘บ้านหลังใหม่’ ซึ่งคือที่ตั้งหลุมศพของบรรพบุรุษในทุกเช้า-เย็น เพื่อตรวจตราความเรียบร้อย และทำความสะอาดหลุมศพ นอกจากนี้ พวกเขายังเล่าว่าพิธีเสกสุสานเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับต่างรอรับส่วนบุญจากลูกหลาน จึงถือเป็นธรรมประเพณีสำคัญและเป็นมหาบุญประจำปีที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม

เรื่องราวข้างต้นถูกเล่าโดย คุณโย หญิงไทยเชื้อสายเวียดนาม ลูกหลานรุ่นที่สี่ของบ้าน เธอเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนหนองแสงตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนจะย้ายไปปักหลักทำงานและสร้างครอบครัวที่กรุงเทพฯ แต่ทุกๆ ปีเธอจะเดินทางกลับมานครพนมในช่วงเทศกาลนี้เพื่อร่วมประกอบพิธีกรรมรำลึกถึงบรรพบุรุษที่สุสานหลังโบสถ์ ซึ่งเธอเรียกการกลับมาในทุกครั้งว่า ‘เยี่ยมสุสาน’ กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดหลุมศพ หรือ ‘บ้านหลังใหม่’ ของพ่อและบรรพบุรุษ แม้หน้าที่ดูแลประจำจะเป็นของพี่ชายและญาติผู้ชายในตระกูลที่ขันอาสาดูแลอยู่แล้ว หากแต่เธอและญาติพี่น้องคนอื่นก็จะร่วมกันเตรียมดอกไม้ เทียนหอม และเครื่องประดับเพื่อตกแต่งหลุมฝังให้สวยงาม

ผู้เขียนเห็นว่า การเตรียมสุสานจนถึงการเยี่ยมสุสานของคุณโย มิใช่เพียงกิจกรรมดูแลด้านกายภาพเท่านั้น หากเป็นกระบวนการทางวัฒนธรรมที่หลอมความรู้สึกร่วมของครอบครัวด้วยการดูแลหลุมศพของบรรพบุรุษ ซึ่งทำหน้าที่ตอกย้ำความผูกพันระหว่างลูกหลานกับ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ศูนย์กลางของความทรงจำร่วมที่เชื่อมโยงผู้คน พื้นที่ และกาลเวลาเข้าด้วยกัน ดังนั้น การดูแลสุสานจึงเป็นการผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางสังคมและจิตวิญญาณ ทำให้สุสานทำหน้าที่เป็น ‘ปิตุภูมิ’ ที่เชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมทั้งตอกย้ำความกตัญญู และการสืบทอดคุณค่าของธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเหนียวแน่น

ใกล้เวลาเริ่มพิธี ผู้เขียนเดินเท้าเข้าสู่พื้นที่สุสานหลังโบสถ์หนองแสง ท่ามกลางกลุ่มผู้คนที่ทยอยมาถึงพร้อมกัน ส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นกลุ่มหรือครอบครัว แต่ละกลุ่มช่วยกันหอบหิ้วข้าวปลาอาหารและข้าวของเครื่องใช้ เพื่อใช้ร่วมรับประทานอาหารภายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศคึกคักและอบอวลด้วยความรู้สึกของการรวมญาติและความศรัทธา เมื่อกวาดสายตาไปรอบบริเวณ จะเห็นการจับจองพื้นที่สำหรับตั้งแผงจำหน่ายสิ่งของที่จำเป็นต่อพิธีกรรม เช่น แผงขายดอกไม้และช่อดอกไม้ช่อละ 100 บาท แผงขายเทียนแก้วหลากสีและเทียนไขกล่องละ 100 บาท นอกจากนี้ ยังมีซุ้มและแผง ‘โรงทาน’ สำหรับแจกจ่ายอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้มาร่วมงาน ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ชุมชนรับรู้และปฏิบัติสืบต่อกันมา

