ดีลนำเข้า ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’: เกษตรกรตาย ทุนใหญ่โต ผู้บริโภคไม่อยู่ในสมการ?

มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาหลังการขึ้นมาของโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากสร้างแรงสั่นสะเทือนให้การเมืองและเศรษฐกิจโลกแล้ว ผลกระทบยังส่งต่อมาถึงเกษตรกรคนเล็กคนน้อยตามเรือกสวนไร่นาในไทย

หลังฝ่ายสหรัฐฯ เคาะอัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่ 19% ก็เริ่มมีข้อมูลรายการสินค้าที่ฝั่งไทยเสนอเปิดการค้าเสรี 0% ให้สหรัฐฯ หนึ่งในสินค้าสำคัญคือ ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’ ที่มีการเปิดเผยว่าจะนำเข้ามา 3 ล้านตัน เนื่องจากเกษตรกรไทยไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

ในเดือนสิงหาคม หลังมีข่าวการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ที่มีราคาถูกกว่าข้าวโพดไทย โรงงานอาหารสัตว์หลายแห่งพร้อมใจกันปิด งดรับซื้อหรือจำกัดการซื้อข้าวโพดจากเกษตรกร ส่งผลให้ราคาข้าวโพดดิ่งลง จาก 8-9 บาท เหลือ 3-5 บาท จนชาวไร่ข้าวโพดออกมาประท้วง

น่าสังเกตว่าในสภาวะที่ข้าวโพดในประเทศผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผลิตอาหารสัตว์ เหตุใดเกษตรกรจึงยังขายสินค้าได้ในราคาต่ำ

แม้ในปลายเดือนสิงหาคมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) จะพยายามแก้ปัญหาราคาตกต่ำด้วยการประกาศราคารับซื้อที่ 9.80 บาทตามที่เคยตกลงกันไว้ แต่ต้องจับตาต่อไปถึงปัญหาใหญ่ที่รออยู่ว่าภาครัฐมีการจัดการรับมืออย่างไร เมื่อการนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทำลายผู้ปลูกข้าวโพดรายย่อยไทยให้หายไปจากอุตสาหกรรม

วันโอวันคุยกับ ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนและประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร และ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ถึงปัญหาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งด้านผลกระทบ อำนาจการต่อรองที่ไม่เท่าเทียม และข้อเสนอแนะในการรับมือปัญหาต่อไป

ผลกระทบตั้งแต่ยังไม่เริ่มนำเข้าจากสหรัฐฯ

ณรงเดชเริ่มจากการชวนมองผลกระทบระยะสั้นของการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ว่า เพียงแค่มีข่าวการนำเข้าโดยยังไม่เริ่มนำเข้าจริงก็ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศผันผวนแล้ว

“โรงงานอาหารสัตว์เริ่มวางแผนที่จะไม่ใช้ผลผลิตในประเทศ มีการหยุดรับซื้อข้าวโพด มีการปิดเครื่องจักร ปิดโรงงาน ทั้งที่เพิ่งมีการพูดถึงการนำเข้า ยังไม่มีการนําเข้าจริง แต่ทําให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศตกทันที”

ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราว 8.44-9.2 ล้านตันต่อปี (ตัวเลขจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย) โดยในจำนวนนี้มีทั้งข้าวโพดในประเทศ ข้าวโพดนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา, ลาว, กัมพูชา) นอกจากนี้ยังมีความต้องการวัตถุดิบอาหารสัตว์ในกลุ่มพลังงานประเภทอื่น เช่น มันสำปะหลัง รำข้าว ปลายข้าว ข้าวสาลี เป็นต้น

“ถ้ามีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ เข้ามาจะทดแทนสินค้าเกษตรส่วนนี้ทั้งหมดเลย ผลกระทบระยะสั้นคือทำให้ราคาสินค้าเกษตรผันผวน แล้วยังมีผลกระทบข้างเคียงคือราคารำข้าว จากปีที่ผ่านมาราคา 9.60 บาท/กก. ปีนี้ตกลงเหลือ 6.60 บาท/กก. ลดลงกว่า 30% เนื่องจากว่ารําข้าวใช้ทดแทนอาหารสัตว์ในส่วนคาร์โบไฮเดรตได้

