วันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมาครบกำหนด 100 วันการทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์แห่งพรรครีพับลิกัน เป็นข่าวใหญ่พาดหัวสื่อมวลชนทุกประเภทรวมไปถึงสื่อต่างประเทศด้วย ทำไมผู้คนถึงให้ความสำคัญและสนใจในร้อยวันแรกของทรัมป์มากมายขนาดนี้?
ในรัฐบาลสมัยแรกของทรัมป์ปี 2017 การพูดถึงร้อยวันแรกแทบไม่มีน้ำหนักและความหมายอะไร เพราะทรัมป์และทีมยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายของรัฐบาลอย่างละเอียดและเอาจริงเอาจังมากเท่าการเป็นรัฐบาลครั้งนี้ที่ทรัมป์มีแผน ‘โครงการ 2025 (Project 2025)’ ซึ่งมีความยาวหลายร้อยหน้า ดำเนินการร่างและเขียนออกมาโดยมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) ที่เป็นองค์กรอนุรักษนิยมและดำเนินกิจการมานานหลายทศวรรษแล้ว ในนั้นระบุอย่างละเอียดถึงเป้าหมายที่อำนาจรัฐต้องสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่สถาบันและโครงสร้างของฝ่ายเสรีนิยมและก้าวหน้าทั้งหลาย เรียกว่าแผนปฏิวัติประเทศของชนชั้นอนุรักษนิยมก็คงได้ อาจเทียบได้กับแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูป 20 ปีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันพูดรวมถึงหนทางและวิธีการในการไปบรรลุจุดหมายเหล่านั้น เรียกว่าเป็นพิมพ์เขียวของการทำงานได้เลย
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์นิตยสารแอตแลนติกว่า ในร้อยวันแรกของรัฐบาลก่อน เขามีงานให้ทำสองอย่างคือบริหารประเทศและอยู่ให้รอด (run the country and survive) ซึ่งตอนนั้นมีแต่พวกคดในข้องอในกระดูก “ในวาระของรัฐบาลครั้งที่สองข้าพเจ้าปกครองประเทศและโลก (run the country and the world)” นั่นเป็นการสรุปสภาพของร้อยวันแรกในสมัยที่สองของทรัมป์ได้อย่างดี คราวนี้เขาสามารถบริหารจัดการรวมถึงเปลี่ยนแปลงอเมริกาทั้งประเทศแล้วขยายไปถึงประเทศทั้งหมดในโลกอีกด้วย
บรรยากาศก่อนถึงวันครบรอบร้อยวันของทรัมป์ แน่นอนว่าทั้งสื่อมวลชนและสำนักประชาสัมพันธ์ของทำเนียบขาวต่างก็วางแผนการแถลงข่าวในทิศทางที่ตนต้องการ สื่อมวลชนทั้งแบบเก่าและใหม่ต้องการได้เนื้อหาของเหตุการณ์ทั้งร้อยวันที่สะท้อนผลการทำงานที่แท้จริงของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งวัดจากความพึงพอใจหรือไม่พอใจของประชาชนหรือผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส่วนโฆษกของทรัมป์หรือรัฐบาลต้องการเสนอภาพของความสำเร็จและความพอใจของประชาชนเป็นหลัก ส่วนข้อด้อยและบกพร่องไปจนถึงปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัตินโยบายนั้นให้เป็นเรื่องรองหรือไม่จำเป็นต้องเสนอก็ได้
