‘อยากทำงานที่บ้านเกิด’ ฝันเรียบง่ายที่เอื้อมถึงยากของหนุ่มสาวนราธิวาส

1.



จุดที่รถตู้สองคันเริ่มชะลอจอด เป็นเพียงลานหญ้ากว้างๆ สีเขียวอ่อนกระดำกระด่างเป็นหย่อมน้ำตาลจากความแห้งเหี่ยว ถัดไปเป็นทางรถไฟวางพาดเหนือลานหินกรวดยาวสุดลูกหูลูกตา และถัดจากนั้น ล้วนเห็นแต่ต้นไม้รกครึ้ม บ้างเป็นพุ่มพง บ้างเป็นต้นสูง มองปราดเดียวยากจะบอกได้ว่าพื้นที่ด้านในยังมีชาวบ้านตั้งถิ่นฐาน เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหมู่ที่ 9 บ้านสะโล ตำบลมะรือโบตก จังหวัดนราธิวาส

จนกระทั่งหญิงชาวมุสลิมสามคนเดินออกมาต้อนรับคณะนักข่าวจากหลังพงเขียว ถึงมั่นใจได้ว่ามาถูกที่ เสียงทักทายผสานการแนะนำตัวฉบับสั้นๆ ระหว่างกันเติมบรรยากาศคึกครื้นสดใสให้ร้อนระอุของแดดสาย หนึ่งในนั้นอ่อนเยาว์กว่าใคร สวมฮิญาบสีดำแลเคร่งขรึม แต่ก็มีรอยยิ้มบางให้คนแปลกหน้า เธอคือฟาดีรา อดีตเยาวชน NEET[1] ที่คณะตั้งใจมาหาในวันนี้ ขณะที่อีกสองคน คือนิสูนีดา ตวนแมะเร๊าะ บัณฑิตแรงงานประจำตำบลมะรือโบตก และต่วนเยาะ อสม. ผู้รู้เส้นทางต่างๆ ในหมู่บ้านอย่างดี

ถ้าไม่มีทั้งสามคอยเดินนำ คงไม่มีใครทันสังเกตเห็นทางแคบขนาดคนเดินแถวเรียงหนึ่ง ลากยาวจากข้างทางรถไฟไปยังส่วนลึกหลังพุ่มเขียวชอุ่มเป็นแน่ แม้แต่จะให้ก้าวขาข้ามทางไร้ไม้กั้นก็อาจจะชวนลังเลใจไม่น้อย และด้วยความไม่คุ้นชินของคนจากเมืองกรุง เราจึงต้องทำตัวเหมือนตอนข้ามถนนทุกสาย คือเหลียวมองซ้ายขวาให้ดีเสียก่อนว่าไม่มีอะไรกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา

แต่แม้จะเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจ ไม่ทันเดินออกห่างจากพุ่มข้างทางรถไฟ  เสียงกึงกังก็ดังลั่น ตามด้วยขบวนรถพุ่งทะยานไปตามทางด้วยความเร็วอันน่าตื่นตาในระยะน่าตื่นตระหนก มารู้เกร็ดเกี่ยวกับเส้นทางตรงนี้ทีหลังว่าใช้สำหรับขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ – สุไหงโกลก และสายท้องถิ่น รวมถึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านแถบนี้

“พอ (รถไฟ) ถึงที่บ้านสะโล ทางมีโค้ง คนก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เขาก็ร้อง ‘สะโล! สะโล!’ (Slow! Slow!)” จนกลายเป็นชื่อบ้านสะโลทุกวันนี้ – นิสูนีดาเล่า ชวนให้คนฟังงุนงงแวบแรกอยู่บ้างว่าทำไมจึงร้องเตือนกันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งต่อมาเธอก็แจงเพิ่มเติมว่าคำมลายูปัตตานีบางคำก็มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษนั่นล่ะ

“อย่าง ‘เซอลีปาร’ (รองเท้าแตะ) ก็มาจากสลีปเปอร์” พูดพลางชี้รองเท้าโฟมหัวโตที่ตนใส่อยู่ แตกต่างเป็นขั้วตรงข้ามกับสนีกเกอร์ที่เราเลือกมาเผื่อย่ำดินย่ำหญ้าได้อย่างทะมัดทะแมง และต้องยอมรับ ว่าบางทีไอ้ความทะมัดทะแมงก็ขึ้นอยู่กับความเคยชินของคนเดินมากกว่ารองเท้า ทั้งฟารีดา นิสูนีดา และต่วนเยาะ ต่างเดินบนทางเล็กๆ ระเกะระกะด้วยเศษใบไม้กิ่งไม้แห้งได้ชำนิชำนาญทุกย่างก้าว



นับจากทางรถไฟเข้าไปราว 200-300 เมตร ก็พบบ้านของฟาดีรา

มันเป็นบ้านปูนตั้งอยู่กลางดง มองเผินๆ เหมือนมีสองชั้น แต่เมื่อผ่านเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าชั้นที่สองนั้นเป็นเพียงชั้นลอยที่ก่อด้วยแผ่นไม้ ถูกทิ้งร้างไว้ในสภาพไม่สมบูรณ์ ทำให้สมาชิกครอบครัวของเธอใช้ประโยชน์ได้แค่ชั้นล่าง ประกอบด้วยโถงกว้างสำหรับรับแขก ห้องนอนสองห้อง และห้องครัวอีกหนึ่งห้อง โดยแต่ละห้องใช้ผ้าโปร่งผืนเดียวแทนประตูเพื่อแยกพื้นที่ออกจากกันเป็นสัดส่วน