“ส่วนปัญหาระยะยาวก็คือ ถ้าสินค้าเกษตรในกลุ่มนี้ทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะทําอย่างไร เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก 400,000 ครัวเรือนที่ยังเหลืออยู่จะทําอย่างไร ที่ผ่านมาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่มีความชัดเจนแน่นอนว่าจะมีผู้ซื้อ เนื่องจากเป็นสินค้าขาดแคลน มีหลักประกันความมั่นคงระดับหนึ่ง ปลูกมาแล้วสามารถขายได้ แต่ถ้านำเข้าจนกระทบแล้วจะให้เขาไปทำอะไร รัฐต้องลงทุนให้เขาพัฒนา อย่างการอบรมหรือสรรหาโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่มีความจําเป็น แต่ถ้ารัฐบอกว่าให้เลิกปลูก แล้วเกษตรกรกลุ่มหนึ่งที่สูงอายุ พอเลิกไปเขาก็ไม่มีอาชีพ ก็เป็นหน้าที่รัฐต้องเข้าไปดูแลอยู่ดี ดังนั้น ผมคิดว่าผลกระทบค่อนข้างมากแล้วรัฐไม่สามารถดูแลได้” ณรงเดชกล่าว

ปัจจุบันภาครัฐมี ‘มาตรการ 3 ต่อ 1’ เพื่อปกป้องสินค้าเกษตรไทย คือผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน จึงจะนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน โดยมาตรการนี้จะถูกปรับใช้กับการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่เผยแพร่ออกมานั้นคือไทยจะนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ ประมาณ 3 ล้านตัน

“รัฐบาลบอกว่านำมาตรการ 3 ต่อ 1 มาใช้ในการนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ นี่เป็นมาตรการเดียวที่บังคับให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์จําเป็นต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ แต่หากเราจะซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ 3 ล้านตัน ถ้ายังใช้โควตา 3 ต่อ 1 หมายความว่าผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเป็นจำนวน 9 ล้านตัน ขณะที่ตัวเลขการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านตัน

“สุดท้ายเรากังวลว่าจะมีการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดเลยโดยไม่มีกรอบมาตรการ 3 ต่อ 1 สมมติว่ายกเลิกมาตรการนี้ไปก็จะไม่มีอะไรรับประกันผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเลยว่าทางโรงงานต้องรับซื้อจากเขา เพราะข้าวโพดจากต่างประเทศที่นำเข้าราคาถูกกว่า” ณรงเดชกล่าว

เขายังมองว่าราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นำเข้าปัจจุบันแตกต่างกันประมาณ 2 บาท/กก. หากรัฐต้องชดเชยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ผลิตในประเทศทั้งหมด 5 ล้านตัน จะต้องใช้เงินถึงปีละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างผลกระทบทั้งต่อเกษตรกรไทยและการคลังของรัฐ

“เรื่องการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบันผมคิดว่าเราพูดคุยกันในเชิงรายละเอียดไม่มากพอ ทั้งเรื่องขนาดของผลกระทบ แนวทางในการรับมือ หรือกระทั่งว่าการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐ อเมริกาเป็นแนวทางที่ดีหรือเปล่าที่เราไปเจรจาต่อรอง” ณรงเดชกล่าว

ข้าวโพดขาดแคลน แต่ราคาตก?