‘เวลาประสบการณ์’ (the experienced time) (ทุติยาภรณ์ ภูมิดอนมิ่ง, 2567) วันเสกสุสานเวลา 17.00 นาฬิกา วัดนักบุญอันนา ณ สุสานหลังโบสถ์ ผู้เขียนและครอบครัวของคุณโยเร่งรีบลำเลียงดอกไม้ที่จัดไว้เป็นช่อสวยงามวางประดับบ้านหลังใหม่ทุกหลัง เริ่มต้นตั้งแต่บ้านของพ่อ แล้วตามด้วยของบรรพบุรุษจนครบทุกหลุม จากนั้นประดับประดาด้วยเทียนแก้วหลากสี ซึ่งพร้อมจะจุดให้สว่างไสวในเวลาจวนพลบค่ำ 

สักพักเสียงระฆังจากโบสถ์ดังก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนทยอยเดินทางมาพร้อมดอกไม้ ธูปเทียน และอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความศรัทธา ระหว่างจัดหลุมและวางดอกไม้ ธูปเทียน ลูกหลานในตระกูลต่างเล่าขานเรื่องราวชีวิตของตนเองต่อบรรพบุรุษ พวกเขาไม่เพียงขอพร แต่ยังถ่ายทอดความทรงจำ ความกตัญญู และเชื่อมโยงโลกของคนเป็นกับผู้ล่วงลับท่ามกลางบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ในสุสาน

ระหว่างเวลานั้นพิธีกรรมเริ่มดำเนินไป ‘ผู้นำพิธี’ ซึ่งหมายถึงพระสงฆ์หรือบาทหลวงประจำวัดเริ่มเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์และกล่าวบทภาวนา เสียงสวดดังประสานพร้อมเพรียงกับเสียงขับร้องบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ทั้งภาษาไทยและเวียดนาม สะท้อนการเชื่อมโยงทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชน น้ำเสกถูกพรมบนหลุมศพที่เรียงรายกว่า 100 หลุม ท่ามกลางสีเรียบขรึมของกระเบื้องและหินอ่อน ป้ายชื่อที่สลักด้วยภาษาไทยและเวียดนามบอกเล่าเรื่องราวของบรรพชนชาวเวียดนามคาทอลิกซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานในนครพนม สุสานจึงทำหน้าที่ทั้งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและเป็นที่พักพิงสุดท้ายของผู้ล่วงลับ

ระหว่างพิธี พระสงฆ์จะนำขบวนเวียนรอบสุสานเพื่อโปรยน้ำเสก ขณะที่ผู้เข้าร่วมต่างตอบรับบทสวดเป็นจังหวะเดียวกัน พิธีกรรมนี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงมิติของมนุษย์กับพระเจ้า รวมทั้งสร้างความทรงจำร่วมระหว่างคนรุ่นปัจจุบันกับบรรพชนผู้ล่วงลับ หลังเสร็จสิ้นพิธี แต่ละครอบครัวจะไปเยี่ยมหลุมศพของญาติ จุดเทียน ธูป ภาวนาเฉพาะบุคคล และร่วมรับประทานอาหารกับสมาชิกชุมชน 

พิธีเสกสุสานเป็นมากกว่ากิจกรรมทางศาสนา เป็นกระบวนการทางสังคมที่สร้างอัตลักษณ์ ความทรงจำ และความผูกพันของสมาชิกชุมชน ผ่าน ‘สัญลักษณ์ในธรรมประเพณี’ ที่สื่อสารความหมายเชิงลึกถึงความบริสุทธิ์ ความเชื่อ การรำลึก และการอวยพร 

สถานที่ หลุมศพ ป้ายชื่อ ดอกไม้ และบทเพลง ล้วนเป็นสื่อแห่งความทรงจำ ความรัก และความหวัง พิธีกรรมนี้จึงเปรียบได้กับเวทีที่ศาสนา วัฒนธรรม และความทรงจำร่วมของชุมชนคาทอลิกเชื้อสายเวียดนามมาบรรจบกันอย่างงดงามและทรงความหมาย