วันนั้นเป็นวันอังคารกลางเดือนมีนาคม พี่ชายคนโตวัยยี่สิบปลายของฟาดีราออกไปรับจ้างเลี้ยงวัวแต่เช้า เช่นเดียวกับน้องชายคนสุดท้องที่ออกไปเรียนโรงเรียนมัธยม ในโถงจึงมีแค่รอฮิมะห์ผู้เป็นแม่ และมิสบะห์ น้องสาววัย 18 เท่านั้นที่นั่งรอต้อนรับการกลับมาของฟาดีราพร้อมบรรดานักข่าวบนพื้นปูพรมขนเตียนผืนใหญ่ 

ในบ้านของพวกเธอดูจะมีเครื่องเรือนไม่มากนัก และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือโต๊ะวางจักรเย็บผ้า ห้อมล้อมด้วยกองผ้า ม้วนด้ายหลากสี ราวแขวนชุดกระโปรงยาว และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่บ่งบอกว่าผู้หญิงครอบครัวนี้ประกอบอาชีพอะไร

แน่นอน คำตอบย่อมมีให้หลังทุกคนล้อมวงนั่งลงในระดับเดียวกัน – เรื่องราวจากหลากปากคำอาจไม่ปะติดปะต่อเป็นระเบียบนักเมื่อบทสนทนาไหลลื่นราวกับมีเจตจำนงเป็นของตน แต่ทั้งหมดทั้งมวล รวมแล้ว เผยให้เห็นถึงประสบการณ์ของหญิงสาวสองรุ่น ในพื้นที่ที่มีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตอันน้อยนิด ดังเช่นสุดขอบชายแดนใต้ของประเทศ


2.


รอฮิมะห์ เป็นแม่ของลูกๆ สี่คน ปัจจุบันอายุเฉียด 50 ปี และยินดีให้คนอื่นเรียกว่า ‘เมาะซู’ เหมือนเวลาเด็กๆ ในบ้านสะโลเรียกเธอ คำว่า ‘เมาะ’ แปลว่า แม่หรือยาย ส่วน ‘ซู’ แปลว่าลูกคนสุดท้อง ในภาษามลายูปัตตานี เพราะเธอเคยเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัว – เรียบง่ายแบบนั้น


รอฮิมะห์ (เมาะซู)


แต่ก่อนชีวิตจะดำเนินมาเกือบครึ่งร้อย พี่น้องต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวของตนเอง จนนานๆ จึงจะได้พบกันสักที เมาะซูยังคงจดจำได้แม่นยำ ถึงบ้านที่พ่อแม่เคยทำอาชีพรับจ้างกรีดยาง ถึงความยากจนที่ทำให้เธอแทบไม่มีเสื้อสวยๆ ใส่ ถึงสภาพหมู่บ้านที่สมัยก่อนไม่มีช่างเย็บผ้าสักคน ทำให้กว่าจะได้ชุดกระโปรงใหม่ๆ สักชุด ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเดินทางไกลไปเข้าเมือง

“เลยทดลองทำเอง” เมาะซูเล่า เสียงของเธอค่อนข้างเบา โทนเรียบเรื่อย แต่ตั้งใจในทุกๆ คำ

“ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยเย็บเสื้อ เย็บอะไรเลย ก็หัดจากเย็บปลายผ้าเป็นลายดอก” ตกแต่งชายเสื้อตัวเองบ้าง ชายกระโปรงบ้าง ต่อมาบังเอิญมีโครงการอบรมสอนเย็บผ้าฟรีมาจัดใกล้บ้าน เธอจึงถือโอกาสไปเรียนรู้ แล้วนำทักษะกลับมาหัดเองต่อ

“เราเห็นว่าการเย็บผ้านี่มีรายได้ เลี้ยงตัวเองได้ เลยหัดมาตลอด”

จะว่าอยากทำเป็นอาชีพไหม ณ เวลานั้นเมาะซูอาจคิดว่าคงใกล้เคียงกับการทำงานอดิเรกมากกว่า เพราะเมื่อถึงวัยพ้นจากระบบการศึกษา ผู้หลักผู้ใหญ่ก็จัดแจงหาสามีมาตบแต่งกับเธอเพื่อช่วยเลี้ยงดูแทนพ่อแม่ที่ขาดกำลังทรัพย์ – นั่นคือเส้นทางชีวิตปกติของเด็กสาวมุสลิมส่วนใหญ่ในครัวเรือนยากจนหลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย หลายคนเลือกไม่เรียนต่อ และแต่งงานเป็นแม่บ้านของใครสักคน

“จะเป็นแฟนกันมาก่อนจากการที่เขาไปเจอกันข้างนอก แล้วแต่งงานกันก็ได้” นิสูนีดา บัณฑิตแรงงานให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าตอนนี้อิสระในการเลือกคู่สมรสของผู้หญิงชายแดนใต้มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน “แต่ถ้าส่วนใหญ่ น้อง (ผู้หญิง) ไม่ได้ออกไปไหน ก็จะมีญาติๆ ผู้ใหญ่แนะนำ หรือมีผู้ใหญ่มาดูตัว มาสู่ขอให้”

เมาะซูเป็นกรณีหลัง เธอแต่งงานกับชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักหรือสนิทสนมกันมาก่อน ดังนั้นแม้จะมีลูกด้วยกันถึงสี่คน แต่ชีวิตคู่ก็ดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่น จากคำบอกเล่าของ อสม. คือสามีของเมาะซูพัวพันกับสารเสพติด – ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของพื้นที่ภาคใต้ – และมีปัญหาใช้ความรุนแรงจนเป็นเหตุให้แตกหัก แต่จากคำบอกเล่าของเมาะซู เธอเล่าสั้นๆ แค่

“เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เลยไปกันไม่ได้”