หากมองว่าปัจจุบันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ จึงดูจะเป็นแนวทางที่สมเหตุผลแล้วหรือไม่

ในมุมมองของวิฑูรย์ เขาเน้นย้ำว่าหากมีการนําเข้าต้องจัดการให้ไม่เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกข้าวโพดอยู่ในปัจจุบัน

“โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราผลิตข้าวโพดได้น้อย แต่ตลาดมีความต้องการมาก ราคาข้าวโพดก็ควรจะดีใช่ไหม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม การนำเข้าที่จะเกิดขึ้นอยู่ในระดับที่มากดราคาข้าวโพดในประเทศให้ต่ำลง มีการคาดการณ์โดยอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ซึ่งเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีว่า ถ้ามีการนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจะสามารถเพิ่มการผลิตอาหารสัตว์ได้ 30% ฉะนั้นปริมาณผลผลิตที่เขาคาดการณ์ในปัจจุบันและที่บอกว่าจะนําเข้ามาเพิ่มนั้นกดดันราคาภายในประเทศอย่างหนัก” วิฑูรย์กล่าว

ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ซึ่งประกอบด้วยหลายฝ่าย รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเกษตรกร มีมติเมื่อ 10 มิถุนายน 2568 ว่าให้โรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งเปิดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้น 14.5% ในราคา 9.80 บาท/กก. แต่ที่สุดแล้วโรงงานอาหารสัตว์กลับไม่ทำตามจนสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในหลายพื้นที่

“ในที่ประชุม นบขพ. มีข้อตกลงกันว่าราคาข้าวโพดที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 9.80 บาท เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อมีการเจรจากับสหรัฐฯ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ก็ไม่ทําตามที่ตกลงกันไว้ใน นบขพ. ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายในเดือนสิงหาคมต่ำกว่าราคาที่เคยตกลงกัน ชาวบ้านเดือดร้อนหนักถึงขั้นปิดถนนที่เพชรบูรณ์ (ราคารับซื้อกิโลฯ ละ 5.60 บาท, 18 สิงหาคม 2568) มีชาวบ้านอีก 4-5 จังหวัดไปยื่นเรื่องที่ศาลากลาง รมต.พาณิชย์ก็พยายามเรียกหลายฝ่ายมาคุยเพื่อแก้ปัญหาให้ทำตามราคาที่ตกลงไว้ แต่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ก็ไม่ทําตามนี่เป็นเหตุสําคัญที่ทําให้ราคาข้าวโพดตกต่ำแล้วเกษตรกรอยู่ไม่ได้” วิฑูรย์กล่าว

เขายกตัวอย่างกรณีบริษัทซีพีเอฟซึ่งเป็นบริษัทที่ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากที่สุด ในปีที่ผ่านมามีกำไร 19,558 ล้านบาท มาจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นหลัก แต่หลังจากที่มีตัวเลขภาษี 19% ออกมาโดยมีข้อมูลว่าไทยจะนำเข้ากากถั่วเหลืองและข้าวโพด และทำให้ราคาข้าวโพดอาหารสัตว์ลดลงต่ำกว่าเดิม บริษัทหลักทรัพย์พายจึงคาดการณ์ว่าซีพีเอฟจะมีกำไรในปีนี้เพิ่มเป็น 31,989 ล้านบาท การประเมินผลกําไรที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากราคาข้าวโพดที่ต่ำลง

“ปัจจุบันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขาดแคลน เราจึงนำเข้ามา แต่ควรนําเข้าในระดับที่อยู่ร่วมกันได้ บางคนอาจบอกว่าถ้าเราแข่งขันไม่ได้ แล้วนำเข้าถูกกว่า ก็ควรเลิกผลิตไปเลย แต่หากเรามองอุตสาหกรรมหมูซึ่งการผลิตอยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ ทำไมคุณไม่ใช้หลักการเดียวกัน คุณบอกว่าต้องปกป้องตลาดหมูเพื่อความมั่นคง แล้วคุณไม่ปกป้องเกษตรกรรายย่อยล่ะ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์บอกว่าควรปกป้องหมู แต่ควรนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้นทุนอาหารหมูจะได้ลดลง อย่างนี้ไม่นำเข้าหมูไปเลยล่ะ นี่คือสองมาตรฐานเพราะเกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่งเขามีอํานาจการต่อรองน้อยกว่า