ดังนั้น ในวันที่ 99 หลายสำนักข่าวและสื่อมวลชนที่สามารถเจาะหรือสัมภาษณ์กับโดนัลด์ ทรัมป์โดยตรงได้ก็จะรีบเอาสกู๊ปที่ทำเป็นพิเศษในวาระครบร้อยวันออกมาชิมลางเรียกน้ำย่อยก่อน ชิ้นที่ได้รับการนำเสนอและพูดถึงมากที่สุดคือบทสัมภาษณ์ของนิตยสารไทม์ ซึ่งจองตัวทรัมป์ก่อนแล้วในหลายวาระจนถึงวันก่อนร้อยวัน เรียกว่าได้เนื้อและน้ำที่สมบูรณ์และชัดเจนที่สุดกว่าสื่ออื่นใด (ดูที่ Read Trump’s ‘100 Days’ Interview Transcript | TIME) วรรคที่มีการนำมาถ่ายทอดซ้ำๆ หลายครั้งได้แก่คำถามเรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรและผลสะเทือนที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงในตลาดหุ้นอเมริกาเองด้วย ทรัมป์ตอบให้เห็นผลด้านบวกของการขึ้นภาษี ตอนสุดท้ายเขาให้คำตอบเพื่อยืนยันถึงความสำเร็จอันใหญ่ยิ่งของเขาว่า “ตอนนี้ได้ทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ ไปกว่า 200 ประเทศแล้ว” นักข่าวไทม์ถาม “ทำข้อตกลงกับใครบ้าง และมีอะไรบ้าง” ทรัมป์ตอบไม่ได้ เขาเลี่ยงไปบอกว่ามีการเจรจาในเรื่องต่างๆ มากมาย มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง คอยฟังดูก็แล้วกัน ปรากฏว่าทรัมป์ไม่สามารถตอบได้ว่า ข้อตกลงที่เขาอวดว่าได้มีการตกลงไปแล้วนั้นทำกับใครบ้างก็บอกไม่ได้ ยิ่งรายละเอียดว่ามีอะไรก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คนที่ฟังข่าวนี้หากไม่ปิดหูปิดตาและปิดใจจนมืดสนิท ย่อมอ่านระหว่างบรรทัดของคำสัมภาษณ์นี้ได้อย่างชัดแจ้งชนิดที่ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีกเลยว่าโดนัลด์ ทรัมป์โกหกหรือแหกตาคนทั้งโลกนั่นเอง
ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของไทม์โดยเอริก คอร์เทลเลสซา (Eric Cortellessa) ผู้สื่อข่าวการเมืองอาวุโสแล้วต้องยกนิ้วให้ในความช่ำชองและยุทธวิธีในการถามที่ไม่ทำให้ทรัมป์โกรธหรือฉุนเฉียวจนไม่ยอมตอบหรือไล่ให้ออกไปเลยก็ได้ อีกคำถามคือถามว่าทรัมป์ได้ติดต่อไปถึงสีจิ้นผิงบ้างไหม เขาตอบว่าไม่ แล้วทางฝ่ายสีจิ้นผิงเคยโทรมาคุยกับเขาไหม เขาตอบว่าเคยโทรมาหาแล้ว ใครที่ฟังข่าวต่างประเทศต้องได้ยินว่าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาปฏิเสธข่าวนี้แล้วว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงไม่เคยโทรติดต่อกับทรัมป์เลย นี่ก็เป็นอีกข้อมูลที่ให้คนฟังไปตั้งสติพิจารณาเองว่าใครเป็นคนพูดเท็จ
ตัวอย่างสุดท้ายของไทม์ที่ผมคิดว่าเขาแน่มากที่ถามได้อย่างมีศิลปะ คือถามว่าทรัมป์เคยแสดงความสนใจที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม จึงอยากถามว่าจะใช้ช่องทางอะไรในการสมัคร ทรัมป์เลี่ยงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เลี่ยงพูดไปเรื่อยเปื่อย ไทม์เลยถามเข้าประเด็นที่เป็นรูปธรรมเลยว่าจะสมัครเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับเจดี แวนซ์ไหม นั่นคือให้แวนซ์สมัครเป็นประธานาธิบดีส่วนทรัมป์ติดไปในฐานะรองประธานาธิบดี ซึ่งไม่มีมาตราไหนในรัฐธรรมนูญห้ามอย่างแน่นอน คราวนี้ทรัมป์คงรู้สึกว่าถูกล้วงลูกมากเกินไป เขาต้องหาทางเลี่ยงออกไปทางอื่นและตอบปฏิเสธว่าไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน
