ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของการศึกษาลาตินอเมริกาสมัยใหม่

จากประสบการณ์การสอนของผมเรื่องลาตินอเมริกาสมัยใหม่มากกว่า 10 ปีในระดับอุดมศึกษา ผมจึงอยากเชิญชวนท่านผู้อ่านติดตามว่า เราควรจะเริ่มต้นอย่างไรเมื่อเราศึกษาเรื่องลาตินอเมริกาสมัยใหม่ และมีประเด็นใดบ้างที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้เนื่องจากลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่มีความซับซ้อน รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความหลากหลาย อาทิ การมีทั้งเมืองขนาดเล็กในชนบทหรือเมืองมหานครขนาดใหญ่ การมีทั้งระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยและขณะเดียวกันในบางประเทศก็มีผู้นำเผด็จการ การมีทั้งการเลือกตั้งและการรัฐประหาร ดังนั้นการศึกษาลาตินอเมริกาจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและสำคัญโดยเฉพาะในวิชาการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ ขณะเดียวกันก็มีความหลากหลายในกระบวนการศึกษา มีหลายมิติ มีหลายมุมมองรวมถึงทัศนะที่แตกต่างกันออกไปในการศึกษาลาตินอเมริกาสมัยใหม่

ประวัติศาสตร์การเมืองของแต่ละประเทศในลาตินอเมริกานั้นมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ขณะเดียวกันก็แตกต่างจากประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศมหาอำนาจตะวันตกไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือรัสเซีย ผู้ที่สนใจศึกษาภูมิภาคลาตินอเมริกาต่างก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศในภูมิภาคเพื่อเป็นรากฐานของความเข้าใจพัฒนาการทางการเมืองของลาตินอเมริกาในปัจจุบัน

ลาตินอเมริกาในยุคเริ่มแรกมักมีผู้นำทางการเมืองแบบเจ้าพ่อ (Strongman) หรือเป็นผู้นำเผด็จการ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปกระแสประชาธิปไตยก็ค่อยๆ แตกหน่ออ่อนขึ้นมาในภูมิภาค ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถสถาปนาเป็นอำนาจหลักอย่างแท้จริงในภูมิภาคลาตินอเมริกาในปัจจุบันก็ตาม แต่ละประเทศในลาตินอเมริกาต่างก็ผ่านประสบการณ์ทั้งเผด็จการและประชาธิปไตยมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันก็เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ จากเดิมที่อำนาจทางเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่ในหมู่คนชั้นสูงเจ้าของที่ดินจำนวนน้อย ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองหรือแม้กระทั่งรายได้ที่จะพอประทังชีวิตตัวเองในแต่ละวัน นอกจากนี้ลาตินอเมริกายังเผชิญหน้ากับการปฏิวัติทางการเมืองมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ในลาตินอเมริกาในปัจจุบันกระเตื้องขึ้นมาสักเท่าใดนักเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยที่ลาตินอเมริกาประกาศเอกราชจากเจ้าอาณานิคมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19

ดังนั้นแนวทางการศึกษาลาตินอเมริกาในช่วงแรกจึงเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์โดยสังเขปของลาตินอเมริกา ตามด้วยพัฒนาการทางการเมืองของลาตินอเมริกา ขณะเดียวกันก็ศึกษาเจาะลึกพัฒนาการทางการเมืองในแต่ละภูมิภาคย่อยของลาตินอเมริกาสามกลุ่ม อันได้แก่ เม็กซิโกและกลุ่มประเทศอเมริกากลาง กลุ่มประเทศแถบเทือกเขาแอนดีส และกลุ่มประเทศ Southern Cone เนื่องจากผมมองเห็นถึงความสำคัญที่ว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจลาตินอเมริกาสมัยใหม่ได้เลย ถ้าไม่ศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองของแต่ละประเทศเสียก่อน ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาคโดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาก็ถือเป็นหัวข้อการศึกษาที่จำเป็นที่ผมเล็งเห็นถึงความสำคัญ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญที่ถึงแม้จะเกิดขึ้นภายในบางประเทศของลาตินอเมริกาก็ตาม แต่ก็ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางการเมืองในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ การปฏิวัติเม็กซิโก การปฏิวัติคิวบา และบทบาทของผู้นำบางประเทศที่สำคัญ อาทิ วิกเตอร์ ราอุล ฮายา เดอ ลา ทอร์ (Victor Raúl Haya de la Torre) ของเปรู, ฆวน เปรอน (Juan Perón) ของอาร์เจนตินา และ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) ของคิวบา เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผมก็ตระหนักดีว่าการตีความทางประวัติศาสตร์การเมืองนั้นมีได้หลากหลาย โดยเฉพาะเราต้องเข้าใจว่าประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนหรือ ‘สร้าง’ ขึ้นมานั้นมักได้รับอิทธิพลมาจากชนชั้นนำหรือผู้ปกครองไม่ใช่น้อย หากอาศัยแนวความคิดของอันโตนีโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) นักปรัชญาทางการเมืองสายมาร์กซิสต์นามอุโฆษ เราอาจจะกล่าวได้ว่า ‘โครงสร้างส่วนบน’ หรือ วัฒนธรรมและสถาบันทางการเมืองของชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดประวัติศาสตร์ ‘ชาติ’ อาทิ เราเรียนรู้ถึงเอกสารจำนวนมากที่ถูกบันทึกโดยผู้ปกครองอาณานิคมชาวผิวขาว ขณะที่แทบจะไม่มีบันทึกของชาวพื้นเมืองท้องถิ่นในลาตินอเมริกาเลย เอกสารส่วนมากเหล่านี้ล้วนแต่มีอคติทางชนชั้น เพศ เชื้อชาติ ศาสนา และอุดมการณ์ปะปนอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเรื่องทาส เราค้นพบเอกสารบันทึกการค้าทาสที่บันทึกโดยรัฐบาลอาณานิคมหรือพ่อค้าชาวผิวขาว พูดถึงผลประโยชน์ กำไร ความเกียจคร้านของทาส แต่เราแทบจะไม่สามารถหาบันทึกของทาสได้เลย ดังนั้นบทบาทของทาสผิวสีและชนพื้นเมืองถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่น้อย ในการศึกษาพัฒนาการของลาตินอเมริกา