หลังตัดสินใจแยกบ้านออกมาเลี้ยงลูกทั้งสี่คนด้วยตัวคนเดียว “ไม่ไหวก็ต้องไหว” เมาะซูใช้ทักษะการเย็บผ้าที่มีติดตัว เปลี่ยนงานอดิเรกมาเป็นงานหาเลี้ยงครอบครัว รับจ้างตัดเย็บชุดที่บ้านโดยไม่มีชื่อร้าน อาศัยเพียงคำแนะนำแบบปากต่อปากของลูกค้าในย่านบ้านสะโลว่า ‘ร้านเมาะซูสะโล’ กลางสวนแห่งนี้ มีฝีมือตัดชุดได้ทั้งชุดกระโปรง ชุดกุรง กระทั่งชุดนักเรียน



“ใครอยากตัดแบบไหนก็ซื้อผ้ามาให้เรา” มีแบบ มีผ้า แล้วเมาะซูจะทำให้โดยคิดแค่ค่าแรงเพียงอย่างเดียว ทำเช่นนี้มาตลอดกว่า 20 ปี จากคิดราคาตัวละ 50 บาท ขยับมาเป็น 200-300 บาท เฉลี่ยแล้วเมาะซูมีรายได้ต่อเดือนราว 2,000-3,000 บาท แล้วแต่จำนวนคนจ้าง ซึ่งทำให้เธอและลูกๆ อยู่กันได้แบบ ‘พอกิน’

“ก็มีงานบ้าง ไม่มีบ้าง” เมาะซูยอมรับ “ช่วงที่มีงานจะไม่ออกไปไหนเลย จะไม่นอน อย่างงานแต่ง อาจจะสั่งเย็บสิบชุด เอาภายในสามวัน แม่ก็จะไม่นอน พักแค่แป๊บๆ กินข้าว ละหมาด แล้วก็กลับมาเย็บต่อ ไม่ไปไหน”

“ช่วงรายอนี่แหละเยอะ” วันฮารีรายอ หรือวันตรุษอีด (Eid) เป็นวันที่ชาวมุสลิมเฉลิมฉลองการละศีลอด ซึ่งเปรียบได้กับวันขึ้นปีใหม่ตามคติศาสนาอิสลาม ครอบครัวส่วนใหญ่จึงมักตัดชุดใหม่กันในช่วงนี้ของทุกปีเพื่อแต่งกายให้เข้ากับบรรยากาศความรื่นเริง และนับเป็นโอกาสดีที่เมาะซูจะได้รับเงินมากกว่าปกติ ติดแค่ว่าลำพังแรงกายของคนคนเดียวย่อมทำงานได้อย่างจำกัด รายได้สูงสุดของเธอจึงตกอยู่ที่ประมาณหมื่นกว่าบาท – ไม่มากไปกว่านั้น

สำหรับปีนี้ ฮารีรายอตรงกับวันสุดท้ายของเดือนมีนาคม ดังนั้นตอนที่เราไปถึง ชุดกระโปรงตัดเสร็จใหม่จึงยังแขวนอยู่เต็มราวผ้าในโถง รอลูกค้ามาทยอยรับกลับอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่น่าเสียดายอยู่บ้างที่บนราวผ้านั้นไม่มีชุดใหม่ให้ลูกสาวของเมาะซูทั้งสองคน ดูเหมือนการอยู่แบบ ‘พอกิน’ ไม่ได้หมายความว่าจะมีเงินเพียงพอต่อความสุขขั้นพื้นฐานในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งเมาะซูต้องเลือกว่าจะเก็บเงินเพื่อส่งเสียลูกสี่คนให้เรียนจบสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือจะเลือกสร้างบ้านสองชั้นที่มั่นคงแข็งแรงและสะดวกสบายต่อจำนวนสมาชิกทั้งห้า

คำตอบ คือชั้นลอยที่ผุพังทิ้งร้างไว้มานานหลายสิบปี



ใจจริงก็อยากมีพื้นที่บ้านมากกว่านี้ – เธอกล่าวพลางชี้ให้ดูพื้นที่ฟากหนึ่งติดกับห้องโถง ประตูผ้าสองผืนกั้นห้องสองห้องจากสายตาคนภายนอก ห้องหนึ่งเป็นของลูกสาว ห้องหนึ่งสำหรับลูกชาย ส่วนแม่อาศัยปูฟูกนอนหน้าห้อง โดยมีเพียงพัดลมตั้งพื้นหนึ่งตัวเป็นเพื่อนในคืนฤดูร้อน “นี่ลูกก็โตๆ กันแล้ว ถ้ามีกำลังพอ จะสร้างห้องนอนให้คนละห้อง นี่ยังเบียดกันอยู่” เมาะซูหัวเราะเสียงแผ่ว

อย่าว่าแต่พื้นที่ส่วนตัวในบ้านเลย กระทั่งการขยับขยายครอบครัวยังเป็นเรื่องยากหากปราศจากเงิน เธอเล่าว่าเคยคุยกับลูกชายไว้เมื่อนานมาแล้ว ให้เขาเข้าใจว่าอย่าเพิ่งแต่งงานเร็วนัก เพราะบ้านคงยากจะมีพื้นที่พอรองรับภรรยาเพิ่มอีกสักคน

แต่ขณะเดียวกัน เมาะซูก็ปฏิเสธความคิดที่จะให้ลูกสาวทั้งสองรีบตบแต่งออกไปจากบ้าน ไม่ว่าพวกเธอจะเลือกเรียนต่อหรือไม่ ที่หลับนอนจะคับแคบแค่ไหนก็ตามที

“เราอยู่กับลูกเหมือนอยู่กับเพื่อน จะไม่ไปหาเพื่อนนอกบ้าน” เมาะซูว่า

“ตอนเป็นแม่ก็เป็นแม่ ตอนเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน”


3.


