มาเลเซีย จีน สหรัฐฯ กับการทูตฉบับเร่งด่วนหยุดกระสุนไทย-กัมพูชา

MOHD RASFAN / POOL / AFP: ภาพประกอบ

กระแสรักชาติ เคียดแค้นชิงชังเพื่อนบ้านในสื่อโซเชียลของไทยพุ่งสูงปรี๊ดในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม จากการเสียชีวิตของแม่ลูกหลังกัมพูชายิงจรวด BM–21 ตกใส่ร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมันที่จังหวัดศรีสะเกษจนมีผู้เสียชีวิต 7 คน เรื่องนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์จากความโหดร้ายของประเทศเพื่อนบ้าน กระตุ้นความปรารถนาจะล้างแค้นฝ่ายตรงข้ามให้ย่อยยับ ในขณะเดียวกันประชาชนกัมพูชาก็ใช้สื่อโซเชียลระบายความคั่งแค้นที่รุนแรงพอกัน กลายเป็นคลึ่นสึนามิทางอารมณ์ของมวลชนอันยากจะต้านทาน ความรู้สึกของมวลชนกลายเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ของผู้มีอำนาจเช่นที่เคยเป็นมา

ในห้วงเวลาเช่นนี้ ข่าวลือ ข่าวปล่อย และอารมณ์รุนแรงในสื่อโซเชียล ปะทุเป็นแรงกดดันต่อทั้งสถาบันทหารและพรรคการเมือง นักการเมืองบางรายฉวยโอกาสโปรยวาทกรรมรักชาติหาเสียงสนับสนุน ในขณะที่บางรายเลือกปิดปากเงียบ  ผู้ที่ลุกขึ้นติติงผิดที่ผิดเวลาย่อมต้องรับแรงกระแทกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ทหารเองที่เป็นฮีโร่ก็เกือบพลาดท่าเมื่อสร้างความผิดหวังให้กองเชียร์เรื่องการยึดพื้นที่ชายแดนบางจุด กระแส “สู้ไม่ถอย” ปิดทางออกอย่างสันติของทั้งสองฝ่าย และสร้างความเสี่ยงสู่ภาวะการสู้รบยืดเยื้อบานปลาย

มาเลเซียขยับตัวอย่างรวดเร็วหลังไทยและกัมพูชาเริ่มปะทะข้ามพรมแดนด้วยอาวุธหนักในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม โมฮัมหมัด ฮัสซัน (Mohamad Hasan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และเสนอว่ามาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนยินดีเป็นผู้อำนายความสะดวกให้ทั้งสองประเทศในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาการสู้รบ แม้ผู้นำกัมพูชาจะตอบรับในทันที แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะโน้มน้าวรัฐบาลไทยได้ทันที ข้อเสนอของมาเลเซียยังสร้างความไม่พอใจให้มวลชนออนไลน์ของไทยที่เห็นว่าประเทศเพื่อนบ้านไม่ควรยื่นจมูกมาจุ้นจ้านในกิจการที่ประเทศตนไม่เกี่ยวข้อง 

แต่มาเลเซียมีเหตุผลหลายประการในการเปิดช่องทางการทูตครั้งนี้ หากการเจรจาหยุดยิงบรรลุผล นอกจากจะเป็นความสำเร็จของในฐานะประเทศประธานอาเซียน ยังเป็นโอกาสของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ที่จะสร้างเครดิตทั้งกลบกระแสต่อต้านที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และแก้ไขความผิดพลาดจากวิธีการทางการทูตที่คาดหวังอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านที่เขาเลือกมาอยู่ใกล้ตัวแบบผิดๆ

เมื่ออันวาร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียน ประกาศแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จากประเทศไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน (Hun Sen) ของกัมพูชาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในกิจการเกี่ยวกับเมียนมา เสียงวิจารณ์ทางลบก็กระหึ่มทั่วภูมิภาค ข้อครหาเรื่องการให้บทบาทกับอดีตผู้นำที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยทั้งในอดีตและปัจจุบันดึงเอาเครดิตทางการเมืองของนายกฯ อันวาร์ให้ต่ำลง และอาจเป็นสาเหตุให้อันวาร์ไม่สามารถชักชวนผู้มีความสามารถจากประเทศอาเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์และอินโดนีเซียให้เข้าร่วมสังฆกรรมในคณะที่ปรึกษาส่วนตัวของตนได้ นับเป็นความพลาดตั้งแต่ก้าวแรกในเวทีอาเซียน