หลังจากที่ได้ศึกษาภาพรวมทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ทางการเมืองของลาตินอเมริกาแล้ว ก่อนที่จะลงลึกในประเด็นเฉพาะต่างๆ เป็นที่ตระหนักในหมู่นักวิชาการที่สนใจทางด้านลาตินอเมริกันศึกษาว่า แบบแผนและพฤติกรรมทางการเมืองต่างๆ ในลาตินอเมริกาได้รับอิทธิพลไม่น้อยจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งภายในภูมิภาคเองและจากภายนอกภูมิภาค ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจลาตินอเมริกาโดยไม่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของพวกชนพื้นเมืองถูกทำลายลงหลังจากการเข้ามาของผู้ล่าอาณานิคมที่ต้องการจะแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุดเพื่อส่งกลับไปยังประเทศเมืองแม่ในยุโรป ส่งผลให้ลาตินอเมริกาเข้าสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำในยุโรปเป็นสำคัญ ดังนั้นระบบการผลิตในลาตินอเมริกานับตั้งแต่การก้าวเข้ามาของชาติมหาอำนาจยุโรปจึงเป็นระบบการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของลาตินอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลาตินอเมริกาทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าขั้นพื้นฐานอาทิ น้ำตาล ดีบุก ใบยาสูบ ทองแดง กาแฟ และกล้วยหอม เป็นต้น

ตามทฤษฎีทุนนิยมคลาสสิกของการค้าเสรีนั้น การค้าในลักษณะดังกล่าวจะเอื้อผลประโยชน์ให้ทั้งลาตินอเมริกาและประเทศเมืองแม่ในยุโรปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่สำคัญ ตามทฤษฎีแบ่งงานกันทำตามความถนัด อย่างไรก็ตามจากการศึกษาของ The Economic Commission for Latin America ขององค์การสหประชาชาติในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พบว่าการค้าเสรีดังกล่าวกลับให้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น กล่าวคือประเทศที่พัฒนาแล้วได้ผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ลาตินอเมริกาเองกลับแย่ลงกว่าเดิมโดยเปรียบเทียบ