ฟาดีรา เป็นลูกคนรองจากทั้งสี่คนของรอฮิมะห์ ปีนี้เธออายุ 22 แล้ว หากเทียบกับคนวัยเดียวกันในเมืองกรุงก็คงเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยหมาดๆ และหมายมาดจะเริ่มต้นเส้นทางการทำงานในบริษัทสักแห่ง ฟาดีราเองก็มีความฝันเช่นนั้น แต่ชีวิตของเธอในนราธิวาสกลับดำเนินแตกต่างออกไป


ฟาดีรา


ในชั้นมัธยม เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนประทีปวิทยา ซึ่งห่างจากบ้านราวสามกิโลเมตร ร่วมกับพี่น้องที่เหลือ ด้วยเหตุผลว่าถ้าครอบครัวหนึ่งมีบุตรหลานเข้าเรียนพร้อมกันหลายคน ทางโรงเรียนมีนโยบายให้เรียนฟรีหนึ่งคน และยังมีรถคอยรับส่งให้ถึงบ้าน สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างรอฮิมะห์ สิ่งนี้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร และทำให้เธอกับน้องสาว มิสบะห์ มีเวลากลับมาช่วยงานตัดเย็บของแม่ได้บ้าง

เปรียบเทียบระหว่างสองพี่น้อง ฟาดีรานับว่ามีบุคลิกกระฉับกระเฉง พูดจาฉะฉานกว่ามิสบะห์ ผู้อ่อนวัยกว่า เรียบร้อย และขี้อายยิ่งกว่า ฝ่ายหลังไม่แม้แต่จะเอ่ยปากคุยกับคนแปลกหน้า ซึ่งอาจเป็นเพราะตามปกติ สังคมมุสลิมชายแดนใต้นิยมสื่อสารกันด้วยภาษามลายูปัตตานี ทำให้หลายคนไม่มั่นใจเวลาต้องใช้ภาษาไทยพูดคุยกับคนนอก และอาจเป็นเพราะฟาดีรามีประสบการณ์ออกไปเผชิญโลกกว้างมากกว่า – หลังจากเรียนจบชั้น ม.6 เธอตัดสินใจเข้าเรียนต่อ ปวส.สายบัญชีที่วิทยาลัยนราธิวาส วาดหวังว่าจะใช้ความรู้ที่ได้มาหางานทำ เป็นกำลังสำคัญให้ครอบครัว

แต่ในความเป็นจริง ฟาดีราร่ำเรียนเพื่อกลับมาพบว่าบ้านเกิดของเธอ จังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้ไม่มีทั้งบริษัท สำนักงาน หรือโรงงานที่เปิดรับตำแหน่งนักบัญชีเลย มีเพียงงานรับจ้างเลี้ยงวัว เก็บผลไม้ตามฤดูกาลที่ได้รับค่าแรงไม่เกินวันละ 300 บาท และโอกาสที่ใกล้บ้านที่สุด อยู่ถึงอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ใช้เวลานั่งรถไปกว่าสามชั่วโมง

“เราเคยไปรอสมัครงานที่หาดใหญ่อยู่บ้าง แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับมา” ฟาดีราเล่า อันที่จริง เธอจะเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนอย่างพี่ชายคนโตทำก่อนหน้านี้ก็ย่อมได้ แต่เธอค้นพบว่าการสมัครงานในเมืองด้วยวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีกลับเป็นเรื่องที่ยากเกินความคาดหมาย

“พอจบอนุ (ปริญญา) ก็จะบอกว่าจบไม่สูงพอจะรับเข้าทำงาน ประสบการณ์น้อย เขาเลยไม่เอา เขาอยากได้ปริญญาตรีมากกว่า” ยอมรับกันตามตรง ฟาดีราก็อยากเรียนให้จบขั้นที่ว่า แต่เมื่อเหลียวมองกำลังทรัพย์ของทางบ้าน รวมกับข่าวคราวค่าครองชีพแพงแสนแพงในกรุงเทพฯ เธอก็เลิกล้มความตั้งใจแล้วกลับมาอยู่กับแม่และน้อง เช่นเดียวกับพี่ชายที่ ณ ตอนนี้ ก็ได้ยอมแพ้ให้เมืองหลวง แล้วกลับมารับจ้างที่บ้านเกิดแทน

ฟาดีรา ในช่วงชีวิตหลังเรียนจบ ปวส. จึงเข้าสู่สภาวะว่างงาน แต่ละวันคอยดูแลบ้าน ช่วยงานตัดเย็บของแม่กระจุกกระจิกร่วมกับมิสบะห์ น้องสาวที่ตัดสินใจไม่เรียนต่อระดับอนุปริญญาแบบพี่สาว แต่เลือกเดินตามรอยแม่มาตลอดสองปีหลังเรียนจบชั้น ม.6 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทักษะการตัดเย็บแบบ ‘หัดเอาเอง’ ของรอฮิมะห์ จะไม่สามารถถ่ายทอดสู่ลูกๆ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งสองจึงไม่มีความรู้พื้นฐานและไม่สามารถช่วยได้มากไปกว่าการเย็บกระดุมติดชุดเล็กๆ น้อยๆ ตามที่แม่สอน



จนกระทั่งนิสูนีดา บัณฑิตแรงงานประจำพื้นที่เดินทางมาชักชวนพวกเธอให้เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาเยาวชน NEETs ของสำนักงานแรงงานจังหวัดนราธิวาส[2] เพื่อที่ปลายทางจะได้เข้าฝึกอบรมทักษะอาชีพตามที่พวกเธอสนใจ ฟารีดาและมิสบะห์จึงตอบตกลงทันที โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการเรียนรู้ทักษะเย็บปักถักร้อย เพื่อกลับมาช่วยงานแม่ ทำอาชีพเดียวกับแม่

“มันไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนไกล ทำงานจากที่บ้านก็ได้ ดูแลแม่ได้” ฟาดีราให้เหตุผล ส่วนมิสบะห์ยิ้มเขินๆ สมทบ ปล่อยให้พี่สาวอธิบายต่อว่าในโครงการอบรมทักษะ ทั้งคู่ได้เรียนตั้งแต่ “สอนพื้นฐาน วิธีวัดตัว วิธีสร้างแบบเสื้อผ้าว่าทำอย่างไร” ภายในเวลาห้าวัน และกลับมาพร้อมผลงานจากชั้นเรียนเป็นชุดกระโปรงแขนยาวสีไข่ไก่คนละตัว ที่นิสูนีดาคะยั้นคะยอให้พวกเธอหยิบจากราวแขวนออกมาอวดแขก


“ฝีมือดีขึ้นเยอะ” คนเป็นแม่กล่าวชมสั้นๆ ช่วยลูกสาวหยิบชุดกระโปรงตัวอื่นๆ ออกมาโชว์เพิ่มเติม ทำให้เราสังเกตเห็นจุดร่วมเป็นป้ายโลโก้กำกับบริเวณด้านในคอเสื้อ เขียนเอาไว้ว่า ‘Famis’

“มาจากฟาดีรากับมิสบะห์” ฟาดีรายิ้ม – นั่นเป็นแบรนด์ร้านเสื้อที่เธอตั้งใจจะทำร่วมกับน้องสาวหลังจากนี้ โดยเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการโพสต์สตอรี่เบื้องหลังการตัดเย็บชุดลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวก่อน เผื่อว่าสักวันจะสามารถขยับขยายไปขายออนไลน์ หรือถ้ามีทุนทรัพย์มากขึ้น เธอก็อยากเปิดหน้าร้านเป็นธุรกิจของครอบครัว

“ตอนนี้อยากได้จักรเพิ่ม” จะได้ช่วยกันรับงานมากขึ้น รายได้มากขึ้น ฟาดีรากล่าว – แม้ไม่รู้ว่าจะสามารถเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อจักรเย็บผ้าราคาครึ่งหมื่นได้เมื่อไหร่ แต่อย่างน้อย เธอก็ยังหวัง

“อยากให้เรามีชีวิตดีกว่านี้ อยากสร้างบ้าน”

เติมเต็มชั้นลอยเก่าโทรมนั้น และความฝันของแม่



ว่าไปก็อาจเป็นโชคดีของฟาดีราและมิสบะห์ ที่รอฮิมะห์มีอาชีพเป็นช่างเย็บผ้า เด็กสาวขี้อายถึงได้มีแรงบันดาลใจ และคนที่เคยผิดหวังจากในเมือง ก็ได้กลับมาเห็นโอกาสที่บ้านตนเอง

หากเทียบกับเด็กอีกหลายคนในครอบครัวชายแดนใต้ที่พ่อแม่ไม่อาจหางานเป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยเงินจากการรับจ้างจิปาถะรายวัน ความฝันของเด็กเหล่านั้นก็อาจเลือนรางไม่ชัดเจน กระทั่งหดแคบลง จนไม่เห็นลู่ทางใหม่ๆ หรือเชื่อในศักยภาพของตนเองก็เป็นได้

“บางคนก็รอความช่วยเหลือจากหน่วยงาน พอเราบอกว่าจะส่งเสริมให้ฝึกอาชีพ เขาไม่เอาก็มี” นิสูนีดาเล่าประสบการณ์จากการพบปะเยาวชนนอกระบบการศึกษาและการจ้างงานในตำบลมะรือโบตกมามากมาย อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าแม้จะผลักดันให้หลายคนกลับมาฝึกทักษะได้สำเร็จ แต่นั่นไม่ได้รับประกันว่าการมีอาชีพเป็นของตนเองจะสามารถพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนได้ง่ายๆ ตราบใดที่ทางบ้านยังขาดทุนทรัพย์สำหรับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงโอกาสต่อยอด ขยับขยายกิจการยังเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย

ชีวิตของฟารีดา หรืออดีตเยาวชน NEET คนอื่นอาจจะยังวนเวียนอยู่จุดเดิม ไม่แย่ไปกว่านี้ และไม่ดีไปกว่ากัน

“เราไม่อยากทิ้งน้องไว้ข้างหลัง แค่มาส่งเสริมเขา แล้วปล่อยน้องไว้ไปไม่ถึงฝัน” นิสูนิดาทิ้งท้ายสั้นๆ จากใจคนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลฟารีดาและมิสบะห์มาหลายเดือน


นิสูนีดา ตวนแมะเร๊าะ


ขากลับเป็นเวลาเที่ยงกว่า ดวงอาทิตย์ตั้งฉากอยู่เหนือหัว แต่เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังออกมายืนส่งแขกที่ด้านนอกชายคา – คราวนี้เมาะซูเป็นฝ่ายเดินมาส่งถึงลานหญ้าข้างทางรถไฟ เธอคุยกับฟาน-ธีรพัฒน์ ช่างภาพหนุ่มนราธิวาสที่ไปกับเราด้วยภาษายาวีอย่างออกรส ขณะที่ฝั่งนักเขียนเพิ่งจะเรียนรู้คำได้แค่ไม่กี่คำ

“ตรีมอกาเซะ” – ขอบคุณ คือหนึ่งในนั้น

เมาะซูยิ้มตอบ อวยพรเป็นภาษาของเธอ จับความได้ว่าขอให้เดินทางปลอดภัย


4.