ทั้งหมดเป็นการสัมภาษณ์ที่เสมอหน้าและเท่าเทียมในฐานะและศักดิ์ศรีระหว่างสื่อมวลชนสาธารณะกับประมุขแห่งรัฐที่ทำให้ผู้ฟังและอ่านสามารถตัดสินได้ว่าแต่ละคนมีจุดยืน ทัศนะ และวิธีการในการปกครองและจัดการบ้านเมืองอย่างไร นั่นคือท่าทีต่อการเมือง แตกต่างกันแต่ในหน้าที่และอำนาจที่มากับหน้าที่นั้น ในขณะที่ความคิดเป็นอิสระของแต่ละคนเอง ข้อนี้เองที่ทำให้ความเป็นอำนาจนิยมที่ทรัมป์พยายามสถาปนาและปฏิบัติไม่เหมือนกับอำนาจนิยมในประเทศเผด็จการอื่นๆ ขอเรียกว่าอำนาจนิยมที่หน้าตาแบบอเมริกัน คือการเคารพในกฎหมายที่มาจากประชาชน
หากประมวลผลงานในร้อยวันแรกของรัฐบาลทรัมป์จากสื่อมวลชนทั้งหลาย คำตอบที่ได้คือคะแนนไม่ผ่าน อันนี้เป็นผลการสำรวจความเห็นของประชาชนโดย NPR-PBS-Marist ว่าร้อยละ 42 เท่านั้นที่ให้การรับรองการทำงานของทรัมป์ ส่วนอีกร้อยละ 54 ไม่รับรอง กล่าวว่าเป็นคะแนนที่ได้รับน้อยที่สุดในรอบ 70 ปีสำหรับประธานาธิบดีในร้อยวันแรกซึ่งมักได้คะแนนผ่านเพราะยังไม่ประสบปัญหาอุปสรรคที่มากนัก ทรัมป์สั่งให้ทำการสืบสวนสำนักข่าวที่ทำโพลนี้ โดยกล่าวหาว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’
โฆษกทำเนียบขาวเรียกผู้สื่อข่าวมาฟังการแถลงผลงานร้อยวันด้วยการให้ ‘เจ้าพ่อพรมแดน (border czar)’ นายทอม โฮแมน ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (US Immigration and Customs Enforcement: ICE) เป็นผู้แถลงผลงานการเนรเทศผู้อพยพ ทำเนียบขาวและทรัมป์หวังเสนอผลงานนี้ออกสื่อเป็นเรื่องแรก เพื่อชิงพื้นที่การเสนอข่าวในวันครบร้อยวัน
ทอม โฮแมน เป็นที่เลื่องชื่อและหวาดกลัวที่สุดสำหรับคนอพยพเข้าเมืองเพราะมีอำนาจในการเนรเทศพวกอพยพทั้งที่เข้ามาอย่างถูกต้องหรือไม่ตามกฎหมายได้ทันที คราวนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างแรงจากทรัมป์ให้จัดการเนรเทศไล่พวกผู้อพยพที่ผิดกฎหมายนับล้านในอเมริกาออกให้หมด หากทุกอย่างเดินไปตามบทที่สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาใกล้ชิดทรัมป์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลแรกเป็นผู้ร่างและวางแผนยุทธการกวาดล้างผู้อพยพนอกกฎหมายวางไว้ นโยบายนี้จะเป็นเรือธงใหญ่ในการสร้างชื่อเสียงและสมรรถภาพของทรัมป์และทีมที่รัฐบาลไบเดนไม่อาจทำได้ นั่นคือการลดจำนวนผู้อพยพเข้าประเทศหลายล้านคนลงไปภายในสามเดือนเท่านั้น ด้วยฝีมืออันเด็ดขาดและการใช้อำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารที่ไม่ต้องรอการแก้กฎหมายผ่านสภาคองเกรสซึ่งยากเย็นและกินเวลามาก
