ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศของความเครียด ความโกรธ ความกังวล และความกลัว จากเหตุการณ์การสู้รบตามแนวชายแดน แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่การปะทะยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และสิ่งที่อาจยืดเยื้อยิ่งกว่านั้น คือการปะทะในสมรภูมิของข่าวสาร
พลังความโกรธและความเป็นห่วงเพื่อนร่วมชาติ ปลุกกระแสความร่วมแรงร่วมใจขึ้นอีกครั้ง เราเห็นเพื่อนฝูง คนในครอบครัว แชร์ข่าวอย่างมีอารมณ์ร่วม ภาคเอกชนร่วมใจกันแสดงสัญลักษณ์ธงชาติไทย คนชวนกันไปบริจาคเลือด บางคนส่งข้อความให้กำลังใจทหารแนวหน้า
เหตุการณ์ต่างๆ ข้อเท็จจริงของการสู้รบ และความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยปรับจุดยืนและท่าที จากที่ไม่เอาความขัดแย้งและความรุนแรงทุกรูปแบบ ก็ปรับน้ำหนักมาให้ความสำคัญกับความมั่นคง ความจำเป็นของการตอบโต้ด้วยการทหาร และการยกระดับมาตรการการกดดันทางการทูตที่เข้มข้นมากขึ้น
ในภาพรวม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง แต่ในรายละเอียด ยังมีบางคำถามที่ยังต้องการคำตอบ
ความเข้มข้นของการ ‘รักชาติ’ ในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่รูปแบบของการร่วมแรงร่วมใจปกป้องประเทศ แต่ยังปะปนไปด้วยอารมณ์ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การดูถูกเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์เพียงเพราะเชื้อชาติต่างกัน การเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงพื้นฐาน สนุกสนานกับเรื่องแต่งที่ดิสเครดิตอีกฝ่าย ไปจนถึงละเลยหลักเหตุผลและมนุษยธรรม
กระแส ‘รักชาติ’ กลายเป็นกระแสชาตินิยมรุนแรงไปเสียอย่างนั้น ปรากฎการณ์นี้มีให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่เฟซบุ๊กของปัจเจก โซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์ คนทำสื่อ หรือองค์กรสื่อ ที่น่าสนใจคือ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับบุคคลที่ก่อนหน้าคล้ายจะตั้งคำถามกับความเป็นชาตินิยมและทหารนิยมเสียด้วยซ้ำ
ต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ถูก-ผิด ดี-เลว เท่ากับชวนเปิดประเด็นให้เห็นว่า ที่สุดแล้วในคนคนหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน ไม่มีใครเป็นอนุรักษนิยมหรือเสรีนิยมอย่าง ‘บริสุทธิ์’ ตลอดเวลา บริบท เงื่อนไขของชีวิต และข้อจำกัดที่เจอจะเป็นตัวกำหนดว่า แต่ละคนจะแสดงจุดยืนอย่างไร เช่น คุณอาจเป็นคนหัวก้าวหน้าในการเมือง แต่กลับอนุรักษ์นิยมมากในเรื่องการเลี้ยงลูก คุณอาจเคยเชื่อในความหลากหลายทางเลือก แต่เมื่อโตขึ้นกลับเชื่อในระเบียบและความมั่นคงมากกว่า
บางคนบอกไว้ว่า จุดตัดสำคัญคือ เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกเป็น ‘เจ้าของ – เจ้าที่’ เมื่อนั้นเราจะเริ่มเป็นอนุรักษ์นิยมยิ่งขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะคืออะไร – ดินแดน วัฒนธรรม ระบบ คุณค่า พื้นที่ โครงสร้างอำนาจ สถานะในองค์กร ครอบครัว หรือกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะอะไรที่เราใกล้ชิดมากที่สุด คุ้นชินมากที่สุด เราก็ย่อมยึดติดกับสิ่งนั้นมากที่สุด ต่อให้เราเคยเปิดกว้างและรับความเปลี่ยนแปลงมากเพียงใดก็ตาม
ย้ำอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่เรื่องผิดถูก เท่ากับว่า เราตระหนักเพียงพอหรือไม่ว่า เรากำลังรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีอย่างไร ความรักชาติและหวงแหนอธิปไตยนั้นทำได้แน่นอน และควรได้รับการเคารพ แต่ชาติและอธิปไตยก็ไม่ควรและไม่จำเป็นต้องถูกตัดขาดจากหลักการพื้นฐาน เช่น ความยุติธรรม ความเมตตา และการรับฟังกันอย่างมีวุฒิภาวะ
สิ่งที่เราควรถามตัวเองอยู่เสมอ คือ เรากำลังปกป้องอะไร เพื่ออะไร และสิ่งนั้นเริ่มขัดขวาง ‘ความเป็นมนุษย์’ ของอีกฝ่าย หรือกระทั่งของตัวเราเองหรือไม่
คอลัมน์ Editor’s Talk บทบรรณาธิการ โดย สมคิด พุทธศรี และ อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา บรรณาธิการอำนวยการ The101.world เผยแพร่ใน Newsletter ‘วันโอวัน’ รายสัปดาห์
- Subscribe รับ Newsletter ‘วันโอวัน’ พร้อมอ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันได้ ที่นี่
- ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support
ภาพถ่ายโดย: Chanakarn Laosarakham / AFP