“ถ้าเราจะอยู่ร่วมกันโดยบอกว่า สินค้าใดนำเข้าถูกกว่าก็ไม่ควรแข่ง คิดแบบนี้เราจะต้องเปิดหลายอุตสาหกรรมให้ต่างชาติเข้ามาเลยนะ เช่น การธนาคาร ประกันภัย โทรคมนาคม ฯลฯ เราก็ไม่เปิดใช่ไหม แต่คุณมากดดันให้คนเล็กคนน้อยต้องเปิด ถ้าจะให้ประเทศอยู่ได้​คุณต้องมองเรื่องความเหลื่อมล้ำด้วย คุณมาเปิดนำเข้าสินค้าในส่วนของคนที่สถานการณ์แย่อยู่แล้ว โดยคิดแค่ว่าเราแข็งขันไม่ได้” วิฑูรย์กล่าว

เกษตรกรตาย ทุนใหญ่ได้ประโยชน์ ผู้บริโภคไม่อยู่ในสมการ

การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ ภาครัฐจึงควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน

ณรงเดชมองว่าผู้ได้ประโยชน์ที่ชัดเจนในเรื่องนี้คืออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แล้วยังส่งประโยชน์ถึงอุตสาหกรรมไก่เนื้อ

“สองกลุ่มที่จะได้ผลประโยชน์คืออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ได้ประโยชน์โดยตรงและอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่เนื้อเพื่อการส่งออก อุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีความชัดเจนมานานแล้วว่าต้องการนําเข้าข้าวโพดมากขึ้น โดยอ้างว่าผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอ แล้วเขาบอกว่าถ้านําเข้าข้าวโพดมากขึ้นจะสามารถผลิตหมูหรือไก่ส่งออกได้ โดยเฉพาะไก่ ถ้าใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มาจากการนําเข้าจะทําให้ราคาไก่สามารถส่งออกไปแข่งขันได้

“ทั้งสองกลุ่มนี้ไม่มีเงื่อนไขไหนเลยที่ตกลงเจรจาว่า ถ้านําเข้ามาแล้วราคาอาหารสัตว์ที่จําหน่ายในประเทศจะถูกลงเท่าไหร่อย่างไร จะกําหนดกฎเกณฑ์กันอย่างไร หรือเนื้อหมู-เนื้อไก่ที่จําหน่ายในประเทศจะลดราคาลงอย่างไร” ณรงเดชกล่าว

แม้ว่าการนำเข้าข้าวโพดจะทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ถูกลง แต่อาจไม่ได้หมายความว่าราคาเนื้อสัตว์จะถูกลงตามไปด้วย นั่นคือผลประโยชน์อาจตกมาไม่ถึงผู้บริโภค

“ตอนนี้ไม่มีข้อตกลงอะไรเลยว่า ถ้าให้นําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้วราคาหมูกับไก่จะลดลงเท่าไหร่ ราคาอาหารสัตว์ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ต้องซื้อจะลดลงเท่าไหร่ เรื่องนี้เป็นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์” ณรงเดชชวนคิด

เช่นเดียวกับวิฑูรย์ที่ตั้งคำถามเช่นกันว่า หากต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงแล้ว ผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยจะซื้ออาหารสัตว์ในราคาถูกลงหรือไม่ หรือราคาเนื้อสัตว์จะถูกลงเท่าไหร่

การเปิดเสรีแบบนี้มีบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาทั้งในประเทศและต่างประเทศ มันไม่มีหลักประกันเลยว่าเกษตรกรหรือผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีแบบนี้” วิฑูรย์บอกและยกตัวอย่างการเปิดเสรีนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศที่มาทำลายพืชผลในประเทศสองกรณี