นักวิชาการลาตินอเมริกันจำนวนมากได้ศึกษาเรื่องนี้และได้ข้อสรุปที่นำมาสู่ทฤษฎีใหม่ในการพัฒนาที่มีชื่อว่า ‘ทฤษฎีการพึ่งพา’ (Dependency Theory) ที่มีนัยสำคัญที่ว่าการค้าภายใต้ระบบเสรีนิยมทำให้ลาตินอเมริกาต้องพึ่งพาประเทศที่พัฒนาแล้วเพิ่มมากขึ้น แทนที่ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน ทฤษฎีการพึ่งพาได้กลายเป็นทฤษฎีหลักของการศึกษาของนักวิชาการสายสังคมศาสตร์ที่ศึกษาลาตินอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีอิทธิพลต่อการอธิบายการเปลี่ยนแปลงการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของลาตินอเมริกา รวมทั้งความสัมพันธ์ที่ลาตินอเมริกามีกับสังคมโลก ทฤษฎีการพึ่งพานี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ถึงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ดังนั้นเนื้อหาของทฤษฎีการพึ่งพาและประสบการณ์จริงของประเทศในลาตินอเมริกาที่นำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติ จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษา วิเคราะห์ และทำความเข้าใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงทฤษฎีการพัฒนาภายหลังคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ที่ลาตินอเมริกาย้อนกลับไปใช้ระบบทุนนิยมเสรีอีกครั้งภายหลังการล่มสลายของแนวคิดทฤษฎีการพึ่งพาด้วยเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) จะเชื่อว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่การจะมองแต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรอบด้านถ้าขาดมิติทางด้านสังคม เพศ เชื้อชาติ และชนชั้น ความสัมพันธ์ในครอบครัวและระหว่างหญิงชายถือว่ามีความสำคัญในการก่อให้เกิดความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของลาตินอเมริกา การทำความเข้าใจในบทบาทของชนพื้นเมือง ชนผิวสีเชื้อสายแอฟริกัน รวมทั้งบทบาทของผู้หญิง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราศึกษาลาตินอเมริกาในโลกสมัยใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ชนชั้นทางสังคมที่มีลักษณะเป็นพีระมิดช่วยเราอธิบายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองให้เห็นภาพที่แจ่มชัด ดังนั้นถ้าเรานำปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นมาศึกษาจะทำให้การมองลาตินอเมริกามีความรอบด้านมากยิ่งขึ้น

ในปัจจุบันการกลับมาของแนวคิดรากฐานนิยม (Fundamentalism) ในการเมืองท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา การฟื้นตัวของแนวคิดอิสลามแบบสุดโต่งในประเทศมุสลิมหลายๆ ประเทศ รวมถึงความนิยมชมชอบในพรรคการเมืองแนวฮินดูนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นในอินเดีย ทำให้ประเด็นเรื่องศาสนากับการเมืองได้รับการพูดถึงอีกครั้งในขณะนี้ อย่างไรก็ดีบทบาทของศาสนาคริสต์คาทอลิกกับการเมืองในลาตินอเมริกาถือว่ามีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานและนับเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กว่าห้าร้อยปีมาแล้วที่คริสต์ศาสนามีสถานะที่สำคัญและมีบทบาทเป็นอย่างยิ่งในลาตินอเมริกา โดยปกติบทบาทของคริสต์ศาสนาจะมีลักษณะคู่ขนานไปกับบทบาทของรัฐ คือมีทิศทางไปในแนวทางเดียวกัน แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่คริสต์ศาสนจักรมีบทบาทนำในการต่อต้านรัฐบาลในลาตินอเมริกาเสียเอง อาทิในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 สังฆราชแห่งเมือง Chiapas ในเม็กซิโก บาร์โตโลเม เด ลาส คาซัส (Bartolomé de las Casas) ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านการค้าทาสของรัฐบาลอาณานิคม หรือเหตุการณ์ที่บาทหลวงสองท่านคือ มิเกล อิดัลโก อี คอสติยา (Miguel Hidalgo y Costilla) และโฆเซ มารีอา โมเรโลส (José María Morelos) ต่างก็มีบทบาทนำในการต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชของเม็กซิโกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 

ถ้าเราประยุกต์นำแนวคิดมาร์กซิสต์กับศาสนามาใช้ นักคิดคนสำคัญของลาตินอเมริกาแนวทางมาร์กซิสต์ โฆเซ คาร์ลอส มารีอาเตกี (José Carlos Mariátegui) เสนอว่าศาสนาอาจเป็นบ่อเกิดแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ตัวอย่างเช่นบาทหลวงแห่งเปรู กุสตาโบ กูเตียร์เรส (Gustavo Gutiérrez) ได้เสนอแนวคิด ‘ศาสนวิทยาแห่งการปลดปล่อย’ เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้น การเกิดขึ้นของแนวความคิดศาสนวิทยาแห่งการปลดปล่อยประกอบกับแนวคิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนของสังคมซึ่งได้รับการสนับสนุนจากที่ประชุมของสังฆมณฑลแห่งลาตินอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1968 ส่งผลให้ศาสนากลายเป็นแกนนำในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายๆ ประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา กล่าวคือมีนักบวชจำนวนไม่น้อยที่หันไปให้การสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ หรือในบางประเทศ พระเองก็ผันตัวมาเป็นผู้นำกองกำลังกบฏเสียเอง อาทิในกรณีโคลอมเบียและนิการากัว เป็นต้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ผมเห็นว่าประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ‘จำเป็น’ เป็นอย่างยิ่งในการศึกษาลาตินอเมริกาสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save