หลังจากข่าวปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมผู้อพยพผิดกฎหมายนับร้อยๆ ในแต่ละอาทิตย์ แล้วเนรเทศขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศจุดหมายปลายทางในลาตินอเมริกา สร้างความเชื่อมั่นและคล้อยตามไปกับทรัมป์ถึงมหันตภัยของพวกก่อการร้ายเหล่านี้ ดูเหมือนคะแนนรับรองทำท่าจะกระเตื้องขึ้น แต่แล้วสื่อมวลชนก็เริ่มเสาะหาแหล่งข่าวและการร้องเรียนของครอบครัวญาติพี่น้องของพวกผู้อพยพที่ถูกจับว่ามีมูลความจริงและเบื้องหลังอะไร พอนักข่าวได้แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ก็พากันเล่นข่าวเรี่องการเนรเทศผิดคนและถึงกับเสนอว่าสำนักงานผู้อพยพฯ อาจละเมิดกฎหมายด้วย สร้างความโมโหโกรธาแก่ทรัมป์ยิ่งนัก ที่สื่อมวลชนเที่ยวไปเสาะหาข้อมูลและข้อเท็จจริงอันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาได้กระทำไป
กระทั่งไปได้ข้อมูลลึกเกี่ยวกับผู้อพยพคนหนึ่งชื่อกิลมาร์ อาเบรโก การ์เซีย (Kilmar Abrego Garcia) หนุ่มชาวเอลซัลวาดอร์ซึ่งมีครอบครัวและลูกอยู่ในสหรัฐฯ มาพักใหญ่แล้ว เขาถูกหาว่าเป็นสมาชิกกลุ่มใต้ดินก่อการร้าย (เอ็ม13) ที่ก่ออาชญากรรมในอเมริกาและถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินพร้อมสมาชิกกลุ่มใต้ดินนี้อีกนับร้อยเพื่อส่งกลับไปเข้าคุกพิเศษในเอลซัลวาดอร์ นักข่าวได้รูปภาพและครอบครัวเขาในอเมริกา สัมภาษณ์ภรรยาซึ่งเล่าว่าไม่รู้เรื่องว่าทำไมถึงถูกจับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว สมาคมสิทธิเสรีภาพก็ช่วยดำเนินเรื่องในการช่วยเหลือครอบครัวการ์เซียด้วยการไปฟ้องร้องต่อศาลว่ารัฐบาลละเมิดสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองอเมริกัน นายอาเบรโก การ์เซียได้รับสัญชาติอเมริกันแล้ว เขาจึงไม่ใช่ผู้อพยพอีกต่อไป
ปรากฏว่ากรณีการเนรเทศผิดตัวของการ์เซียนี้นำไปสู่การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) กับฝ่ายตุลาการซึ่งให้ความเห็นว่าการเนรเทศอาเบรโก การ์เซียนี้ละเมิดกฎหมายว่าด้วยกระบวนการอันจำเป็นที่จำเลยต้องได้รับก่อนการตัดสินลงโทษขั้นสุดท้ายให้เนรเทศเขา เช่นการมีทนายว่าความ การนำเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาไต่สวนของศาล เป็นต้น ซึ่งฝ่ายกฎหมายของทรัมป์โต้ว่า เนื่องจากคดีผู้อพยพผิดกฎหมายมีจำนวนมหาศาล มีคดีรอการพิจารณาถึงสองล้านกว่าเรื่องในขณะนี้ ทำให้ไม่อาจดำเนินการให้รวดเร็วได้ จึงต้องอาศัยอำนาจพิเศษของประธานาธิบดีซึ่งประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการกบฏและชาวต่างชาติ (Sedition and Alien Act 1789) อันเป็นกฎหมายเก่ามากๆ แต่ปัดฝุ่นมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารสามารถเนรเทศชาวต่างชาติออกไปได้เลยหากกระทำการอันเป็นการกบฏหรือทำลายความมั่นคงแห่งชาติ
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลตอบโต้ว่า กฎหมายเก่านั้นประกาศใช้ระหว่างมีการประกาศสงครามกับต่างประเทศ คนต่างชาติจึงถูกจับในข้อหาว่าเป็นสายลับของต่างชาติ ไม่ใช่แค่เป็นผู้อพยพก็จับแล้วเนรเทศได้เลย ผลจากการพิจารณาข้อกฎหมายอย่างละเอียดทำให้ศาลมีความเห็นว่ารัฐบาลได้ละเมิดกฎหมายที่ปฏิเสธสิทธิในกระบวนการอันจำเป็นสำหรับจำเลย ออกคำสั่งให้รัฐบาลหยุดเครื่องบินแล้วนำตัวอาเบรโก การ์เซียกลับมาสหรัฐฯ ทันที ไม่ต้องถามว่านายทรัมป์จะยอมฟังคำสั่งผู้พิพากษาหรือ เขาตอบกลับด้วยการบริภาษผู้พิพากษาท่านนี้ว่าเป็นพวกแอกทิวิสต์ ทำตัวเป็นพวกเห็นใจผู้อพยพ เขาบอกว่าจะให้รัฐสภาถอดถอนผู้พิพากษาเสียเลย