1. แป้งตอติญ่าแพงที่เม็กซิโก

เมื่อมีการทำความตกลงการค้าเสรี NAFTA ระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก ทำให้เม็กซิโกต้องเปิดตลาดข้าวโพดให้สหรัฐฯ ทั้งที่จริงแล้วเม็กซิโกเป็นประเทศแหล่งกําเนิดความหลากหลายของข้าวโพดและเป็นผู้ผลิตข้าวโพดรายสำคัญที่มีการส่งออก แต่หลัง NAFTA เม็กซิโกกลับต้องนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ

“ในทางภูมิศาสตร์แล้วเม็กซิโกมีความเหมาะสมที่จะผลิตข้าวโพด แต่กลับต้องนำเข้าข้าวโพด แล้วการนำเข้าควรทำให้อาหารถูกลง โดยเฉพาะแป้งตอติญ่าที่ทำจากข้าวโพด แต่พอคนปลูกข้าวโพดในเม็กซิโกน้อยลง เพราะข้าวโพดจากอเมริกาถูกกว่า ทําให้การผลิตภายในอ่อนแอ เกษตรกรล่มสลาย แทนที่ผู้บริโภคควรได้ซื้อตอติญ่าราคาถูก แต่ราคากลับแพงขึ้นจนมีการชุมนุมที่เม็กซิโกซิตีเพื่อต่อต้าน NAFTA และประท้วงราคาตอติญ่าแพง

“เห็นไหมว่ามันไม่สมเหตุสมผล การนําเข้าข้าวโพดราคาถูกไม่ได้มีหลักประกันว่าผู้บริโภคจะได้ของราคาถูก เพราะโครงสร้างการค้าเปลี่ยนไปแล้ว เกษตรกรรายย่อยก็หายไปจากอุตสาหกรรมแล้ว ฉะนั้นการค้าที่ไม่มีการกำกับในที่สุดแล้วก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค” วิฑูรย์กล่าว


2. กระเทียมไทยแพ้กระเทียมจีน

อีกกรณีสมัยทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศจีน (Early Harvest) มีผลบังคับปี 2546 ส่งผลให้มีการนำเข้ากระเทียมจีนที่ราคาถูกกว่ากระเทียมไทย จนกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมไทย

“ทันทีที่ข้อตกลงนี้มีผล ปรากฏว่ากระเทียมจีนซึ่งราคาถูกกว่า 50% จนถึงเท่าตัว ทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว เราก็ตื่นเต้นกันว่าจะได้กินกระเทียมใหญ่ๆ แล้วราคาถูกลงครึ่งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมไทยที่มีอยู่ราว 82,500 ราย ก็เหลือเพียง 15,741 ราย หรือเหลือเพียง 1 ใน 5 

“แล้วปรากฏว่าจากเดิมที่เราคาดหมายว่าจะได้กินกระเทียมถูกลง … แต่ก็ไม่ ปรากฏว่ากระเทียมจีนราคาเท่ากระเทียมไทย โดยที่รสชาติและคุณภาพแย่กว่าเดิม โครงสร้างการผลิตและการค้าก็เปลี่ยนไป” วิฑูรย์กล่าว

ดีลข้าวโพด แรงกดดันภายนอก-แรงผลักดันภายใน

แม้การเจรจาภาษีสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจ แต่วิฑูรย์ชวนสังเกตว่ากรณีการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ มีแรงผลักดันจากภายในประเทศไทยด้วย

“ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะแรงกดดันจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยด้วย เราจะเห็นว่าข้อเสนอไม่ได้เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ ก่อน รายงานของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์เรื่องการค้า ไม่ได้ยกเรื่องถั่วเหลืองหรือข้าวโพดขึ้นมา เขาพูดเรื่องหมูหรืออุตสาหกรรมการเงินเป็นหลัก แต่พอทำข้อเสนอกลับกลายเป็นเรื่องข้าวโพดกับถั่วเหลือง หมายความว่าข้อเสนอนี้มาจากฝ่ายไทยเอง

