พสิษฐ์ วงษ์งามดี
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ผมได้อ่านบทความของคุณโตมร ศุขปรีชา เรื่อง ‘ปัญหาของ Realpolitik: การเมืองเป็นแค่เรื่องของการต่อรองผลประโยชน์จริงหรือ?’ ซึ่งเผยแพร่ทาง The 101.World บทความชวนถกเถียงถึงข้อจำกัดของการเมืองแบบ Realpolitik หรือที่ปัจจุบันหลายคนเรียกว่าการเมืองแบบปฏิบัตินิยม (pragmatism) ว่าเป็นการเมืองที่ละเลยความยุติธรรมและศีลธรรม
ผมอ่านบทความของคุณโตมรด้วยความชื่นชมและรู้สึกว่าสรุปข้อจำกัดของ Realpolitik ได้ดีมากๆ โดยคุณโตมรได้เปิดประเด็นหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญมากจึงอยากจะช่วยขยายความและสนับสนุนเพิ่มเติม นั่นคือประเด็นว่าการนำศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น ต้องทำอย่างระมัดระวังและต้องเป็นศีลธรรมที่มีความหลากหลาย
ในบทความนี้ ผมต้องการเสนอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกข้อถกเถียงทางด้านศีลธรรมออกจากการเมือง และต่อให้เป็นไปได้ ความพยายามแยกศีลธรรมออกจากการเมืองก็อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีนักภายใต้สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การใช้ศีลธรรมนำการเมืองนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทั้งสำคัญและอันตรายไปในตัว การเมืองไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างของการใช้ศีลธรรมมานำการเมืองอย่างไร้ความระมัดระวังจนก่อให้เกิดวิกฤต ซึ่งทางออกจากวิกฤตนั้นไม่ใช่การหันไปสู่ Realpolitik ที่ปลอดศีลธรรม แต่คือการทลายสภาวะผูกขาดทางศีลธรรม ไม่ให้การเมืองไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจนำของศีลธรรมเพียงชุดเดียวต่างหาก
Realpolitik กับการเมืองแบบปลอดศีลธรรม
ผมขอเรียกสภาวะที่ฝ่ายปฏิบัตินิยมหรือผู้เชื่อใน Realpolitik ถวิลหาว่า ‘การเมืองแบบปลอดศีลธรรม’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเมืองที่นำโดยคนเลวหรือความเลว แต่หมายถึงการเมืองที่ศีลธรรมไม่ใช่ประเด็นสำคัญ (irrelevant) หรือพูดอีกอย่างคือเป็นการเมืองที่ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด นักการเมืองเป็นคนดีหรือคนเลวก็ได้ เพราะสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่ใช่ศีลธรรม แต่คือการต่อสู้ทางผลประโยชน์
การเมืองแบบปลอดศีลธรรมไม่ได้ละเลยความต้องการของประชาชนเสียทีเดียว เพราะประชาชนก็สามารถเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของตนได้ผ่านการออกแบบกลไกทางอำนาจ เช่น การเลือกตั้ง การมีผู้แทนในสภา เป็นต้น เพียงแต่ประชาชนเองก็อาจไม่จำเป็นต้องสนใจหลักการทางศีลธรรมมากนัก (เพราะมัน irrelevant) เพียงแค่แสดงออกได้ว่าตนเองต้องการอะไรก็เพียงพอแล้ว
ผมต้องยอมรับก่อนว่า การถวิลหาสภาวะปลอดศีลธรรมของผู้นิยม Realpolitik นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างมากหากพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองไทยซึ่งวาทกรรม ‘คนดี’ ถูกตีความอย่างกว้างขวางโดยผู้มีอำนาจเพื่อสนับสนุนกลุ่มบุคคลหนึ่งและทำลายล้างกลุ่มบุคคลอื่นอย่างไม่เป็นธรรม จนทำให้คนบางกลุ่มมองว่าการนำเอาศีลธรรมซึ่งไม่มีมาตรวัดชัดเจนมาใช้นำการเมืองเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
ซึ่งผมเห็นด้วยว่าความกังวลต่อการนำเอาศีลธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าเราควรกลัวการถกเถียงเรื่องความดีเลวเสียจนถวิลหาแต่เพียงการเมืองปลอดศีลธรรม
การเมืองปลอดศีลธรรมมีจริงหรือ?
