ท่ามกลางความวุ่นวายใจกลางเมืองบนถนนพหลโยธิน มีสำนักงานขนาดเล็กซุกซ่อนอยู่ภายในอาคารหลังหนึ่ง – แม้จะเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มีอุดมการณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสันติภาพ ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของ ‘กรีนพีซ ประเทศไทย’
‘กรีนพีซ’ เป็นองค์กรรณรงค์อิสระระดับโลกที่ขับเคลื่อนประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในหลากหลายประเด็น โดยกรีนพีซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มีนาคม 2543 ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศไทย
และเพราะแถลงการณ์ฉบับหนึ่งบนเว็บไซต์ของกรีนพีซ ประเทศไทย ทำให้เราตัดสินใจเดินทางมาถึงที่นี่
“กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ธารา บัวคำศรี ก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย หลังจากร่วมก่อตั้งองค์กรและทำงานรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 25 ปี”
สำนักงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นแห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกันกับที่ทำงานของ ธารา บัวคำศรี ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา สำหรับธาราในฐานะอดีตผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย และผู้ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาเป็นทั้ง ‘คนเบื้องหน้า’ และ ‘คนเบื้องหลัง’ ที่ร่วมขับเคลื่อนองค์กรอย่างกรีนพีซตั้งแต่วันแรกที่ย่างก้าวเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนมาถึงวันนี้ที่กรีนพีซลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของธารา บัวคำศรี และการผลัดใบครั้งสำคัญของกรีนพีซ ประเทศไทย จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่น่าจับตาและสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนที่ติดตามประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง – ภาพจำของกรีนพีซมีธาราอยู่ในนั้น บนเนื้อหนังของธาราก็มีกรีนพีซเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมา วันโอวันเคยมีโอกาสสนทนากับเขาอยู่บ้าง แต่มักเป็นการพูดคุยเพื่อถอดคมคิดของเขาที่มีต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมตามวาระโอกาสต่างๆ แต่ครั้งนี้เราชวนเขาถอดหัวโขนที่เคยสวมใส่และสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่ธารา บัวคำศรีเป็น
ตั้งแต่บทเรียนชีวิตสมัยวัยเด็ก ช่วงเป็นนักศึกษา การเป็นนักเคลื่อนไหวแถวหน้าด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการขับเคลื่อนองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติอย่าง ‘กรีนพีซ’ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ก้าวลงจากตำแหน่ง พร้อมทั้งสารถึงนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่

เหตุผลที่คุณตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งคืออะไร เพราะต้องยอมรับว่าการก้าวลงจากตำแหน่งครั้งนี้สร้างความแปลกใจและสร้างคำถามมากมายให้สังคม
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนผู้สืบทอดและแผนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ภายในกรีนพีซอยู่แล้ว อีกทั้งผมดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของกรีนพีซ ประเทศไทยมากว่า 10 ปี และทำงานกับกรีนพีซกว่า 25 ปี ซึ่งหลายครั้งเป็นการพายเรือในอ่างวนอยู่อย่างนั้น เหมือนเราตกเป็นเหยื่อของความสำเร็จ จริงๆ เราและองค์กรต้องปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็คือความเปลี่ยนแปลงประการหนึ่ง คุณต้องเข้าใจก่อนว่าคนหนึ่งคนไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันในตำแหน่งเดิมตลอดกาล การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญขององค์กรอย่างกรีนพีซ ที่จะต้องก้าวต่อไปด้วยเจตจำนงของเราภายใต้การนำของผู้นำรุ่นใหม่