ข้อสังเกตส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ จากการพูดคุยกับเยาวชนมาหลายครั้ง คือเด็กผู้ชาย – ถ้าอยู่นอกเมืองสักหน่อย – มักใฝ่ฝันอยากเป็นช่างซ่อมจักรยานยนต์ ที่นราธิวาสเองก็คล้ายคลึงกัน ผลสำรวจความสนใจของเยาวชนชายที่เข้าโครงการแก้ไขปัญหาเยาวชน NEETs นั้น พบว่าส่วนใหญ่ระบุความฝันเป็นช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์

เพราะมันใกล้ตัวหรือ ก็อาจใช่ ด้วยราคาที่เอื้อมถึงกว่ารถยนต์ทำให้รถเครื่องกลายเป็นพาหนะหลักที่ชาวบ้านต่างจังหวัดมักใช้เดินทางไปมาหาสู่กัน

แต่อีกเหตุผลที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น – มันเท่

“วัยรุ่นน่ะชอบแต่งรถ”

ตกบ่าย ถัดจากบ้านของครอบครัวฟาดีรา รถตู้แล่นฝ่าฝนพรำมายังตำบลกาวะ อำเภอสุไหงปาดี และจอดลงเมื่อฝนหยุด หน้าร้านรับซ่อมมอเตอร์ไซค์ของอับดุลรอเยะ เจ๊ะนุ หรือ ‘ช่างยักษ์’ ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ ติดถนน หน้าตารูปทรงใกล้เคียงกับบ้านไม้ที่มีลานเล็กๆ เป็นพื้นที่ทำงาน มีทั้งกล่องอะไหล่และเครื่องมือวางไว้รอบๆ ส่วนด้านข้างติดกันเป็นเป็นอาคารคล้ายโกดังขนาดใหญ่กว่า ใหม่กว่า ใต้หลังคาที่ยื่นออกมามีจักรยานยนต์จอดทิ้งไว้หลายสิบคัน



เขาเปิดร้านไว้รับแขกตามนัดหมาย พร้อมกับเด็กหนุ่มชื่อ รุษวาดี หรือ ‘วาดี’ และบัณฑิตแรงงานประจำพื้นที่ บุศริน อาแว วาดีเป็นอดีตเยาวชน NEET อีกคนที่เข้าร่วมโครงการของสำนักงานแรงงาน และกำลังฝึกงานกับร้านของช่างยักษ์เพื่อจบหลักสูตรฝึกอบรม ฉะนั้น ตอนเราไปถึง ทุกคนจึงบอกให้วาดีเริ่มต้นแนะนำตัวด้วยการโชว์วิธีตรวจเช็กระบบไฟและลงมือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจักรยานยนต์ตรงลานหน้าร้านก่อนการพูดคุย

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เด็กหนุ่มยุ่งง่วนนั้น เปิดโอกาสให้เราทำความรู้จักกับช่างยักษ์ – ชายหนุ่มผู้ผ่านประสบการณ์วัยรุ่นชอบแต่งรถเครื่อง จนกลายมาเป็นอาชีพของเขา


อับดุลรอเยะ เจ๊ะนุ – ช่างยักษ์


“แต่ก่อนผมก็ชอบแต่งรถ ใจเรารัก เลยไปเรียนช่าง แล้วพอทำไปทำมา มันใช่ว่ะ เลยไปต่อเลย” ช่างยักษ์เล่าว่าก่อนจะมาลงหลักปักฐานเปิดร้านที่ตำบลกาวะแห่งนี้ เขาเคยทำงานศูนย์บริการฮอนด้า ที่หาดใหญ่ พร้อมๆ กับเรียนภาคค่ำที่วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ควบคู่กัน ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานโดยสังกัดบริษัทใหญ่ก็ราบรื่นเข้าที “แต่เราอยากทำงานที่บ้านมากกว่า”

พอเก็บออมมีเงินก้อนพอให้ตั้งตัวได้ เขาจึงย้ายกลับมานราธิวาส ทำกิจการของตนเอง รวมแล้วเป็นเวลากว่าหกปี โดยนอกจากคอยให้บริการลูกค้าทั่วไปแล้ว ร้านรับซ่อมมอเตอร์ไซค์ของช่างวัยกลางคนยังเป็นอีกหนึ่งแหล่งฝึกงานที่มีเด็กๆ สายอาชีพจากวิทยาลัยเทคนิคหรือหลักสูตรอบรมทักษะวิชาชีพแวะเวียนมาฝากเนื้อฝากตัวบ่อยครั้ง

“ส่วนมากที่มาฝึกเพราะเด็กๆ มักจะรู้จักผม” ช่างยักษ์ถือโอกาสแนะนำตัวเพิ่มเติมว่าเขาสวมหมวกประธานเยาวชนประจำหมู่บ้านอยู่อีกใบ ทำให้คลุกคลีกับเครือข่ายผู้ใหญ่บ้าน กรรมการมัสยิด หรือภาคส่วนที่ดูแลเด็กๆ มาตลอด และเห็นด้วยว่าวัยรุ่นหลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นช่างอย่างเขาเพราะรักการแต่งรถ แต่ก็มีอกหักไปบ้างเมื่อมาฝึกงานแล้วพบว่าร้านของเขารับซ่อมและบริการตรวจเช็กสภาพเท่านั้น ไม่รับแต่ง

“แต่ก่อนเราก็ทำทั้งเซอร์วิส ทั้งแต่ง มีทุกอย่าง” เขาว่า “แต่พอเรามีความรู้ทำมาหากิน ความคิดมันก็เปลี่ยน เรื่องแต่งรถก็ไม่ใช่แล้ว”

“มันเกินวัยแล้ว” หัวเราะกลั้วอยู่ในประโยค กระนั้นอดีตนักแต่งรถก็สามารถแบ่งปันเทรนด์แต่งรถเครื่องของวัยรุ่นนราธิวาสในตอนนี้ได้ ว่ามีทั้งการ ‘แต่งสวย’ และ ‘แต่งแรง’ ถ้าแต่งสวย เขานิยมแต่ง ‘ทรงเชง’ “ใส่ล้อเล็กๆ อาร์มหลังยาวๆ แล้วก็รถเตี้ยๆ” ช่างกล่าว ส่วนแต่งแรงก็มีหลายประเภท ทั้งแต่งไว้แข่งรถ แต่งไว้เร่งโชว์คนอื่น และแต่งให้แรง ทนทานต่อการออกเที่ยวทางไกล