แม้เวลาผ่านไปครึ่งปีหรือครึ่งเทอมในตำแหน่งประธานอาเซียนแต่มาเลเซียยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาการสู้รบในเมียนมาที่อันวาร์จะหมายมั่นปั้นมือให้เป็นหนึ่งใน ‘พันธกรณีของอาเซียน’ ดังที่เขียนไว้ในบทความ ASEAN’s Second Renaissance Is Now ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเดือนธันวาคม 2567 ความล่าช้าในเรื่องของเมียนมาแสดงว่าการทูตแบบใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทั้งทักษิณ และฮุน เซน มาช่วย ไม่อาจเป็นจริง และกลับกลายเป็นเรื่องถูกเยาะหยันไปเมื่อจู่ๆ ที่ปรึกษาทั้งสองหันมารบกันเอง 

การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นทั้งปัญหาและโอกาสของมาเลเซียในการแสดงบทบาทการนำอาเซียน แต่ในขณะที่มาเลเซียสามารถโน้มน้าวผู้นำกัมพูชาให้เข้าสู่โต๊ะเจรจาได้ไม่ยาก อันวาร์กลับพบแรงต้านจากประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ผู้เปรียบกัมพูชาเป็นพระยาละแวก เขาเขียนข้อความใน X ในวันเดียวกันกับที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยว่าขอบคุณทุกประเทศที่เสนอตัวเป็นคนกลาง “แต่ขอเวลาให้ทหารสอนบทเรียนฮุนเซนเสียก่อน” ซึ่งท่าทีของทักษิณได้รับการประสานเสียงรับจากกระทรวง ทบวง กรม เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และนักการเมืองฟากรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

แม้มาเลเซียไม่สามารถโน้มน้าวไทยให้เข้าสู่โต๊ะเจรจาได้ แต่สหรัฐฯ ทำได้ รายงานข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 อ้างการสัมภาษณ์ ลิม เมงโฮร์ (Lim Menghour) เจ้าหน้าที่ด้านนโยบายต่างประเทศของกัมพูชาที่เปิดเผยว่า ในขณะที่กัมพูชายอมรับข้อเสนอเป็นคนกลางในการเจรจาของมาเลเซีย ประเทศไทยยังไม่มีท่าทีตอบรับจนกระทั่งสหรัฐฯ ยื่นมือเข้ากดดัน

“กัมพูชาได้ยอมรับข้อเสนอเบื้องต้นของมาเลเซียสำหรับการเจรจาแล้ว แต่เป็นฝ่ายไทยที่ยังไม่เดินหน้าต่อจนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เข้ามาแทรกแซง” ลิม เมงโฮร์ กล่าว ในขณะเดียวกันเขายืนยันความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพนมเปญและปักกิ่ง ชี้ว่ารัฐบาลกัมพูชาได้เปิดช่องทางการสื่อสารกับประเทศจีนที่แสดงความสนใจจะเข้าร่วมในการเจรจาหยุดยิงระหว่างสองประเทศอยู่ตลอด 

รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลไทยผู้ไม่ประสงค์จะออกนามสองรายที่ให้สัมภาษณ์ในทิศทางเดียวกันกับฝั่งกัมพูชาว่าการประชุมพิเศษครั้งแรกเกิดจากการผลักดันของสหรัฐฯ แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่าจุดยืนของรัฐบาลไทยในเบื้องแรกคือการยึดหลักการเจรจาทวิภาคีและปฏิเสธการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งจากประเทศที่สาม แม้จะมีการติดต่อจากทั้งจีนและสหรัฐฯ  อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยยอมร่วมการเจรจาหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์โทรศัพท์หาภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี กระบวนการเริ่มต้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศพูดคุยเรื่องกรอบการเจรจา โดยฝ่ายไทยเสนอว่าต้องเป็นการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ ณ สถานที่ที่เป็นกลางโดยเสนอให้เป็นที่ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากต้องการให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นของภูมิภาค 