หากกรีนพีซเป็นองค์กรที่มีใครคนใดคนหนึ่งอยู่ยาวไปตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลย กรีนพีซคงเป็นองค์กรที่ล้มเหลวมากๆ เพราะการขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคนเดิมเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีพลวัตของการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอีกด้วย
องค์กรยุคใหม่ต้องเปิดให้ผู้คนมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เราเชื่อว่าองค์กรของเรามีผู้นำคนรุ่นใหม่หลายคนที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนและดูแลองค์กรต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางยุคที่โลกเปลี่ยนไปเยอะมากเช่นนี้ ผมไม่ได้ลงจากตำแหน่งแล้วหายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุน ที่ปรึกษา และนักกิจกรรมคนหนึ่งที่จะช่วยให้ทีมผู้นำคนรุ่นใหม่ก้าวต่อไปข้างหน้าได้
หากย้อนดูประวัติชีวิตของคุณถือว่าเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ชีวิตวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไร
ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เกิดและเติบโตที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว ช่วงเวลานั้นเกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ส่งผลให้มีคลื่นผู้อพยพชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ตามพื้นที่ชายแดนจำนวนมาก วัยเด็กของผมจึงเห็นความทุกข์ยากของผู้คนและการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เราเห็นชีวิตของผู้ลี้ภัยสงครามกลายเป็นชีวิตที่แทบจะไม่มีความหวัง หลายคนที่โชคดีก็สามารถผลักดันตนเองไปสู่ประเทศที่สามได้
สิ่งที่เราจำได้เกี่ยวกับช่วงวัยเด็กคือ สมัยนั้นคนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทก็ต้องหาวิธีเลี้ยงชีพโดยขายของในตลาดมืดให้ชาวกัมพูชาที่ลี้ภัยมา ขายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำตาล น้ำมัน อุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จักรยาน เป็นต้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นเวลาเรานำจักรยานไปขายให้ผู้อพยพผู้ลี้ภัยในค่ายตามแนวชายแดน ทหารที่ทำหน้าที่คัดกรองจะยึดไว้ เพราะจักรยานถือว่าเป็น ‘ยุทธปัจจัย’ สามารถเอาไปดัดแปลงเป็นอุปกรณ์ระเบิด ในช่วงวัยเด็กผมไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอโตมาก็รู้ว่าเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกามีบทบาทสําคัญในอินโดจีน หลังจากนั้นสหรัฐอเมริกาแพ้สงครามเวียดนามและเกิดคลื่นการปฏิวัติในลาว เวียดนาม กัมพูชา
ในความเป็นจริงแล้วชีวิตวัยเด็กของผมที่เกิดและเติบโตท่ามกลางสงครามอินโดจีนก็เชื่อมโยงกับการเกิดขึ้นของกรีนพีซด้วยเหมือนกันนะ มีคนเคยกล่าวไว้ว่ากรีนพีซเกิดขึ้นมาจากสงครามเวียดนาม เนื่องจากสงครามเวียดนามทำให้ชาวอเมริกันหลายคนต้องหนีทหารและข้ามพรมแดนไปอยู่ที่แคนาดา อีกทั้งยังมี ‘ขบวนการบุปผาชน’ หรือ ‘ฮิปปี้’ ที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพ
ต่อมาราวปี 1970 ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างกลุ่มบุปผาชนก็ไปเชื่อมโยงกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นช่วงที่โลกต้องเผชิญกับสงครามเย็น สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ทั้งบนดิน ใต้ดิน เหนือมหาสมุทร ใต้มหาสมุทร โดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิกนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งทำให้เกิดขบวนการสันติภาพและขบวนการนิเวศวิทยาต่อต้านการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ
ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่กรีนพีซเกิดขึ้น กลุ่มคนเล็กๆ รวมตัวกันเช่าเรือประมงไปเป็นประจักษ์พยานการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในแถบหมู่เกาะนอกชายฝั่งอลาสกา จะว่าไปแล้วการที่ผมมาทำงานที่กรีนพีซอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่กลับโยงกับประสบการณ์ของพื้นที่ที่เราเกิดและจากมาอย่างน่าประหลาดใจ

จุดที่ทำให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาในเนื้อในตัวคุณคือตอนไหน
ตอนนั้นผมเรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสมุทรปราการ ครูแนะแนวดึงผมไปช่วยทำจุลสารและเขาก็เป็นหนึ่งในนักกิจกรรมสมัยเดือนตุลาฯ ซึ่งหลายครั้งเขามักจะปลูกฝังความคิดทางการเมืองผ่านการเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ซึมเข้าไปในหัวโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในช่วงเวลาที่ผมทำงานกับเขาเป็นช่วงเดียวกันกับ ‘การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์’ (United Nations Conference on the Human Environment) ซึ่งถือว่าเป็นการประชุม Earth Summit ครั้งแรกของโลกที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในปี 1972 ซึ่งในช่วงเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก
อีกทั้งการประชุมครั้งนั้นก็เกิดคำว่าการปกป้อง ‘ชีวาลัย’ หรือ ‘biosphere’ ซึ่งหมายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและการปกป้องสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป จุลสารที่ผมทำจึงว่าด้วยการประชุมดังกล่าว ระหว่างการทำงานก็นั่งคุยกันไปและเห็นว่าเรื่องนี้มีความน่าสนใจอย่างมาก คล้ายว่าเป็นการจุดประกายแรกของความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม
ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกต่อยอดอีกครั้งในช่วงที่เรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ขบวนการนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นภาคการเมืองอย่าง สนนท. (สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย) ที่ขับเคลื่อนเกี่ยวกับประเด็นสังคมและการเมือง ควบคู่ไปกับคณะกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 15 สถาบัน (คอทส.) ที่สนใจประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยถือว่าเป็นช่วงที่เบ่งบานของขบวนการนักศึกษา ซึ่งผมก็เป็นเด็กกิจกรรมที่ตัดสินใจไปเข้าร่วมกับชมรมอนุรักษ์ที่ไปช่วยพัฒนาชนบทและขบวนการนักศึกษาในช่วงเวลานั้น
ในช่วงมหาวิทยาลัย คุณน่าจะมีชมรมอื่นๆ ให้เลือกมากมาย แต่ทำไมถึงเลือกเข้าชมรมที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตอนนั้นที่เลือก ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ (ยิ้ม) ผู้คนในช่วงนั้นมักแซวและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างชมรมพัฒนาชนบทกับชมรมอนุรักษ์ที่ผมอยู่ว่า ชมรมพัฒนาชนบทมีกรอบคิดทางการเมืองและวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แล้วจึงค่อยไปทำค่ายพัฒนาชนบท ซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันกับชาวบ้านเพื่อให้เกิดพัฒนาชุมชน หากกล่าวให้เข้าใจง่ายคือเป็นกลุ่มที่จริงจังเรื่องการเมืองและเป็นนักวิพากษ์ แต่ชมรมอนุรักษ์คือชมรมที่ไปเที่ยวและไปชมพื้นที่ทางธรรมชาติว่าสวยงามอย่างไรและจะช่วยกันดูแลอย่างไร ยุคนั้นเขาเรียกว่า ‘ยุคสายลมแสงแดด’