ใจความสำคัญคือไม่ว่าแต่งแบบไหน ล้วนต้องใช้เงินจำนวนมาก ถึงขั้นหลักหมื่นในแต่ละครั้งจนกว่าจะได้ทรงที่ถูกใจ นี่จึงถือเป็นงานอดิเรกระดับหรูหราเลยก็ว่าได้ และถึงที่สุดแล้ว ประสบการณ์ของช่างยักษ์สอนตัวเขาเองว่าการรับซ่อมและบริการเช็กสภาพรถนั้นจำเป็นกว่าสำหรับคนใช้พาหนะในชีวิตประจำวัน

ยิ่งไปกว่านั้น ลำพังงานซ่อมก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เด็กๆ คิดเสมอไป



“ผมอยากแนะนำให้หลักสูตรต่างๆ เพิ่มระยะเวลาการฝึกงานขึ้นมานิดนึง บางคนมาแค่ฝึก 20 วันยังไม่ทันถึงเนื้อ เจอแค่น้ำ” ช่างยักษ์เสนอแนะ และเน้นย้ำว่าการเป็นผู้ประกอบการ ต้องเรียนรู้ทักษะด้านอื่นๆ มากกว่าความรู้ทางเทคนิคช่าง ทั้งมนุษยสัมพันธ์ วิธีบริการลูกค้า แนวคิดบริหารกิจการ

ตลอดจนต้องมีเงินทุนเป็นของตนเอง

“นั่นน่ะ” เขาชี้อาคารโกดังหลังใหม่ข้างร้าน ซึ่งเขาตระเตรียมไว้ใช้ทั้งทำงานและอยู่อาศัย แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่อย่างที่ตั้งใจไว้ “รองบประมาณ” ช่างยักษ์หัวเราะเบาๆ


5.


วาดีเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย เขาเข็นรถหลบไปจอดอีกด้าน และแค่ลากเก้าอี้มากันคนละตัวก็สามารถเปลี่ยนลานทำงานกลายเป็นพื้นที่วงสนทนาขนาดย่อม ประกอบไปด้วยเรา เด็กหนุ่มวัยย่างเข้า 20 ปี และบุศริน บัณฑิตแรงงาน

วาดีเป็นคนตัวสูง เงียบขรึม ตอบคำถามสั้นๆ และบางครั้งก็นิ่งคิดนานเมื่อเจอคำถามเกี่ยวกับอนาคตหรือความเห็นของตนเอง เขาอธิบายที่มาที่ไปของการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมศักยภาพ NEETs จนมาบรรจบที่การเลือกอบรมทักษะช่างยนต์และการฝึกงานที่ร้านช่างยักษ์ว่า “ผมอยากเป็นช่างซ่อมจักรยานยนต์ตั้งแต่เด็กแล้ว เห็นช่างเขาซ่อมรถอะไรแบบนี้ ก็ชอบ”

แวบแรกคิดว่าเขาคงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบแต่งรถ จึงรู้สึกว่าอาชีพนี้เท่ – แต่เปล่าเลย “เขาทำงานแล้วได้เงิน” วาดีกล่าว อย่างตรงไปตรงมา “ผมก็อยากได้เงินด้วย เลยมาเรียนสาขาช่าง”


รุษวาดี


ก่อนหน้านั้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ในครอบครัวที่มีสมาชิกทั้งหมดหกคน พ่อ – อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แม่ – แม่บ้าน พี่สาวคนโต – แต่งงานและขายอาหารในสุไหงโกลก พี่สาวคนรองและพี่ชายคนที่สาม – ทำงานในศูนย์บริการรถยนต์ที่กรุงเทพฯ ถัดมาคือตัวเขา และสุดท้ายคือน้องสาววัย 14 ปี จุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งในชีวิตของวาดีน่าจะเป็นการตัดสินใจเลิกเรียนหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพราะต้องการออกมาทำงาน

“เราอยากหาเงินด้วยตัวเองมากกว่าขอพ่อแม่” เขาว่า แต่ในโลกความเป็นจริงตอกกลับเด็กหนุ่มอายุ 15 ว่าการหางานด้วยวัยเพียงเท่านี้เป็นเรื่องยากแค่ไหน และยิ่งยากเข้าไปใหญ่เมื่ออยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้เช่นนราธิวาส บุศรินอธิบายว่างานที่เยาวชนสามารถทำได้ ส่วนใหญ่เป็นงานรับจ้างรายวัน เช่น กรีดยาง ตัดไม้ เท่านั้น หน่วยงานห้างร้านต่างๆ รังแต่จะปฏิเสธ กระนั้นเด็กส่วนมากกลับเลือกทางเดียวกับวาดี – เรียนถึงแค่ชั้น ม.3 แล้วออกมาหางานเอาดาบหน้า

“บางคนอยากทำงานมาก อยากหาเงิน ก็ข้ามไปทำงานฝั่งนู้น (มาเลเซีย)” บุศรินกล่าว เธอมองว่าการตัดสินใจของเด็กๆ เหล่านี้น่ากังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อาจเกิดเหตุความไม่สงบระหว่างการทำงาน หรือความเสี่ยงต่อการพัวพันข้องเกี่ยวกับยาเสพติดที่เข้าถึงได้ง่ายเกินใครคาดคิด