ผมต้องพูดให้ชัดเจน ณ ที่นี้ว่า ผมเชื่อว่าการเมืองปลอดศีลธรรมนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะพูดให้ถึงที่สุดแล้ว การเมืองคือการปะทะกันของระบบคุณค่าหรือความเชื่อทางศีลธรรมนั่นเอง หลายคนน่าจะคุ้นชินว่าการเมืองคือการแข่งขันกันระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สตรีนิยม อนุรักษนิยม เสรีนิยม อำนาจนิยม หรือประชาธิปไตยก้าวหน้า อุดมการณ์เหล่านี้ล้วนพ่วงมาด้วยระบบคุณค่าว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือก็คือการแข่งขันกันทางศีลธรรมนั่นเอง เช่น เชื่อว่าควรให้ประชาชนมีอำนาจมากหรือน้อย เชื่อว่าสังคมควรเปลี่ยนแปลงเร็วหรือช้า เชื่อว่าผู้หญิงเท่าเทียมผู้ชาย เชื่อว่ารัฐควรให้สวัสดิการพื้นฐานทั่วหน้าแก่ประชาชน เชื่อว่านโยบาย A ดีกว่านโยบาย B ฯลฯ
พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ การเมืองคือการแข่งขันของผู้คนที่มีความฝันและความเชื่อเรื่องความถูกต้องแตกต่างกันไปนั่นเอง ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตัวตนของการเมืองจะผูกโยงกับการต่อสู้เชิงศีลธรรมเพื่อนิยามความถูกต้องและสิ่งที่ควรจะทำ การเมืองจึงไม่มีทางปลอดข้อถกเถียงทางศีลธรรม และการเมืองปลอดศีลธรรมจึงไม่เป็นการเมือง
แนวคิดของฝ่ายปฏิบัตินิยมที่มองว่าทางออกของปัญหานี้คือการลดบทบาทของศีลธรรมลงไปเสีย เพื่อให้การเมืองเป็นแค่เรื่องผลประโยชน์และอำนาจเพียงอย่างเดียวจึงมีปัญหาในทางหลักการ เพราะการเมืองปลอดศีลธรรมนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ เช่น การที่ฝ่ายปฏิบัตินิยมออกแบบกลไกทางอำนาจเพื่อให้การเมืองแบบ Realpolitik สะท้อนผลประโยชน์ของประชาชน ก็หนีไม่พ้นข้อถกเถียงทางศีลธรรมว่ากลไกแบบไหน ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ อยู่ดี หรือพูดให้ถึงที่สุดแล้วแม้แต่การ ‘ไม่เลือกข้างทางศีลธรรม’ ก็ยังเป็นการเลือกทางศีลธรรมรูปแบบหนึ่งอยู่ดี
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศีลธรรม แต่อยู่ที่การผูกขาดศีลธรรม
ถ้าการเมืองไม่อาจปลอดศีลธรรมได้ หมายความว่าเราจำต้องยอมรับการตีความ ‘คนดี’ ของผู้มีอำนาจอย่างนั้นหรือ? ผมเชื่อว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะปัญหาของการเมืองไทยที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ที่การใช้ศีลธรรมนำการเมืองเสียทีเดียว แต่อยู่ที่การตีความศีลธรรมในการเมืองไทยถูกผูกขาดโดยศีลธรรมเพียงชุดเดียวต่างหาก
ปัจจุบัน การตีความว่าสิ่งใดดี-เลว ถูก-ผิด ถูกจำกัดด้วยคุณค่าเพียงชุดเดียวภายใต้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมและพุทธแบบไทยๆ ทำให้การตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์อย่างสุจริตและเพื่อประโยชน์สาธารณะถูกทำให้กลายเป็นเรื่อง ‘เลว’ และ ‘ผิด’ ทันที หรือการมองความดีผ่านมุมมองแบบพุทธเพียงอย่างเดียวก็อาจกีดกันคุณงามความดีในรูปแบบอื่นออกไป เช่น คนที่จ่ายภาษี ผู้บริจาคให้องค์กรสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม ผู้ชุมนุม หรือผู้ค้าบริการทางเพศ ก็อาจไม่ถูกนับเป็น ‘พลเมืองดี’ ภายใต้กรอบศีลธรรมหลักในปัจจุบัน
ผลลัพธ์ของการผูกขาดศีลธรรมเช่นนี้ คือการกีดกันไม่ให้เสียงของกลุ่มต่างๆ ที่ถูกมองว่า ‘เลว’ เข้ามาต่อรองในสนามการเมืองอย่างเป็นธรรม เช่น การยุบพรรคที่หาเสียงเรื่องการแก้มาตรา 112 การดำเนินคดีต่อนักกิจกรรมและผู้ชุมนุมทางการเมือง รวมถึงการไม่ยอมรับสิทธิของผู้ค้าบริการทางเพศ จนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกเรื่อยมา