ท่าทีของทรัมป์ต่อผู้พิพากษาที่ตัดสินตรงข้ามกับเขานั้นแรงมาก นึกไม่ถึงว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารไทยจะกล้าบริภาษผู้พิพากษาอย่างทรัมป์ได้ แต่หลังจากเป็นข่าวแล้ว เมื่อนักข่าวสัมภาษณ์ว่าเขาจะยอมรับอำนาจศาลหรือไม่ ทรัมป์รีบตอบแบบคนฟังกลับตัวไม่ทันว่า แน่นอนเขารับฟังและทำตามคำตัดสินของศาลเสมอ (ความจริงตรงนี้ควรต้องเชิงอรรถด้วยว่าเมื่อคำตัดสินนั้นเป็นคุณต่อเขา)
ดังนั้นในวันครบร้อยวันของการทำงาน ข่าวพาดหัวใหญ่สำนักข่าวทั้งหลายจึงออกมาในด้านวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเรือธงเรื่องการกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายไป แทนที่จะเป็นข่าวบวกต่อการทำงานของรัฐบาล บัดนี้มันกลายเป็นข่าวที่เสียดแทงสีข้างรัฐบาลไปเสียแล้ว แน่นอนว่าคนที่ทำให้ความฝันของรัฐบาลทรัมป์หลุดลอยไปได้แก่สื่อมวลชนที่หัวแข็งและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของฐานันดรสี่ที่อำนาจเงินอย่างเดียวไม่อาจซื้อพวกเขาได้ อาจได้บ้างแต่ไม่หมด
นโยบายที่สองได้แก่เรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกว่า ‘สงครามการค้า’ เช่นเดียวกับเรื่องผู้อพยพ ปัญหาเศรษฐกิจการเงินที่ระส่ำระสายจนตลาดหุ้นนิวยอร์กราคาหุ้นตกไปหลายร้อยล้านเหรียญ รวมถึงมูลค่าของพันธบัตรที่ลดลงมาก จนในที่สุดทรัมป์ต้องออกมาประกาศเลื่อนการใช้อัตราภาษีใหม่ไปอีก 90 วัน ทำให้ตลาดหุ้นและการเงินยุติความผันผวนลงไป แต่การวิพากษ์วิจารณ์และตอบโต้กันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านยังดำเนินต่อมา ล่าสุดฝ่ายรัฐบาลท้าว่าให้ประชาชนทนลำบากไปสักนิดแล้วอนาคตจะสดใสมั่งคั่งกันถ้วนหน้า ทำนองว่า ‘ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ได้ (no pain no gain)’ คำถามคือจะให้เวลาอีกเท่าไรถึงจะสรุปเรื่องนี้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกและชนะ
ต่อกรณีการขึ้นภาษีศุลกากรการนำเข้าสินค้าจากภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตประธานาธิบดีหลายคนเคยใช้นโยบายขึ้นภาษีมาก่อนแล้วนับแต่สมัยแมกคินลีย์ ฮูเวอร์ มาถึงโรสเวลต์และนิกสัน แต่ที่กลายเป็นเรื่องโต้เถียงกันมากมายเพราะคราวนี้ทรัมป์ประกาศใช้ภาษีนำเข้าแบบอาวุธปรมาณู คือขอบเขตการทำลายล้างนั้นกว้างขวางและครอบคลุมอย่างกินเรียบไปทุกพื้นที่ในโลกนี้ที่มีการค้า รวมถึงหมู่เกาะใกล้ๆ ออสเตรเลียที่มีแต่นกเพนกวินและแมวน้ำก็ไม่เว้น รมว.พาณิชย์ออกมาโต้ว่าที่ต้องรวมเกาะนั้นด้วย เพราะมีการใช้เกาะนั้นเป็นแหล่งสวมสิทธิในการส่งสินค้าเข้าอเมริกา ไม่ทราบว่าทรัมป์ได้แนวความคิดและยุทธวิธีแบบนี้มาจากที่ปรึกษาคนไหน หรือมาจากหลายคนแล้วทรัมป์เป็นคนชงลูกสุดท้ายด้วยการยำใหญ่กลยุทธ์ต่างๆ จนออกมาเป็นสงครามการค้าที่เขาเรียกอย่างสวยหรูว่า ‘วันปลดปล่อยประเทศ (Liberation Day)’