เมื่อสหรัฐฯ ช่วยเปิดไฟเขียว การประชุมพิเศษระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ภูมิธรรม และ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายกฯ อันวาร์เป็นประธาน จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ 28 กรกฎาคม ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขในเวลา 24.00 น. ของวันเดียวกัน และตกลงให้เข้าสู่กรอบการเจรจาข้อพิพาทแบบทวิภาคีซึ่งเป็นจุดยืนของไทยตั้งแต่ต้น

ในการเจรจาครั้งนั้นกัมพูชาไม่ยืนยันข้อเรียกร้องที่ตนยืนยันอย่างแข็งขันก่อนหน้า คือเรื่องการนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) เพื่อขอให้ศาลมีคำวินิจฉัยในพื้นที่พิพาท 4 จุดที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน การยอมรับกรอบทวิภาคีของกัมพูชาอาจมาจากเหตุผลหลายประการ นับตั้งแต่ความเสียหายจากการสู้รบที่ยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนและแรงกดดันจากมหาอำนาจ รวมทั้งความสะดวกรวดเร็วในการใช้กรอบทวิภาคี GBC ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย

การเจรจา GBC ที่มาเลเซียซึ่งสรุปผลในวันที่ 7 กรกฎาคมบรรลุผลโดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ เปิดทางให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนทยอยกันกลับบ้านเรือน ในขณะเดียวกันกัมพูชาขอนำประเด็นที่ฝ่ายไทยเสนอแบบรุกคืบกลับไปพิจารณา คือเรื่องการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน และความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่นการหลอกลวงออนไลน์ ในขณะเดียวกันมาเลเซียเตรียมการประสานงานประเทศอาเซียนเรื่องจัดให้มีคณะผู้สังเกตการณ์ความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาข้อพิพาท

ความรวดเร็วในการแก้ปัญหาครั้งนี้ไม่ได้มาจากวิถีการทูตแบบปกติ เริ่มจากมาเลเซียที่แม้จะย้ำถึงความสำคัญของอาเซียน  แต่การแสดงบทบาทในครั้งนี้เป็นการ ‘ยิงเดี่ยว’ ที่ไม่เกี่ยวกับกลไกของอาเซียนแต่ประการใด บทความ Diplomacy Without Drama: Malaysia’s Role in the Cambodia-Thailand Conflict เขียนโดย นายอิลันโก การุปปันนัน (Illango Karuppanan) อดีตข้าหลวงใหญ่ประจำสิงคโปร์และเอกอัครราชทูตประจำเลบานอน ที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของ S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง (Nanyang Technological University: NTU) ประเทศสิงคโปร์ วิเคราะห์ว่าการตัดสินใจจัดการปัญหาในลักษณะของมาเลเซียเกิดจากการขาดศักยภาพในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของอาเซียน ที่มาจากหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน (non-interference) ของประเทศสมาชิก ที่สร้างความล่าช้าในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นความอิหลักอิเหลื่ออาจเกิดขึ้นจากการที่เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน คือเกา กึมฮวน (Kao Kim Hourn) บังเอิญเป็นอดีตรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

แม้ว่ามาเลเซียจะออกตัวอย่างแข็งขัน แต่ก็ยังไม่มีบารมีพอที่จะบรรลุเป้าหมายในการแก้ปัญหาครั้งนี้ได้ นักการทูตอาวุโสมาเลเซีย อิลังโก การุปปันนัน (Ilango Karuppannan) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์ เช่นเดียวกับสิ่งที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้มาเลเซียจะมีส่วนช่วยในการกำหนดผลลัพธ์ของการเจรจา แต่การที่จะบรรลุผลได้ขึ้นอยู่กับการผลักดันจากมหาอำนาจ 

“อาเซียนเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจา แต่ก็มีอิทธิพลของวอชิงตันและปักกิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก” การุปปันนันกล่าว

นักวิเคราะห์หลายรายให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าสาเหตุของการเข้ามาเกี่ยวข้องของรัฐบาลจีนและสหรัฐฯ ในปัญหาที่ดูเหมือนจะเล็กๆ เทียบไม่ได้กับการต่อสู้ทางอาวุธขนาดใหญ่ของโลกในปัจจุบัน ก็เนื่องมาจากภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับอภิมหาอำนาจทั้งสองอย่างปฏิเสธไม่ได้   

