เสียงสะท้อนจากการสังหารหมู่ – Shostakovich symphony no.11

ผู้เขียนเคยเขียนบทความเกี่ยวกับซิมโฟนีหมายเลข 7 ของดมิทรี ชอตสตาโควิช (Dmitri Shostakovich) ที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากและความอัตคัดในช่วงสงคราม ในบรรดาผลงานการประพันธ์ซิมโฟนีจำนวนหลายชิ้นของคีตกวีผู้นี้ อีกหนึ่งผลงานที่นับว่าควรค่าแก่การสดับฟัง และเป็นบทเพลงที่ใช้ศักยภาพของวงออเคสตราออกมาได้อย่างเต็มที่ คือซิมโฟนีหมายเลข 11 ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชน ปี 1905 ในช่วงเวลาที่พระเจ้าซาร์ยังคงปกครองรัสเซีย


เชื้อไฟการสังหารหมู่ในรัสเซีย ปี 1905


รัสเซียในช่วงปลายทศวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง ทั้งจากการเข้ามาของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี การเลิกทาส รวมไปถึงการแพร่เข้ามาของอุดมการณ์ทางการเมืองและความคิดต่างๆ จากยุโรปตะวันตก ขณะที่ราชสำนักรัสเซียภายใต้การปกครองของพระเจ้าซาร์ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศอนุรักษนิยมอย่างเข้มข้น โดยนับตั้งแต่ปี 1880 เป็นต้นมา ระบบทุนนิยมค่อยๆ ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในรัสเซีย ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่อย่างชนชั้นกลางและชนชั้นกรรมาชีพ

การเกิดขึ้นของชนชั้นใหม่เหล่านี้ส่งผลให้เกิดกลุ่มปัญญาชนขึ้นในรัสเซียด้วยเช่นกัน นำมาสู่การปะทะกันทางความคิดในสังคม เกิดการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์และระบอบการปกครอง รวมถึงเกิดกลุ่มทางการเมืองที่วางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าซาร์อย่างเปิดเผย ในฐานะตัวแทนเสียงสะท้อนจากประชาชนที่มีความเป็นอยู่อันแร้นแค้น โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกรที่บางส่วนถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาประเทศ

สภาวการณ์ดังกล่าวได้ทบทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น เมื่อรัสเซียต้องพ่ายแพ้สงครามแก่ญี่ปุ่น ภายหลังจากที่สงครามจบลง สภาเซมสท์โวได้มีมติในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1904 เรียกร้องให้มีการจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎร และมอบเสรีภาพแก่ประชาชน โดยข้อเรียกร้องดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปทั่วประเทศผ่านทางสมาคมอาชีพต่างๆ ซึ่งรัฐบาลได้ใช้วิธีปราบปราม ทั้งการข่มขู่และประนีประนอมกับผู้เรียกร้องแล้ว หากแต่ไม่เป็นผล[1]

เมื่อไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงแม้พยายามเรียกร้องผ่านทางสถาบันและการรวมกลุ่มผ่านสมาคมต่างๆ ในเดือนมกราคม ปี 1905 เหล่ากรรมกรจึงรวมตัวกันเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมือง และกฎหมายคุ้มครองให้สภาพการทำงานของแรงงานดีขึ้นต่อพระเจ้าซาร์โดยตรง โดยเป็นการเดินขบวนเรียกร้องอย่างสันติ นำโดยเกอร์กี กาปอน (Georgy Gapon) จัดขึ้นในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ปลายทางคือจัตุรัสหน้าพระราชวังฤดูหนาว[2] ซึ่งผู้เข้าร่วมได้นำสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและพระเจ้าซาร์มาร่วมเดินขบวนด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 (Nicolas II) มิได้ประทับอยู่ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ดังนั้น การปราบปรามผู้เดินขบวนจึงกระทำโดยแกรนด์ดยุกวลาดิมีร์ อเล็กซานโดรวิช (Grand Duke Vladimir Alexandrovich) ผู้เป็นลุงของพระเจ้าซาร์และทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจในขณะนั้น ความรุนแรงของการปราบปรามทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยราย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก กลายเป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่สร้างรอยร้าวระหว่างประชาชนและสถาบันกษัตริย์ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการลุกขึ้นประท้วงของประชาชนในอีกหลายเมือง จนลุกลามกลายเป็นการปฏิวัติในปี 1905