แต่พอเราเข้าร่วมกิจกรรมถึงจุดหนึ่งก็พบว่าทั้งสองชมรมต่างมีจุดร่วมกันบางอย่าง นั่นคือเราไม่สามารถอนุรักษ์ธรรมชาติได้เพียงลำพัง เพราะหนึ่งในปัญหาที่เราเจอในพื้นที่คือภาคประชาชน ชุมชน และท้องถิ่นต่างถูกกระทำจากนโยบายรัฐในเรื่องของการเข้าไปปลูกป่าเชิงพาณิชย์ การไล่ชุมชนออกจากป่า ซึ่งทำให้เราเกิดคำถามว่าจะอนุรักษ์ธรรมชาติโดยไม่สนใจชีวิตผู้คนได้อย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยต่างๆ จนส่งผลต่อทิศทางการออกค่ายของนักศึกษาพอสมควร จากการเดินทางไปเรียนรู้ธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติก็กลายเป็นออกค่ายป่าชุมชน และการทำกิจกรรมของชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติก็มีประเด็นเรื่องสังคมเข้ามาด้วย
จากที่ฟังมา ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เกิดการรวมตัวเป็นขบวนการนักศึกษาจากหลากหลายสถาบันเพื่อขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ตอนนั้นบรรยากาศในการต่อสู้เป็นอย่างไร และขบวนการนักศึกษามีอิทธิพลต่อสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากเท่าไหร่
การต่อสู้ครั้งสำคัญของขบวนการนักศึกษาในช่วงเวลานั้นคือ การต่อสู้คัดค้านโครงการสร้างเขื่อนน้ำโจนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นช่วงยุคของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน การต่อสู้ในครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ของชาวบ้านที่จังหวัดกาญจนบุรี และขบวนการนักศึกษาเข้าไปร่วมทำกิจกรรมและรณรงค์เพื่อต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน ช่วงนั้นเรียกได้ว่าทำกิจกรรมจนไม่ได้เรียน ซึ่งสุดท้ายเขื่อนน้ำโจนก็ไม่ได้สร้างและถือว่าเป็นชนะของประชาชน
นอกจากเรื่องการต่อสู้เรื่องเขื่อนน้ำโจน เครือข่ายนักศึกษายังลงพื้นที่ศึกษาปัญหาชาวบ้านในภาคเหนือและอีสานที่เผชิญกับการแย่งยึดที่ดินและทรัพยากรชุมชน อย่างกรณีของภาคอีสานคือการรุกเข้ามาของสวนป่ายูคาลิปตัสและนำไปทำเยื่อกระดาษ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างสิทธิชุมชนกับอุตสาหกรรมปลูกไม้โตเร็ว หลายครั้งเกิดการปะทะกันถึงชีวิต ส่วนภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบภายหลังจากการสัมปทานตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริงมาจนถึงนโยบายป่าไม้แห่งชาติในปัจจุบัน ทำให้พื้นที่ป่าดั้งเดิมหายไปจำนวนมาก หลายแห่งมีชุมชนรวมตัวกันต่อสู้ ฟื้นฟูและผลักดันให้มีป่าชุมชนที่คนในพื้นที่ดูแลร่วมกัน
ส่วนหนึ่งที่บรรยากาศของกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยมีขบวนการนักศึกษาที่เฟื่องฟูตั้งแต่รุ่น 14 ตุลาฯ กับ 6 ตุลาฯ มาเรื่อยๆ นักศึกษาในช่วงเวลานั้นมีบทบาทต่อสังคมใกล้เคียงกับนักวิชาการหรือปัญญาชน ค่อนข้างเป็นอิสระ ไม่มีผลประโยชน์ผูกติดกับฝ่ายใด อีกทั้งพื้นที่ของประชาธิปไตยในสังคมก็เปิดกว้างกว่าปัจจุบัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสูงมาก
ในช่วงเวลานั้นหากนักศึกษาหยิบยกประเด็นสิ่งแวดล้อมขึ้นมาก็จะกลายเป็นข่าว ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมจึงเริ่มถูกนำเสนอต่อสังคมโดยมีขบวนการนักศึกษาเป็นกระบอกเสียง ต้องยอมรับว่านักศึกษาในช่วงเวลานั้นที่ถือว่าเป็นปลายของเจเนอเรชันเอกซ์ซึ่งอาจไม่ต้องพะวงเรื่องค่าครองชีพมากนัก (โดยเปรียบเทียบ) จึงมีเวลาไปขับเคลื่อนประเด็นให้สุดลิ่มทิ่มประตูได้มากกว่านักศึกษายุคนี้

ภายหลังจากที่คุณเรียนจบมหาวิทยาลัย คุณยังเคยทำงานและขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลายจังหวัดมาก
ใช่ครับ ตอนที่เราเป็นนักศึกษา การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยคือการออกเดินทางเยอะมาก ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก ลงพื้นที่ไปศึกษาเรียนรู้ชีวิตจริงของคนในชุมชน ผมไปพบพื้นที่หนึ่งในจังหวัดระยองและเกิดความสนใจ ถึงขนาดที่ว่าเรียนจบแล้วผมก็ตัดสินใจเดินทางไปแสวงหาความหมายของชีวิตในพื้นที่แห่งนั้นอีกครั้ง ช่วงที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นช่วงหลังจากที่มีการฉลองรัตนโกสินทร์สมโภชครบ 200 ปีพอดี และไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrializing Countries : NICs) เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว มีคำกล่าวว่า ‘ไทยจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย’
หนึ่งในนั้นคือโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) โดยสร้างท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบังและมาบตาพุด อีกทั้งยังมีการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ช่วงนั้นภาคตะวันออกบูมมาก เรียกได้ว่าทุกคนสามารถเป็นเศรษฐีใหม่ได้ในเวลาหนึ่งวันจากการเก็งกำไรที่ดิน
พื้นที่ที่ผมไปอยู่ตอนนั้นเป็นชุมชนประมงเล็กๆ ใกล้หาดสวนสน ตำบลแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งผมเคยลงพื้นที่นั้นสมัยยังเป็นนักศึกษา โดยที่พื้นที่แถบนั้นเผชิญกับปัญหาการกว้านซื้อที่ดินบริเวณชายหาดเพื่อทำรีสอร์ตหรือกิจกรรมที่โยงกับอุตสาหกรรม เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวและได้รับผลพวงจากการปั่นราคาที่ดินด้วย
ตอนนั้นผมไปเป็นนักวิจัยภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ผมอยู่ที่นั่นราวสองปีโดยที่ไม่มีรายได้ กินอยู่กับชาวบ้านและกัลยาณมิตร และได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์สุริชัย หวันแก้ว อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตในพื้นที่จริงหล่อมหลอมให้เราได้สั่งสมทักษะการทำงานกับผู้คนที่หลากหลาย การเก็บข้อมูลภาคสนาม การทำความเข้าใจกับสภาพสังคมเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ เป็นทักษะที่ค่อยๆ ซึมซับและพัฒนาศักยภาพของตัวเราในการทำงานต่อไป
ช่วงนั้นเป็นช่วงของการแสวงหาความหมายในชีวิต ใช้เวลานานเหมือนกัน น่าจะเป็นสิบปีกว่าจะหาตัวเองเจอ ตอนมาเรียนภูมิศาสตร์ที่เชียงใหม่ก็ยังทำกิจกรรมอยู่นะ แล้วตอนนั้นก็ทำวิจัยไปด้วย จนกระทั่งภายหลังการเรียนจบที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ได้มาช่วยงานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชราวปีกว่า โดยเป็นทีมที่ทำงานเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นและโครงการเขื่อนในพื้นที่อื่นๆ ช่วงที่เราทำงานที่นั่นก็เป็นช่วงที่กรีนพีซเข้ามาพอดี
ทำไมประเทศไทยถึงเป็นพื้นที่ที่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง ‘กรีนพีซ’ สนใจและตัดสินใจตั้งเป็นสำนักงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรีนพีซเป็นองค์กรที่รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานในอเมริกาเหนือและยุโรป ซึ่งสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่นั่นมีความท้าทายและย้อมแย้งอย่างมาก กล่าวคือความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมในซีกโลกเหนือมีมากเท่าไหร่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ยิ่งเคลื่อนย้ายมายังซีกโลกใต้มากขึ้น ส่งผลให้กรีนพีซมองว่าสนามการต่อกรกับวิกฤตนิเวศวิทยาของโลกคือการรณรงค์ให้ประสบผลสำเร็จในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกาด้วย