“แน่นอนว่าฝั่งอเมริกายินดีอยู่แล้วที่จะลดการขาดดุลลง แต่สิ่งที่เขาพอใจมากหลักๆ คือการที่ไทยจะนำเข้าข้าวโพด ส่วนถั่วเหลืองที่ผ่านมาไทยนำเข้าอยู่แล้ว เพราะอุตสาหกรรมถั่วเหลืองไทยตายไปพักใหญ่ เราพึ่งพาต่างประเทศมาพักใหญ่แล้ว” วิฑูรย์อธิบายเพิ่มเติมว่าการที่ไทยเสนอนำเข้าสินค้าเกษตรสร้างความพอใจให้โดนัลด์ ทรัมป์แน่นอน เพราะฐานเสียงของเขามาจากสวิงสเตท (swing state) ซึ่งเป็นรัฐที่ส่วนใหญ่ทำการเกษตร ข้อเสนอของไทยจึงตอบสนองต่อทั้งการลดการขาดดุลในภาพรวมและตอบสนองต่อฐานเสียงของทรัมป์โดยตรง

มาตรการระยะสั้นต้องคุมราคาให้เกษตรกรรายย่อย

แม้ประเด็นเรื่องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะสร้างความปั่นป่วนจนกระทบเกษตรกรไทย แต่ณรงเดชชวนมองว่าดีลสหรัฐฯ ยังต้องมีการเจรจาต่อรองรายละเอียด รวมถึงขั้นตอนการแก้กฎหมายหรือการแก้กฎระเบียบต่างๆ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งกําลังพิจารณาดําเนินการ

“มันคงไม่ใช่การนําเข้าภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ต้องมีระยะเวลาให้เริ่มนําเข้า เช่น เราอาจเริ่มทยอยนําเข้าในฤดูกาล 2570 เลยก็ได้ ระหว่างนั้นก็อาจมีการแก้กฎระเบียบ มีการเตรียมพร้อมปรับตัวรับมือภายในประเทศ คงไม่ใช่การนําเข้าในฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน ผมคิดว่ายังมีอะไรที่ภาครัฐสามารถทําได้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย” ณรงเดชบอก

ด้านวิฑูรย์เน้นย้ำว่าช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญคือการรักษาราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ตกลงไว้ใน นบขพ. สิ่งสำคัญที่สุดจึงคือการทำตามกติกา

“นบขพ. เป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาโดยเอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์มาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว กติกาการรับซื้อที่ 9.80 บาทที่ยอมรับร่วมกันใน นบขพ. นั้นลึกๆ แล้วฝั่งเกษตรกรก็ไม่ได้พอใจ แต่แรงกดดันในคณะกรรมการเอียงไปทางอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มาโดยตลอด ฝั่งเกษตรกรรายย่อยแทบไม่มีอำนาจการต่อรอง คุณจึงควรยอมรับกติกาที่คุณมีส่วนกำหนด” วิฑูรย์กล่าว

นอกจากนี้สิ่งที่วิฑูรย์มองเห็นคือปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของรัฐบาลที่พูดกลับไปมา อย่างเรื่องการรับซื้อข้าวโพดจากเมียนมาที่มีประเด็นเรื่องการเผาไร่อันเป็นปัญหา PM2.5 รวมถึงหากจะมีการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะมีวิธีการกำหนดโควตาอย่างไร

“เงื่อนไขการนำเข้าข้าวโพดที่บอกว่าจะใช้มาตรการ 3 ต่อ 1 คือซื้อข้าวโพดในประเทศก่อนจึงจะนำเข้าได้ ล่าสุดก็จะเปลี่ยนอีกแล้ว กลายเป็นว่าโควตานำเข้ามาจากอเมริกา 3 ล้านตันจะแบ่งเป็น 2 ก้อน ก้อนแรก 1.5 ล้านตัน ให้สิทธิซื้อสำหรับผู้ที่รับซื้อในประเทศตามมาตรการ 3 ต่อ 1 ส่วนก้อนที่สองให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไปตกลงแบ่งกันเอง การทำอย่างนี้เหมือนโควตาไข่ไก่สมัยคุณอภิสิทธิ์ คือบอกจะเปิดเสรี แต่กลับเป็นกลุ่มต่อรองที่ได้ประโยชน์จากการนำเข้า กลายเป็นว่าเอื้ออำนวยให้นำเข้าโดยไม่ต้องทำตามมาตรการ 3 ต่อ 1” วิฑูรย์กล่าว