เหตุการณ์สังหารหมู่ในเดือนมกราคม ค.ศ.1905 คราวนั้นถูกเรียกในภายหลังว่าเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday)[3]


Shostakovich และสัมพันธ์ซับซ้อนกับรัฐบาลเผด็จการ


บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 11 โดยชอตสตาโควิชนั้น ประพันธ์ขึ้นในปี 1957 และออกแสดงรอบปฐมทัศน์ในปีเดียวกัน โดยประพันธ์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปี การปฏิวัติรัสเซีย เมื่อปี 1917 ซึ่งเจ้าตัวใช้แรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในปี 1905 มาเป็นเหตุการณ์ต้นแบบสำหรับการประพันธ์เพลง

อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว โจเซฟ สตาลิน ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษได้เสียชีวิตลงแล้ว ทำให้บรรยากาศทางการเมืองในสหภาพโซเวียตผ่อนคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย กระนั้นรูปแบบงานศิลปะยังคงถูกควบคุมโดยรัฐบาลผ่านแนวทางสัจนิยมสังคมนิยมอยู่ และเนื่องในวาระระดับชาตินี้ นอกจากชอตสตาโควิชที่ต้องร่วมประพันธ์ผลงานเพื่อเฉลิมฉลองแล้ว คีตกวีและศิลปินท่านอื่นยังต้องสร้างสรรค์ผลงานด้วยเช่นกัน[4]

เนื่องจากรัฐบาลโซเวียตใช้เหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด และการปฏิวัติในปี 1905 เป็นหมุดหมายสำคัญในการวางเส้นเรื่อง (narrative) ทางประวัติศาสตร์ปูทางไปยังการปฏิวัติรัสเซียที่จะเกิดในอีกทศวรรษให้หลัง อีกทั้งยังยกย่องเหตุการณ์ดังกล่าวเปรียบเหมือนมรณสักขี (martyrs)[5] การประพันธ์เพลงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวจึงย่อมก้าวไม่พ้นข้อครหาจากสาธารณชน และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการสรรเสริญ (glorify) พรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่ แน่นอนว่าคำถามดังกล่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงสำหรับผู้ชมและผู้ฟัง เพราะถึงแม้ชอตสตาโควิชจะเป็นคีตกวีที่มีท่าทีต่อต้านรัฐบาลเผด็จการและสตาลินอย่างแข็งขันผ่านบทเพลงหลายชิ้น แต่การแต่งเพลงที่มุ่งเน้นสรรเสริญเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรัฐเป็นผู้ถืออำนาจในการจัดทำและตีความประวัติศาสตร์ ก็สามารถตีความว่าเป็นการสนับสนุนอุดมการณ์ของรัฐได้เช่นกัน[6]

อย่างไรก็ตาม ชอตสตาโควิชได้จัดวางผลงานซิมโฟนีหมายเลข 11 ของตนเอาไว้ในมุมมองที่มีความเป็นส่วนตัวสูง โดยมองว่าเป็นโศกนาฏกรรมของชาติ และเขาใช้เหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือดเป็นบริบทก่อนหน้า (pre-context) สำหรับเหตุการณ์การบุกรุกและเข้าปราบการประท้วงของประชาชนโดยกองทัพสหภาพโซเวียตในฮังการีเมื่อปี 1956[7]

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และข้อครหาจากผู้ฟัง ซิมโฟนีหมายเลข 11 เป็นหนึ่งในผลงานการประพันธ์ที่ได้รับรางวัลทั้งในและนอกรัสเซียจำนวนหลายรางวัล[8] เพราะอย่างไรเสีย บทเพลงชิ้นดังกล่าวย่อมเป็นที่ถูกใจและตรงต่อความต้องการของรัฐเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่การได้รับรางวัลบนเวทีนานาชาติยังแสดงให้เห็นถึงภาวะย้อนแย้งระหว่างความเป็นหัวขบถของชอตสตาโควิช และความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเจ้าตัวกับรัฐบาล