แต่ถ้าดูจากคะแนนโพลวัดความเห็นชอบของประชาชนในวันที่หนึ่งร้อย ก็ต้องนับว่านโยบายสงครามการค้านี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอเมริกันส่วนมาก บรรดาผู้ผลิตขนาดกลางและเล็กเริ่มส่งเสียงร้องเรียนถึงราคาสินค้าที่นำเข้าจากภายนอกมีต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ไม่อาจดำเนินการผลิตและจำหน่ายในตลาดอเมริกาได้อีกต่อไป หากรัฐบาลไม่ยื่นมือมาช่วย เหมือนที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมใหญ่อย่างรถยนต์และดิจิทัลที่ได้รับการยกเว้นระยะหนึ่ง ดังนั้นหากประเมินจากวันนี้ ผลลัพธ์ของนโยบายเศรษฐกิจที่รุนแรงหนักหน่วงและส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ฤาทรัมป์จะประกาศสงครามกับระบบทุนนิยมโลกด้วยการขึ้นราคาสินค้าทุกอย่างไม่เลือกประเภท เพื่อบีบบังคับให้ทุนต่างชาติต้องเปลี่ยนใจหันมาลงทุนทำการผลิตในอเมริกาแทน
ข้อนี้ก็เป็นการแสร้งพูดให้ดูดีว่า ทำไปเพื่อทำให้ระบบการค้าในอเมริกาเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย แต่ลึกลงไปเป้าที่แท้จริงคือระบบทุนนิยมจีน เพราะในบรรดาประเทศที่ถูกทรัมป์บีบคอเรื่องอัตราภาษีโหดนั้น ส่วนใหญ่คือประเทศในเอเชีย ไม่ใช่ทื่อื่นๆ ดังนั้นการเสนอผลงานร้อยวันแรก เขาจึงเน้นไปที่ประเทศใหญ่ในเอเชีย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย มีการเจรจาและเดินทางไปพบปะกับผู้นำประเทศเหล่านี้ เช่น รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์เดินทางไปเยี่ยมประธานาธิบดีโมดีของอินเดีย พร้อมกับนำภรรยาชาวอเมริกัน-อินเดียและลูกๆ ไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้จริงก็ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมฝ่ายสหรัฐฯ ถึงเลื่อนการเจรจาการค้ากับฝายทีมไทยแลนด์ไปก่อน เพราะผลงานกับไทยไม่มีอะไรใหญ่โตพอที่จะเป็นข่าวพาดหัวได้ จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน
นอกจากนั้นนโยบายอื่นๆ ในร้อยวันแรกของทรัมป์เป็นเรื่อง ‘การปฏิวัติวัฒนธรรม’ ที่ผมคิดเปรียบเทียบว่าคล้ายกับที่ประธานเหมาเจ๋อตงได้เคยทำมาก่อนแล้วในประเทศจีนระหว่าง ค.ศ. 1966-1976 จุดหมายคือป้องกันและทำลายการก่อรูปของชนชั้นนายทุนภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมากลัวว่าระบบสังคมนิยมจะถูกทำลายไป หากไม่ทำลายพื้นฐานทางความคิดอุดมการณ์แบบนายทุนเสียก่อน ผมไม่คิดว่าทรัมป์จะทำลายชนชั้นนายทุนอเมริกันลงไป เพราะเขาและครอบครัว เพื่อนฝูงและอเมริกันชั้นล่างที่เป็นพวก ‘ขาวและขวาสุดขั้ว’ ล้วนมีแนวคิดและความเคยชินทางนิสัยแบบนายทุนด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเป็นกรรมาชีพแน่ๆ