5 โจทย์ทางออกระยะยาว

ส่วนมาตรการในระยะยาว วิฑูรย์ฝากโจทย์สำหรับรัฐบาลใน 5 ประเด็น


1. เปิดรายละเอียดข้อตกลง

ตอนนี้เรายังไม่เห็นข้อตกลงไทย-สหรัฐฯ โดยละเอียดเลย เราเห็นแต่จากที่คุณพิชัย ชุณหวชิรให้สัมภาษณ์ ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ทั้งหมดควรได้รับรู้ข้อตกลงก่อน เพื่อจะจัดการผลกระทบได้ตั้งแต่เบื้องต้น เช่น ที่จริงสหรัฐฯ ไม่ได้บังคับให้นำเข้าข้าวโพดหรือเปล่า ที่คุณไม่เปิดรายละเอียดเพราะคุณซ่อนความต้องการของฝ่ายไทยไว้หรือเปล่า”


2. การกำหนดเป้าหมายนำเข้า

“เรื่องการนำเข้าตอนนี้หลายคนไม่เชื่อตัวเลขเรื่องการขาดแคลนข้าวโพดของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ นี่คือตัวชี้ขาด ถ้าประเมินว่าผลผลิตน้อยก็ต้องนำเข้าเยอะ แต่ถ้าความเป็นจริงมันพอแล้วนำเข้ามาเยอะก็จะกดดันราคาตลาด ฝั่งเกษตรกรก็ตั้งคำถามต่อกระทรวงเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรต้องทำตัวเลขปริมาณของการนำเข้าเป็นจุดเริ่มต้น”


3. ตั้งบริษัทร่วมมาจัดการเรื่องการนำเข้า

“ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของอาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร TDRI ที่เสนอให้มีการจัดตั้งบริษัทบริหารข้าวโพดนำเข้า ให้ทุกฝ่ายร่วมบริหาร เช่น เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ทราบตัวเลขต้นทุน กำไร การนำเข้า ให้โปร่งใส 

“ส่วนตัวผมเห็นว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ได้แต่ต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการจัดการและตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์ที่ได้จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ถูกลง รวมทั้งผลประโยชน์ของผู้บริโภค การลดผลกระทบต่อเกษตรกร กำไรที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลงควรแบ่งกันระหว่างเกษตรกรและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เป็นการเฉลี่ยความทุกข์และผลกระทบกัน”


4. หาทางออกให้เกษตรกร

“เมื่อต้องมีการเสียสละของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบแล้วคุณจะมีทางออกอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรให้การผลิตในปัจจุบันยั่งยืนมากขึ้น ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ลดการปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมอย่างพื้นที่ลาดชัน ต้องมีระบบการจัดการ

“ที่จริงถ้าไปดูรายละเอียด เกษตรกรหลายพื้นที่ในภาคกลางมีผลผลิตต่อไร่ได้ใกล้เคียงผลผลิตของอเมริกา ต้นทุนโดยทั่วไปสามารถสู้อเมริกาได้ โดยเฉพาะเมื่อนำเข้าก็ต้องมีค่าขนส่ง ถ้ามีการปรับการผลิตจะสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต จัดการพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม รวมถึงลดปัญหา PM2.5 ได้ด้วย”