บรรยากาศการสังหารหมู่ในเสียงดนตรี


YouTube video


บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 11 ดำเนินรูปแบบการประพันธ์ตามฉันทลักษณ์ของบทเพลงประเภทซิมโฟนี กล่าวคือมีมูฟเมนต์ (movement) ในเพลงทั้งสิ้น 4 มูฟเมนต์ แสดงถึงเหตุการณ์ในวันอาทิตย์นองเลือดตั้งแต่ต้นจนจบ และการมาถึงของยุคใหม่ภายหลังจากเหตุการณ์นองเลือดดังกล่าวจบลง

ในมูฟเมนต์แรก ชอตสตาโควิชเลือกใช้วงออเคสตราในการสร้างเสียงและบรรยากาศของจัตุรัสหน้าพระราชวังฤดูหนาวที่ยังไม่มีผู้ชุมนุมและผู้เดินขบวนปรากฏตัว มีแต่เพียงความว่างเปล่าและลมหนาวพัดผ่าน พร้อมกันนั้นในมูฟเมนต์นี้เอง ผู้ประพันธ์ยังสอดแทรกเสียงแตรของกรมตำรวจเอาไว้ ซึ่งจะกลายเป็นเสียงที่สำคัญในมูฟเมนต์ถัดไป

มูฟเมนต์ที่สอง เรียกได้ว่าเป็นมูฟเมนต์ ‘ไคลแมกซ์’ ของซิมโฟนีชิ้นดังกล่าว เพราะเป็นมูฟเมนต์ที่ชอตสตาโควิชบรรจุเอาท่วงทำนองของการสังหารหมู่เอาไว้ โดยต่อเนื่องมาจากมูฟเมนต์แรกในบริเวณจัตุรัสหน้าพระราชวังฤดูหนาวที่ผู้เดินขบวนเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ก่อนที่ความหวาดกลัวของผู้เดินขบวนจะค่อยๆ แพร่ออกไปหลังจากที่เสียงแตรของกรมตำรวจดังขึ้น

ชอตสตาโควิชใช้เครื่องสายภายในวง (ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส) เล่นท่วงทำนองที่แสดงถึงความหวาดกลัวด้วยเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่ม จนกระทั่งเครื่องสายทุกชิ้นบรรเลงอยู่ในท่วงทำนองเดียวกัน ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความวุ่นวายในหมู่ผู้เดินขบวน ก่อนที่ทุกอย่างจะชะงักลงเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อเสียงกลองซึ่งทำหน้าที่แทนเสียงปืนกลได้บรรเลงขึ้น ประหนึ่งการสังหารหมู่ได้เริ่มต้นขึ้นในบทเพลง และทำให้ท่วงทำนองเต็มไปด้วยความเลือดเย็นอย่างถึงที่สุด

แม้ว่าเสียงดนตรีจะมิอาจถ่ายทอดเสียงกรีดร้องของผู้เดินขบวนได้ แต่ก็ได้ถ่ายทอดความหวาดกลัวและความโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาปราบปรามผู้เดินขบวนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายกลับกลายเป็นความเงียบอีกครั้ง มูฟเมนต์ที่สองนี้ถูกมองว่าเปรียบเหมือนภาพยนตร์แบบไม่มีภาพ[9] เพียงแค่การบรรยายผ่านดนตรีก็สามารถทำให้ผู้ฟังเห็นภาพความโหดร้ายและหดหู่ได้ชัดเจน