หากเราเชื่อว่า ในปัจจุบันมีสถาบันทางการเมืองที่ผูกขาดอำนาจการตีความ ‘คนดี’ อยู่แล้ว การหลีกเลี่ยงข้อถกเถียงทางศีลธรรมของฝ่ายปฏิบัตินิยมจึงไม่ได้มีปัญหาแค่ในเชิงหลักการ แต่อาจมีปัญหาในเชิงกลยุทธ์อีกด้วย เพราะการปฏิเสธไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อถกเถียงทางศีลธรรม ยิ่งเท่ากับการปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้พลังนิยามความถูกต้องตามอำเภอใจเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ต่อต้าน และยิ่งจะทำให้วิกฤตการเมืองไทยรุนแรงขึ้นทุกที
กล่าวโดยสรุปคือ ผมคิดว่าการเมืองไม่อาจปลอดศีลธรรมได้ ดังนั้น เรายิ่งต้องต่อต้านการตีความ ‘คนดี’ ของผู้มีอำนาจ แต่ไม่ใช่โดยการหันไปหา Realpolitik ที่ปลอดศีลธรรม แต่โดยการดึงข้อถกเถียงทางศีลธรรมกลับมาสู่สนามการเมือง และเปิดให้สังคมลุกขึ้นมาตีความศีลธรรมด้วยตนเองเพื่อสร้างความหลากหลายทางศีลธรรมต่างหาก
ทลายการผูกขาดทางศีลธรรม
การทลายการผูกขาดทางศีลธรรมโดยพื้นฐานคือการไม่ปล่อยให้สถาบันทางการเมืองกลุ่มหนึ่งมีอำนาจตีความศีลธรรมอยู่ฝ่ายเดียว แต่เปิดให้สังคมที่มีความหลากหลายเข้ามาช่วงชิงและแข่งขันในการตีความทางศีลธรรม
อาจจะฟังดูเข้าใจยาก แต่มาตรการการทลายการผูกขาดทางศีลธรรมมีคนพูดถึงเยอะแล้ว เช่น การทำให้สถาบันทางการเมืองซึ่งมีอำนาจตีความศีลธรรมในปัจจุบัน (เช่น ศาล กองทัพ องค์กรอิสระ สส. สว. วัด ฯลฯ) มีความยึดโยงกับสังคมมากขึ้น การตีความทางศีลธรรมขององค์กรเหล่านี้ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรี การปิดกั้นการวิพากษ์สถาบันเหล่านี้ หรือการใช้กฎหมายปกป้องสถาบันจากการถูกวิจารณ์มากเกินไป ล้วนแต่จะยิ่งทำให้การผูกขาดศีลธรรมรุนแรงขึ้น
หรือบางคนอาจเสนอว่าสถาบันบางสถาบันอาจจะควรถูกยกเลิกไปเลย (เช่น สว. หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ) ซึ่งการจะให้อำนาจ ลดอำนาจ หรือยุบทิ้งเป็นเรื่องที่สังคมอาจต้องมาถกเถียงอีกเช่นกันว่าทางเลือกไหนคือทางที่ถูกต้อง
อีกมาตรการหนึ่งที่สำคัญและมีคนพูดถึงเยอะอยู่แล้ว คือการเปิดพื้นที่ในสังคมให้มีการถกเถียงทางศีลธรรมให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การส่งเสริมวิชาปรัชญา จริยศาสตร์ พลเมืองศึกษาที่เป็นประชาธิปไตย การสนับสนุนเสรีภาพทางวิชาการ การจัดเวทีเสวนาเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ หรือแม้กระทั่งการทำประชาพิจารณ์หรือประชาคมก็ล้วนเป็นการส่งเสริมการถกเถียงทางศีลธรรมทั้งสิ้น
พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่สังคมไทยมีอยู่แล้ว แต่มักจะไม่ค่อยมีคุณภาพ หรือพูดอีกอย่างคือไม่ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างแท้จริง เช่น การเรียนการสอนวิชาปรัชญาและจริยศาสตร์ที่เน้นการท่องจำมากกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและไม่ค่อยมีความยึดโยงกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน การสอนวิชาพลเมืองศึกษาที่เน้นผลิตราษฎรที่ยอมรับอำนาจมากกว่าพลเมืองที่ตื่นตัว การจัดประชาพิจารณ์และประชาคมที่ไม่เสรีและไม่จริงใจ ตลอดจนถึงการมีระบบกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ทำลายเสรีภาพทางวิชาการและขัดขวางการแสดงความเห็นของประชาชน (SLAPP)
หรือบางครั้ง การถกเถียงกันในพื้นที่เหล่านี้มักจะมีข้อยกเว้นในบางประเด็นที่ละเอียดอ่อน เช่น เรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนาพุทธ ซึ่งถ้าเราต้องการทลายการผูกขาดทางศีลธรรมอย่างแท้จริง การถกเถียงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะศีลธรรมใต้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมและพุทธไทยเป็นศีลธรรมที่ผูกขาดการเมืองไทยอยู่ในปัจจุบัน