5. สร้างระบบตรวจสอบการนำเข้าข้าวโพดปลอดเผา

“การที่รัฐบาลยังนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่นำเข้าข้าวโพดเผา ต้องมีการสร้างหลักประกันว่าจะไม่รับซื้อข้าวโพดเผาจริงๆ ตอนนี้ซีพีเอฟบอกว่ามีระบบตรวจสอบย้อนกลับว่าจะไม่ซื้อในพื้นที่เผา แต่ยังเป็น self-claimed ซึ่งไม่รับประกันความโปร่งใส ต้องมีการสร้างระบบตรวจสอบโดยบุคคลที่สามว่าการนำเข้านั้นไม่ซื้อจากการเพาะปลูกที่เผาจริง

“มีรายงานที่กรีนพีซทำร่วมกับคณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ พบว่า ระหว่างปี 2564-2566 จำนวนจุดความร้อนที่เกิดจากพื้นที่ปลูกข้าวโพดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อยู่ในภาคเหนือตอนบนของไทยเพียง 11.6% ในขณะที่ 88.4% อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ฉะนั้นหมายความว่าถ้าคุณจัดการการนําเข้าข้าวโพดให้ไม่เผาได้ก็จะลดเรื่อง PM2.5 ได้ส่วนหนึ่ง” วิฑูรย์กล่าว

ไม่ใช่แค่เรื่องคนปลูกข้าวโพด แต่คือเรื่องความมั่นคงทางอาหาร

แม้ปัญหาเรื่องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดูจะเป็นเรื่องของคนปลูกข้าวโพด-ผู้ผลิตอาหารสัตว์-ผู้เลี้ยงสัตว์ แต่ณรงเดชชวนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาไกลตัว

“เรื่องการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อาจจะดูเป็นปัญหาไกลตัว แต่ที่จริงเรื่องนี้เป็นปัญหาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ถ้าเรามองว่าสินค้าใดก็ตามที่ประเทศอื่นผลิตได้ถูกกว่าแล้วเราควรนําเข้า ก็จะทําให้เราต้องนําเข้าสินค้าเกือบทุกประเภท แล้วประเทศไทยจะขาดความสามารถในการผลิตอาหาร” ณรงเดชบอกและชวนสังเกตว่า ปัจจุบันในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศมักมีการหยิบยกเรื่องสินค้าเกษตรขึ้นมาเจรจาเสมอ สำหรับประเทศที่ไม่มีศักยภาพในการผลิตอาหารได้เองก็จะมีอำนาจต่อรองน้อย

“ประเทศไทยต้องสร้างความมั่นคงทางอาหาร ปัจจัยสำคัญคือการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ได้เองภายในประเทศ ไม่ใช่ว่าประเทศไหนผลิตได้ถูกกว่าแล้วต้องนำเข้าทั้งหมด สุดท้ายถ้าเราไม่สามารถผลิตอะไรได้เองเลย แล้วต้องนําเข้าทั้งหมด ในอนาคตพอถึงวันที่ราคาสินค้านําเข้าแพงขึ้น สุดท้ายผู้บริโภคก็ต้องบริโภคอาหารราคาแพง” ณรงเดชกล่าว

ส่วนวิฑูรย์เห็นตรงกันเรื่องการสร้างความมั่นคงทางอาหาร

“การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหาร ไม่มีประเทศไหนหรอกที่จะยอมง่ายๆ ให้เกิดฐานการผลิตอาหารที่ต้องไปพึ่งพาประเทศอื่น ในอนาคตถ้าเกิดวิกฤตสงครามหรือความแห้งแล้งจะทำให้คุณจะไม่สามารถผลิตอาหารได้เอง” วิฑูรย์กล่าว

ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นและจะทวีความรุนแรงต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยซึ่งเสี่ยงจะพ่ายแพ้และล่มสลายลง สิ่งที่ตามมาจากดีลนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ราคาต้นทุนอาหารสัตว์ที่ถูกลง แต่สะเทือนถึงชีวิตคนไทยหลายแสนครอบครัว ไปจนถึงสั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลควรคำนึงในการดำเนินนโยบายต่อไป

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save