จีนได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) โดยกัมพูชาเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ที่สุดในภูมิภาคนี้ การปะทะข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นสร้างความเสี่ยงต่อเส้นทางการค้า บ่อนทำลายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาลของจีน และทำลายความได้เปรียบทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคที่จีนสะสมมานานหลายทศวรรษจนแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สหรัฐฯ ยุคประธานาธิบดีทรัมป์มีนโยบายเร่งปรับยุทธศาสตร์ในการแข่งขันกับจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ด้วยวิธีการผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจแบบอเมริกันนิยมผ่านมาตรการด้านภาษี เข้ากับการระดมแสดงพลังทางทหารในภูมิภาค รวมทั้งแข่งขันในทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญของจีน และในสายตาของทั้งจีนและสหรัฐฯ นั้น การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น อาจบานปลายเป็นปัญหาความมั่นคงที่ยืดเยื้อที่กระทบการขยายอิทธิพลและการแข่งขันของตนในภูมิภาค

ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ ‘การให้รางวัลและการลงโทษ’ (carrot-and-stick) โดยใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอิทธิพล ในทางตรงกันข้าม จีนชอบที่จะมีส่วนร่วมอย่างเงียบๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ในภูมิภาคของตน ทรัมป์ส่งคำเตือนมายังไทยและกัมพูชาโดยตรงขณะที่การปะทะชายแดนทวีความรุนแรงขึ้น เขาใช้วิธีโพสต์ข้อความในสื่อโซเชียลว่าสหรัฐฯ จะไม่ทำข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศตราบใดที่ยังมีการสู้รบอยู่ ในขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ยืนยันว่าประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการให้ทีมเจรจาการค้าระงับการเจรจากับไทยและกัมพูชาจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิง หลังการประชุมพิเศษในวันที่ 28 กรกฎาคม สหรัฐฯ จึงได้กลับสู่การเจรจาภาษีกับไทยและกัมพูชา ซึ่งลงเอยด้วยอัตราภาษี 19 เปอร์เซนต์สำหรับทั้งสองประเทศ รวมถึงมาเลเซียซึ่งเป็นคนกลางในการเจรจา

ในขณะเดียวกัน แทนที่จะวางตัวเองเป็นคนกลางที่ออกตัวแรงต่อสาธารณะแบบสหรัฐฯ จีนเลือกการทูตแบบเงียบ ๆ ด้วยการมีส่วนร่วมเบื้องหลัง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่สหรัฐฯ กดดันคู่พิพาทอย่างเปิดเผย จีนได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมไตรภาคีอย่างไม่เป็นทางการที่เซี่ยงไฮ้ โดย ซุน เว่ยตง (Sun Weidong) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงผลการประชุมว่า ตนได้พบปะและแลกเปลี่ยนกับตัวแทนจากทั้งกัมพูชาและไทย คือ กุง โภค (Kung Phoak) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และจุลพงษ์ นนสิริชัย ที่ปรึกษาผู้บริหารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดย “ฝ่ายกัมพูชาและไทยยืนยันกับฝ่ายจีนถึงความมุ่งมั่นในฉันทมติการหยุดยิง และแสดงความชื่นชมต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ที่จีนมีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงของสถานการณ์”

จีนเป็นเจ้าภาพการประชุมอีกครั้งหนึ่งโดยมีหวัง อี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นตัวแทน พร้อมกับมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และปรัก โสคน (Prak Sokhonn) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา หวังแสดงความหวังว่าเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสองจะรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจา

นอกจากแถลงการณ์หลังการประชุมพิเศษผู้นำไทย-กัมพูชาในวันที่ 28 กรกฎาคมจะเปิดเวทีให้แก่บทบาทของสหรัฐฯ และจีนอย่างชัดเจนแล้ว ยังสะท้อนความพยายามของมาเลเซียในการรักษาดุลยภาพความสัมพันธ์ของอาเซียนกับมหาอำนาจในกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งเขาเคยระบุไว้ว่าเป็นพันธกรณีหนึ่งของอาเซียน แถลงการณ์ระบุว่าการประชุม “มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ร่วมจัด และสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมอย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างสันติ”  และยังให้เครดิตแก่ประเทศทั้งสองว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อกับผู้นำของทั้งสองประเทศเพื่อกระตุ้นให้ผู้นำทั้งสองหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างสันติ และฝ่ายจีนได้ติดต่ออย่างใกล้ชิดกับกัมพูชา ไทย มาเลเซีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเจรจา การหยุดยิง และการฟื้นฟูสันติภาพอย่างแข็งขัน”