แต่สิ่งที่ทรัมป์และทีมหวาดกลัวกลับเป็นแนวคิดและอุดมการณ์แบบเสรีนิยมที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคล อิสรเสรีและหลากหลายครอบคลุมทั้งเพศสภาพและการทำแท้ง ที่เขาเรียกว่า ‘ความหลากหลายเท่าเทียมครอบคลุม’ (diversity equity inclusive: DEI) อันเป็นเป้าของการทำลายล้างให้สิ้นซากในร้อยวันแรก ยุทธวิธีในการทำลายวัฒนธรรมเสรีนิยมดังกล่าว อาศัยการทำลายโครงสร้างและเครือข่ายองค์กรสำนักงานของรัฐบาลกลาง ด้วยการยุติงบประมาณ ไล่เจ้าหน้าที่ออก บีบให้เปลี่ยนระเบียบและวิธีทำงานไปถึงจุดหมายขององค์กร ต้องไม่ทำเพื่อมนุษยชนอีกต่อไป ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึงและงงงันไปทั่ว เพราะเชื่อกันว่าองค์กรเพื่อมนุษยชนและการพัฒนาทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วเป็นอาวุธอันทรงพลังของอเมริกาในการต่อสู้ทำลายระบบคอมมิวนิสต์ที่เคยขยายตัวเติบใหญ่ไปทั่วโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง จึงไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลทรัมป์ถึงไม่อาศัยอำนาจอ่อนเช่นนี้อีกต่อไป
คำตอบง่ายๆ แต่อาจผิดคือบัดนี้อำนาจและอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แม้กระทั่งรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินก็ไม่ใช่คู่แข่งทางอำนาจของทรัมป์อีกต่อไป (จนมีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นสายที่รัสเซียสร้างขึ้นมา) เมื่อระเบียบโลกเปลี่ยนไปแล้ว อเมริกาจึงไม่มีความจำเป็นต้องดำรงฐานะของมหาอำนาจเดี่ยวที่คอยรักษาความสงบและสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งในยุโรปด้วย ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลไปในทางการทหาร ทรัมป์คิดว่าหากลดงบประมาณด้านทหารแล้วไปเพิ่มในด้านการค้าและการผลิตอื่นๆ จะทำให้ระบบเศรษฐกิจอเมริกันแข็งแกร่งและสร้างความมั่งคั่งให้แก่คนอเมริกันทั่วไปได้ดีขึ้น
ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของนโยบายและการปฏิบัติในแบบต่างๆ ทั้งแรงและเบาในท่วงทำนองของทรัมป์คือ พูดก่อนทำทีหลัง พูดให้มากโดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง แต่ให้กินใจประชาชน พูดบ่อยๆ จนคนฟังเชื่อว่าเป็นความจริง
ประเด็นสุดท้ายที่ผมสังเกตในการขึ้นมายึดกุมอำนาจรัฐของประเทศที่ยิ่งใหญ่และทรงพลานุภาพที่สุดในโลกเช่นสหรัฐอเมริกานั้น ทรัมป์คือบุรุษผู้ไม่ปิดบังการเสพความสุขทุกอย่างในโลกวิสัย เขาต้องสนองความอยากทางกายและใจให้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเขาได้อำนาจรัฐสูงสุดนี้แล้ว อะไรคือสิ่งที่สนองความอยากที่เขาไม่เคยได้มาก่อนเลย คำตอบที่เขาให้แก่บ็อบ วูดเวิร์ด นักข่าวอาวุโสแห่งวอชิงตันโพสต์ หลังจากได้เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์กล่าวอย่างไม่ปิดบังว่าคืออำนาจ คือการใช้อำนาจอย่างที่เขาเชื่อว่า “อำนาจที่แท้จริงคือความหวาดกลัว” (Real power is … I even don’t like to use the word … but real power is fear.)
ดังนั้นเพื่อทำให้โลกกลัว เขาจึงต้องประกาศถล่มทุกประเทศด้วยภาษีที่สูงลิ่วอย่างตั้งตัวไม่ติด