ที่มา: ‘ท้องฟ้ามีมิติเรื่องเวลา’ งานภาคสนาม 9 พฤศจิกายน 2566. โดยผู้เขียน
ภาพประกอบที่ 4 ครอบครัวและญาติมารวมตัวที่สุสานเพื่อสวดภาวนา ระลึกถึงผู้ล่วงลับ ทำความสะอาด ตกแต่งหลุมศพด้วยดอกไม้และเทียนหอม พร้อมถวายอาหารและเครื่องบูชา การปฏิบัติเหล่านี้สะท้อนความศรัทธา ความกตัญญู และเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณระหว่างผู้มีชีวิตกับผู้ล่วงลับ

4

สรุปส่งท้าย

‘เสกสุสาน’ ความตาย ความหมาย ความทรงจำในสุสานคาทอลิกริมฝั่งโขง

พิธีเสกสุสานเป็นธรรมประเพณีสำคัญของชุมชนคาทอลิกเชื้อสายเวียดนาม สะท้อนความกตัญญูต่อบรรพชนและความเชื่อมั่นในชีวิตหลังความตาย พิธีกรรมนี้เปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้แสดงอัตลักษณ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ผ่านการประกอบศาสนพิธีร่วมกัน ทั้งยังเป็นการแสดงศรัทธาต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และการเชื่อมโยงความทรงจำร่วมระหว่างบรรพบุรุษ ครอบครัว และชุมชน อันเป็นแรงปรารถนาลึกซึ้งในการรำลึกถึงผู้ล่วงลับ กลายเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้พิธีนี้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ความทรงจำร่วม’ ที่หล่อหลอมความเป็นชุมชนอย่างแนบแน่น

กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว วันระลึกถึงผู้ล่วงลับของชาวคาทอลิกเชื้อสายเวียดนามในหนองแสงจึงมีความหมายลึกซึ้งทั้งในมิติศาสนา วัฒนธรรม และสังคม ไม่เพียงเป็นศาสนกิจ แต่ยังทำหน้าที่เป็นกลไกในการธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เวียดนาม สร้างความทรงจำร่วม และเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ประเพณีดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ช่วยรักษาและสืบสานความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เวียดนามริมฝั่งโขง

เอกสารอ้างอิง

ทุติยาภรณ์ ภูมิดอนมิ่ง. (2567). เวลาประสบการณ์: การดำรงอยู่ในมรณพิธีของชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม 

วัดนักบุญอันนา ชุมชนหนองแสง จังหวัดนครพนม.วารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และ

สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร , 20(2), 16-45.

บาเย, เกลาดิอุส. (2527). ประวัติการเผยแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว. 

            (ไมเคิ้ล เกี้ยน เสมอพิทักษ์, ผู้แปล). ม.ป.พ..

Bell, C. (1997). Ritual: Perspectives and dimensions. Oxford University Press.

Connerton, P. (1989). How societies remember. Cambridge University Press.

Geertz, C. (1973). The interpretation of cultures. Basic Books.

Halbwachs, M. (1992). On collective memory (L. A. Coser, Trans.). University of Chicago Press.

Turner, V. (1969). The ritual process: Structure and anti-structure. Aldine Publishing.

van Gennep, A. (1960). The rites of passage (M. B. Vizedom & G. L. Caffee, Trans.). University 

of Chicago Press.

ขอขอบคุณ

ครอบครัวคุณเยาวธิดา พนมอุปถัมภ์ ครอบครัวชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ชุมชนหนองแสง จังหวัดนครพนม ที่ถ่ายทอดความรู้สึก ความทรงจำ เรื่องราวสำคัญพร้อมกับเป็นผู้นำทางให้สัมผัสบรรยากาศ และความหมายของพิธีกรรมพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ริมฝั่งโขงอย่างลึกซึ้ง

เยี่ยมสุสาน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save