เมื่อเข้าสู่มูฟเมนต์ที่สาม จากธีม (theme) ของการเดินขบวนและการสังหารหมู่ในช่วงสองมูฟเมนต์ก่อนหน้าได้แปรเปลี่ยนเป็นความสูญเสีย และกล่าวถึงวีรชนที่หล่นลับหาย โดยชอตสตาโควิชเลือกใช้บทเพลงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัสเซียมาเป็นท่วงทำนองประกอบมูฟเมนต์ดังกล่าว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพลงที่เจ้าตัวเคยฟังหรือเคยได้ยินเมื่อครั้งเยาว์วัยที่การปฏิวัติยังคงคุกรุ่น[10]

ในมูฟเมนต์สุดท้าย ชอตสตาโควิชยังคงใช้ท่วงทำนองที่เคยใช้ในสามมูฟเมนต์ก่อนหน้าเป็นองค์ประกอบเพื่อความต่อเนื่องของบทเพลง ขณะเดียวกัน ก็แปรเปลี่ยนท่วงทำนองที่เคยเต็มไปด้วยความโศกเศร้าให้กลายเป็นการตื่นรู้ของปวงชน พร้อมทั้งชัยชนะของจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติ และรุ่งอรุณของยุคใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามา[11] ผู้ฟังสามารถสังเกตได้ผ่านการใช้ระฆังเข้ามาประกอบในบทเพลง เพื่อสื่อถึงชัยชนะและอรุณรุ่งของการปฏิวัติ

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ผลงานการประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 11 ของชอตสตาโควิชจะถูกตั้งคำถามถึงจุดยืนทางการเมืองของเจ้าตัว แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าซิมโฟนีชิ้นดังกล่าว เป็นหนึ่งในบทเพลงที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการดนตรีคลาสสิกและดนตรีโลก เป็นบทเพลงที่ทลายขีดจำกัดของวงออเคสตรานับตั้งแต่หลังจากยุคสงครามโลกทั้งสองครั้ง แม้ว่ามิอาจเทียบกับความยิ่งใหญ่ในซิมโฟนีของมาห์เลอร์ (Mahler) แต่การสร้างสรรค์เสียงดนตรีที่ใช้บรรยายสังหารหมู่ในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียได้อย่างเหนือชั้น ทั้งถ่ายทอดบรรยากาศของการเดินขบวน การสังหารหมู่แล้ว และความหวังต่อความเปลี่ยนแปลงของยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง ก็นับได้ว่ามีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน




[1] ผุสดี จันทวิมล, รัสเซีย จักรวรรดิพันปีที่ยิ่งใหญ่, (กรุงเทพฯ: ยิปซี, 2564), 434-437.

[2] Encyclopedia Britannica, s.v. “Bloody Sunday,” accessed September 21, 2025, https://www.britannica.com/event/Bloody-Sunday-Russia-1905.

[3] ผุสดี จันทวิมล, รัสเซีย จักรวรรดิพันปีที่ยิ่งใหญ่, 437-439; Encyclopedia Britannica, s.v. “Bloody Sunday,”.

[4] Harlow Robinson, “Symphony no.11 in G minor, Opus 103, The Year 1905,” Boston Symphony Orchestra, accessed September 21, 2025, https://www.bso.org/works/shostakovich-symphony-no-11-the-year-1905.

[5] Ibid.

[6] “Musical Echoes of Revolution: Shostakovich’s Symphony no.11, The Year 1905,” Houston Symphony, November 22, 2023, https://houstonsymphony.org/musical-echoes-of-revolution-shostakovichs-symphony-no-11-the-year-1905/.

[7] Tomasz Cyz, “Dmitri Shostakovich, Symphony no.11 in G minor ‘The Year 1905’ (1957),” Hi-story Lessons, accessed September 21, 2025, https://hi-storylessons.eu/article/dmitri-shostakovich-symphony-no-11-in-g-minor-the-year-1905-1957/.

[8] Ibid.

[9] Ibid.

[10] Tomasz Cyz, “Dmitri Shostakovich, Symphony no.11 in G minor ‘The Year 1905’ (1957)”; Harlow Robinson, “Symphony no.11 in G minor, Opus 103, The Year 1905,”.

[11] “Musical Echoes of Revolution: Shostakovich’s Symphony no.11, The Year 1905,” Houston Symphony.

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save