แม้ช่วงนี้จะเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของสองพ่อลูกชินวัตร เพราะเป็นช่วงที่มีนัดสำคัญในหลายคดีของทักษิณและแพทองธาร แต่หากมองอีกมุม ข่าวการเมืองของไทยหมุนวนอยู่กับบทบาทของสถาบันตุลาการที่มีอำนาจพลิกเกมการเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม หรือองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ
ล่าสุด ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องคดีมาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์ของทักษิณกับสื่อเกาหลีใต้ โดยศาลให้เหตุผลว่า ในการให้สัมภาษณ์นั้น ไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์ และโจทก์ไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความไปในลักษณะที่พยานฝ่ายโจทก์เข้าใจ อีกทั้งไม่สามารถยืนยันได้ว่า คลิปวิดีโอของกลางนั้นเป็นต้นฉบับ
นี่คือคดีที่ศาลวินิจฉัยทั้งในระดับเทคนิคที่พิจารณาข้อเท็จจริง (เช่น ความเป็นต้นฉบับของคลิป ใครเป็นผู้อัปโหลด) และระดับเนื้อหาที่ต้องอาศัยการตีความกฎหมาย (ว่าใจความพูดถึงใคร ใช้คำแบบใด) ซึ่งความ ‘เข้มงวด’ ในการตีความพฤติการณ์หมิ่นฯ เป็นมาตรฐานที่สังคมคาดหวังให้ใช้กับคดีมาตรา 112 ทุกคดี การยกฟ้องจึงถือเป็นข่าวดี เพราะไม่มีใครควรถูกตีความอย่างกว้างจนต้องตกเป็นจำเลยด้วยข้อหานี้อีกต่อไปแล้ว
แต่มาตรฐานเช่นนี้จะถูกใช้กับทุกคดีหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วผลของคดียังคงขึ้นอยู่กับ ‘ธง’ ที่วางไว้ ซึ่งสอดคล้องกับดีลที่ชนชั้นนำทำกัน
หลักกฎหมาย? ธงทางการเมือง? หรือดีล? เรื่องนี้มีแต่คำถามแต่ไม่มีคำตอบ พูดมากเกินกว่านี้ก็ไม่เป็นธรรมกับคุณทักษิณและศาล แต่การที่ความน่าเชื่อถือของศาลลดน้อยถอยลงนี่ล่ะที่เป็นปัญหาใหญ่ และต้นตอก็ไม่ได้มาจากคนตั้งคำถาม หากแต่เป็นผลงานของศาลเอง
ข้อวิจารณ์ต่อศาลหาอ่านหาฟังได้ไม่ยาก ทั้งในรูปแบบงานวิชาการชั้นเยี่ยม บทวิเคราะห์ที่เข้าถึงง่าย การติติงด้วยความเคารพ และความเห็นแบบที่ไร้ความเคารพต่อศาลโดยสิ้นเชิง…ชอบแบบไหน ก็มีให้เลือกสรรให้อ่านให้ฟังกันได้ตามรสนิยม
และนอกจากคดีของทักษิณแล้ว สัปดาห์หน้าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีการเมืองสำคัญในอีกคดี ที่อาจเปลี่ยนอนาคตทางการเมืองของแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ในความปั่นป่วนนี้ เราควรคาดหวังได้หรือไม่ว่า ศาลจะยังธำรงความยุติธรรมและอยู่บนหลักได้จริง? บทวิเคราะห์และข่าวที่ออกมา ล้วนแต่อยู่บนฐานของ ‘ดีล’ และเกมอำนาจของชนชั้นนำ พูดให้เป็นวิชาการ คดี ‘คลิปฮุนเซน’ แทบไม่มีการถกเถียงเรื่องข้อกฎหมายแบบจริงจังเลยด้วย แทบทั้งหมดล้วนแต่เป็นการวิเคราะห์ทางการเมือง
ซึ่งจะว่าไปก็สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เพราะศาลรัฐธรรมนูญ เป็น ‘ศาลการเมือง’ ในความหมายว่าควรต้องเอาปัจจัยทางการเมืองมาคิดวิเคราะห์ด้วย ส่วนผสมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้มีทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ในแง่นี้ ศรัทธาของผู้คนต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงสำคัญมาก และศาลรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นต้องยึดโยงกับสาธารณะมากกว่าศาลยุติธรรมโดยเปรียบเทียบ
แต่ก่อนจะไปวัดศรัทธาของผู้คน ปฏิกิริยาและมาตรการของศาลต่างๆ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญในระยะหลังก็น่าสนใจ เพราะสะท้อนความพยายามถอยห่างจากการถูกตรวจสอบของสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามจดบันทึกในห้องพิจารณา การจำกัดการถ่ายทอดสด การพิจารณาคดีลับ ไปจนถึงการตีความว่า การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะอาจถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ฟังแล้วก็อยากเถียงว่า ภัยต่อความมั่นคงที่รุนแรงที่สุดอย่างหนึ่งอาจเป็นบทบาทขององค์กรอิสระที่เข้ามาทำให้ฝ่ายบริหารและการเมืองจากการเลือกตั้งอ่อนแอลงนี่แหละ คงมีไม่กี่แห่งในโลกที่สงครามชายแดนกำลังปะทะเข้มข้น แต่การเมืองภายในกลับต้องเผชิญกับภาวะนิติสงครามที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายฝ่ายบริหารให้อ่อนแอลงไป จนทำให้ทางเลือกและเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาถูกจำกัดลงเหลือเพียงแค่การทหาร
พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรตรวจสอบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ประเด็นสำคัญต้องตั้งหลักให้ชัดคือ ‘หลักการ’ และ ‘กระบวนการ’ – ถ้าศาล ‘ยุติธรรม’ และองค์กร ‘อิสระ’ ใครล่ะจะปฏิเสธ
สำหรับกรณีแพทองธาร ดูหน้าตัวละคร ข้อหาที่โดน วิธีการต่อสู้คดี (ของทั้งสองฝ่าย) และบริบททางการเมืองทั้งหมด ใครกล้าการันตีว่านี่คือการตรวจสอบและถ่วงดุลตามหลักที่ควรจะเป็นเชื่อเถอะว่า ไม่มีใครชอบคำอธิบายการเมืองบนฐานของ ‘ดีล’ ของชนชั้นนำ – แพทองธารหลุดจากตำแหน่งก็คนนั้นสั่ง อยู่รอดก็คนนี้ดีล แต่ในเมื่อมันดูมีน้ำหนักที่สุด จะให้ทำอย่างไร
ศาลที่ ‘ยุติธรรม’ และองค์กรที่ ‘อิสระ’ – ที่สุดแล้ว เราก็แค่คาดหวังให้สถาบันเหล่านี้ ทำงานให้สอดคล้องกับชื่อเท่านั้นเอง
คอลัมน์ Editor’s Talk บทบรรณาธิการ โดย สมคิด พุทธศรี และ อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา บรรณาธิการอำนวยการ The101.world เผยแพร่ใน Newsletter ‘วันโอวัน’ รายสัปดาห์
- Subscribe รับ Newsletter ‘วันโอวัน’ พร้อมอ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันได้ ที่นี่
- ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support
ที่มาภาพ: TIJ