ความสำคัญของพื้นที่แห่งการถกเถียงเหล่านี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า วิชาสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าวิชาสายวิทยาศาสตร์อย่าง STEM เพราะการถกเถียงในวิชาสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์อาจช่วยพาประเทศออกจากวิกฤตทางการเมืองได้
โดยสรุป การทลายการผูกขาดทางศีลธรรมจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการลดอำนาจสถาบันซึ่งมีหน้าที่ตีความศีลธรรม และทำให้สถาบันเหล่านั้นยึดโยงกับสังคมมากขึ้น พร้อมๆ ไปกับการเปิดพื้นที่ถกเถียงทางศีลธรรมที่มีคุณภาพในสังคม โดยต้องถกเถียงได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่เรื่องสถาบันกษัตริย์และศาสนา
หากทำเช่นนี้ได้ นอกจากจะช่วยให้การทำงานของสถาบันเหล่านี้มีความระมัดระวังมากขึ้นแล้ว อาจจะยังช่วยให้การตีความของสถาบันสะท้อนความคิดเห็นที่เป็นจริงของสังคมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ชุดศีลธรรมอื่นเข้ามาร่วมผลักดันการเมืองไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
สมรสเท่าเทียม: ตัวอย่างการให้ศีลธรรมในสังคมขับเคลื่อนการเมือง
การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงของคุณค่าทางศีลธรรมในสังคมสามารถขับเคลื่อนการเมืองได้
ในอดีต แม้ประเทศไทยจะถูกมองว่าค่อนข้างเปิดรับกลุ่ม LGBTQ+ แต่สิทธิทางกฎหมายหลายประการ อาทิ สิทธิในการแต่งงาน ยังถูกกีดกันด้วยเหตุผลทางศีลธรรม บางศาสนามองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องผิดธรรมชาติและขัดหลักศาสนา คนบางกลุ่มมองว่าการสมรสของ LGBTQ+ อาจนำไปสู่ความล่มสลายของสถาบันครอบครัวหรือการลดลงของจำนวนประชากร ความเห็นเหล่านี้ล้วนมองตรงกันว่าการแต่งงานของ LGBTQ+ เป็นเรื่องผิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและสังคมได้ถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้น ก็ได้เกิดข้อสรุปใหม่ว่าการแต่งงานของ LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องผิด จึงนำไปสู่การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในรัฐสภาในที่สุด
กรณีนี้ตอกย้ำบทเรียนสำคัญสองประการ คือ 1) การถกเถียงทางศีลธรรมเป็นเรื่องจำเป็นและสามารถนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสันติได้ และ 2) การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการทำงานของสถาบันซึ่งมีอำนาจตีความศีลธรรมแต่มีความยึดโยงกับสังคมสูง นั่นคือรัฐสภา (ซึ่งต่างจากสถาบันอื่นที่มีอำนาจตีความศีลธรรมแต่ความยึดโยงกับสังคมต่ำ เช่น ศาล กองทัพ และองค์กรอิสระ) กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถาบันอื่นๆ ที่มีอำนาจตีความศีลธรรม ก็ควรจะยึดโยงกับสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน
โดยสรุปแล้ว ผมต้องการจะยืนยันว่า การเมืองไม่สามารถแยกขาดจากศีลธรรมได้ และเราไม่ควรพยายามแยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน ดังนั้น ทางออกจากวิกฤตการเมืองไทยจึงไม่ใช่การทำให้การเมืองปลอดจากศีลธรรมแบบที่ฝ่ายนิยม Realpolitik เชื่อ แต่คือการทำให้การตีความศีลธรรมเป็นเรื่องของทุกคน ผ่านการถกเถียงอย่างเปิดกว้าง หลากหลาย และยึดโยงกับสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลธรรมถูกผูกขาดโดยอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่ง หรือกลุ่มสถาบันหนึ่งเพียงหยิบมือเดียว