ในการประชุม GBC ที่ตามมาที่มีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ดูเหมือนว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนได้ลดบทบาทลงเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง สังเกตจากคำกล่าวของอันวาร์ในการประชุมรัฐสภามาเลเซียเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการประชุม GBC ที่บอกว่านับแต่นี้คณะผู้สังเกตการณ์ควรมาจากประเทศในอาเซียนเท่านั้น และตนเองยินดีให้ความช่วยเหลือตามการร้องขอจากไทยและกัมพูชาให้เป็นคนกลางเพื่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทนี้ต่อไปในอนาคต ซึ่งอาจกินเวลานานกว่าตำแหน่งประธานอาเซียนของมาเลเซีย

ใครได้อะไรบ้างจากการทูตฉบับเร่งด่วนครั้งนี้ ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศตนอย่างเปิดเผยในฐานะ ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ (President of peace) ซึ่งกัมพูชาสนองตอบอย่างรวดเร็วด้วยการเสนอชื่อเขาเป็นผู้รับรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ สหรัฐฯ ก็ได้โอกาสกลับมาแสดงตัวในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่อิทธิพลที่เคยมีในอดีตถูกแซงหน้าโดยจีนอย่างมากในระยะหลัง ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนสามารถระงับเหตุที่อาจสร้างความเสียหายต่อการลงทุนของตนในกัมพูชาซึ่งรวมทั้งโครงสร้างสำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นท่าเรือน้ำลึกสีหนุวิลล์ (Sihanoukville Autonomous Port) ท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ, โครงการคลองฟูนัน-เตโช (Funan Techo Canal) ที่เชื่อมแม่น้ำโขงกับทะเลเพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือจากกรุงพนมเปญออกสู่อ่าวไทย และโครงการดาราสาคร (Dara Sakor) บนพื้นที่ชายฝั่งกัมพูชาใกล้จังหวัดตราด ซึ่งมีแผนจะสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ควบคู่ไปกับสนามบินและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ

สำหรับรัฐบาลมาเลเซีย ภาพของนายกฯ อันวาร์ยืนกลางประสานมือระหว่างนายกรัฐมนตรีและรักษาการนายกฯ ฝ่ายไทยและกัมพูชาที่รายงานในสื่อทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศ เป็นการประกาศให้โลกรู้ถึงความสำเร็จของตัวเขาและมาเลเซียในการนำสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศสมาชิกอาเซียน กลบความผิดพลาดและข้อครหาที่ผ่านมา 

ในการเจรจา ประเทศไทยบรรลุผลในการใช้กรอบทวิภาคีในการจัดการปัญหา สกัดข้อเรียกร้องของกัมพูชาให้นำข้อพิพาทสู่ศาลโลก สถาบันทหารไทยกลายเป็นพระเอกแห่งชาติ ในขณะที่ความนิยมในสถาบันพรรคการเมืองตกต่ำ กองทัพอากาศได้รับอนุมัติงบประมาณ 19,500 ล้านบาทในการจัดซื้อครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F จำนวน 4 เครื่อง และด้วยปัญหาการเข้าถึงข้อมูล จึงไม่มีใครรู้แน่ว่ากัมพูชาได้อะไรจากการเจรจาในครั้งนี้ นอกจากการได้ยุติการสู้รบแบบผู้นำไม่เสียหน้า


เอกสารประกอบ

https://www.malaysiakini.com/news/734363

https://www.pmo.gov.my/2024/12/aseans-second-renaissance-is-now-by-anwar-ibrahim-2/

https://www.kln.gov.my/web/guest/-/statement-by-the-minister-of-foreign-affairs-of-malaysia-h-e-dato-seri-utama-haji-mohamad-bin-haji-hasan-on-thailand-cambodia-border-dispute

https://www.thaipbs.or.th/news/content/355150

https://www.reuters.com/world/china/trumps-call-broke-deadlock-thailand-cambodia-border-crisis-2025-07-31

https://www.malaysiakini.com/news/750460

https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2024/03/The-State-of-SEA-2024.pdf

https://www.channelnewsasia.com/asia/us-china-thailand-cambodia-ceasefire-deal-5267376

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save