ขณะที่วาดีก็ยอมรับว่าหลังหางานทำไม่ได้ตามที่หวังไว้ เขาได้แต่อยู่บ้านเฉยๆ สลับกับออกไปเที่ยวเล่น บางวันถึงดึกดื่นค่ำคืน บางวันกลับถึงบ้านเช้าก็มี “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้ว” เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะ และบอกว่าการใช้ชีวิตอยู่บ้านนานวันเข้าก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอยากกลับไปเรียน จังหวะนั้นเองที่บุศรินเข้ามาติดต่อชักชวนเข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาเยาวชน NEETs พอดี เขาจึงตอบตกลงและเดินทางไปเรียนหลักสูตรช่างยนต์ที่ศูนย์ฝึกอาชีพพระราชทาน จังหวัดนราธิวาส โดยกินนอนเสมือนอยู่โรงเรียนประจำ กลับบ้านแค่ช่วงเสาร์อาทิตย์เป็นเวลากว่าสองเดือน จนล่าสุด มาฝึกงานต่ออีกหนึ่งเดือนที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ของช่างยักษ์

ครั้นถามว่าฝึกงานต้องเจออะไรบ้าง “เจอเยอะ” วาดีหัวเราะ “เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง งัดยาง ใส่ลม เปลี่ยนไฟหน้าไฟหลัง” ร้อนจนเหงื่อไหล เหนื่อยจนไม่เหลือแรง แต่ก็ยังเป็นงานที่เขาออกตัวว่ารู้สึกชื่นชอบอยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกัน วาดีก็พอรู้อยู่ว่าการเปิดกิจการด้วยตัวเองเป็นเรื่องลำบากเมื่อปราศจากทุนตั้งตัว เขาจึงตั้งเป้าหมายแค่หางานทำสักงานในร้านช่างยนต์แถวบ้านหลังฝึกจบเท่านั้น



แล้วถ้าไม่ติดข้อจำกัดเรื่องเงินล่ะ – ลองถามซ้ำอีกสักคำ วาดีอยากทำอะไร?

เขานิ่ง ใคร่ครวญครู่หนึ่งถึงตอบ “ถ้าได้ ถ้ามันได้จริงๆ นะ” เด็กหนุ่มย้ำ “ผมอยากกลับไปเรียน อยากหาความรู้มากกว่านี้”

เขากล่าวว่าตนคงเลือกเรียนเกี่ยวกับช่างยนต์ในระดับที่สูงขึ้น แต่ไม่กล้าคิดถึงการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นั่นแลดูเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะในตอนที่เขาเผยว่าพ่อของตนเพิ่งล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่าน ทำให้ภาระทางการเงินที่บ้านยิ่งหนักหนาขึ้นไปอีกขั้น แล้วยังมีน้องสาวที่กำลังจะขึ้นม.3 ในเร็วๆ นี้ซึ่ง “เขาเรียนเก่งมาก ได้เกรดสี่ทุกวิชา” อีก

วาดีสรุปสั้นๆ ว่าหนทางการเรียนต่อของเขานั้น “คงไม่น่าทันแล้ว”

เมื่อถึงจุดหนึ่ง เด็กหนุ่มก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ประคับประคองครอบครัวต่อไป

วาดีคงตัดสินใจแล้ว


6.


หลายครั้งชีวิตคนเราต้องยืนอยู่บนทางเลือก แต่อีกหลายครั้ง ก็ดูเหมือนเราไม่ได้มีอิสระในการเลือกมากเท่าที่คิด

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสังคมที่ยังคงเผชิญกับปัญหาความยากจนและเหลื่อมล้ำแทบทุกจังหวัด ตั้งแต่ระดับครัวเรือนซึ่งสมาชิกอาจต้องทำงานชนิดหาเช้ากินค่ำ ยากจะเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคตของลูกหลาน จนถึงภาพใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจและแหล่งงานกระจุกตัวเพียงในบางพื้นที่ ทำให้คนหนุ่มสาวต้องละทิ้งความฝันอันเรียบง่ายที่สุด – อย่างการได้ทำงานที่ดีในบ้านเกิด – เดินทางหลายร้อยกิโลเมตรสู่เมืองใหญ่ โดยหวังว่าการทำงานจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถ้าใครสักคนตัดสินใจต่างออกไป เลือกปักหลักหางานในจังหวัด ก็อาจต้องเสี่ยงลงเอยกับสภาวะว่างงาน อยู่นอกระบบตลาด การศึกษา และการฝึกอบรม – เหมือนเยาวชนนราธิวาสที่เคยประสบภาวะ NEETs สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของไทย[3]

สำหรับบริบทชายแดนใต้ ดูเหมือนโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นจะยิ่งน้อยลงไปกว่าแห่งหนอื่นๆ เมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบยังไร้ทางออกในเร็ววัน รัฐศูนย์กลางยังคงระแวดระวังและพยายามกำกับควบคุมด้วยมาตรการความมั่นคง ความสวยงามของเทือกเขา น้ำตก และทะเลจึงยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาค้นพบ ไม่มีนักลงทุนมาช่วยสร้างงาน ไม่มีโอกาสใหม่ๆ มาสู่บ้านของเยาวชนอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต

เรื่องราวเดิมๆ ของเมาะซู ของฟาดีรา ช่างยักษ์ และวาดี จึงอาจจะยังดำเนินต่อไป

โดยไม่รู้ว่าต้องเปลี่ยนคนเล่าใหม่ไปอีกกี่ครั้ง




หมายเหตุ : ผู้เขียนลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ระหว่างวันที่ 17-19 มีนาคม 2567 โดยความร่วมมือกับองค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย

References
1 เยาวชนอายุ 15-24 ปีที่อยู่นอกระบบการศึกษา การจ้างงาน และการฝึกอบรม : Not in Education, Employment or Training
2 อ่านรายละเอียด ‘โครงการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเยาวชน NEETs ในพื้นที่จังหวัดนำร่อง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้’ และทำความเข้าใจบริบทสังคมรอบตัวเยาวชน NEETs ชายแดนใต้เพิ่มเติมได้ที่นี่
3 ตามรายงานของยูนิเซฟ ร่วมกับวิทยาลัยประชากรศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงแรงงาน จัดทำเมื่อปี 2565

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save