ข้อสรุปจาก market survey คือประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการก่อตั้งกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นถือได้ว่าเป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพในการแสดงออก เศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในระดับที่ย่ำแย่ เนื่องจากกรีนพีซเป็นองค์กรที่เป็นอิสระ เพราะฉะนั้นเวลาที่องค์กรตัดสินใจที่จะเปิดพื้นที่ใหม่ๆ ต้องพิจารณาถึงยุทธศาสตร์ของการให้คนมีส่วนร่วมและสนับสนุนการทำงานของเราผ่านการบริจาคโดยตรง เนื่องจากเราไม่ได้รับเงินจากรัฐบาลและองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไร

คุณเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร
ผมถูกดึงไปช่วยก่อตั้งช่วงปลาย พ.ศ. 2541 เป็นช่วงที่มีการทำ market survey ของกรีนพีซ เนื่องจากทีมงานที่มาเป็นเพื่อนจากยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต้องสนับสนุนด้านการสื่อสาร ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งวิธีการทำงานรณรงค์ วิธีการสื่อสาร วิธีการระดมทุน และประเด็นทางเทคนิคที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มาจากข้อมูลการทำวิจัยของกรีนพีซ
ตำแหน่งงานของผมคือ ‘นักรณรงค์’ (campaigner) ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีใครรู้จักว่าคืออะไร จนมีเพื่อนหลายคนที่เคยทำงานกับกรีนพีซเขียนเป็นมุกตลกว่า ในฐานะเขาเคยเป็นวิศวกรทำงานในบริษัทน้ำมันและมาทำงานกับกรีนพีซในฐานะนักรณรงค์ คนที่ในแวดวงวิชาชีพวิศวะของเขาบอกว่า “อนาคตด้านการงานของคุณจบแล้วนะ” เพราะไม่มีใครรู้จักว่านักรณรงค์คืออะไรและทำงานอะไร (หัวเราะ)
คุณเผชิญกับความท้าทายในช่วงก่อตั้งองค์กรบ้างหรือไม่
ผมเคยคุยกันภายในทีมกรีนพีซในฝั่งซีกโลกใต้ว่า เราจำเป็นจะต้องปลดแอกความคิดที่เป็นอาณานิคมภายในด้วย แม้ว่ากรีนพีซเกิดขึ้นในเงื่อนไขของวิกฤตนิเวศวิทยาในซีกโลกเหนือ แม้ว่าจะมีความเป็นสากลและพหุนิยมวัฒนธรรม แต่ลึกๆ ก็มีความเป็น euro-centric ซึ่งต้องมีการปรับจูนกันเมื่อทำงานในประเทศซีกโลกใต้
เนื่องจากแนวทางการทำงานของกรีนพีซในซีกโลกเหนือเกิดขึ้นภายใต้สภาพสังคมและการเมืองในซีกโลกเหนือ โดยที่สภาพสังคมและการเมืองของซีกโลกใต้นั้นเป็นคนละเรื่องเลย มันมีความท้าทายอย่างมาก เราไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง แต่เราทำในสิ่งที่เราคิดว่ากรีนพีซมีทักษะและศักยภาพในการขับเคลื่อนที่เสริมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมหรือขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย
โชคดีที่ก่อนที่มาทำงานกับกรีนพีซ ผมมีโอกาสไปทำงานในหลากหลายพื้นที่ ทั้งช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยหรือภายหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะเราจำเป็นต้องทำให้งานของกรีนพีซสอดรับไปกับสถานการณ์และสภาพของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไทยด้วย ดังนั้นการทำงานตลอด 25 ปีที่ผ่านมา หลายอย่างต้องปรับท่วงทำนองให้สอดคล้องกัน ในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้กรีนพีซเป็นองค์กรไม่เคยหยุดนิ่ง จนกระทั่งเราเจอกับจุดที่ลงตัวขององค์กรสิ่งแวดล้อมอย่างกรีนพีซในสังคมไทยและทำให้สามารถยืนหยัดอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงแรกที่มาทำงานกับกรีนพีซ คุณขับเคลื่อนประเด็นอะไรบ้าง
งานรณรงค์แรกของผมคือว่าด้วยเรื่อง ‘มลพิษตกค้างยาวนาน’ (Persistent Organic Pollutants : POPs) ที่ปล่อยออกมาจากโรงงานเผาขยะ (waste incinerator) เช่น ไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ช่วงเดียวกันนั้นเองมีการขยายท่าอากาศยานหัวหิน-ชะอำ หรือ สนามบินบ่อฝ้าย ในตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งการขยายสนามบินครั้งนี้มีการขุดดินขึ้นมาและพบถังสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง (agent orange) ที่ถูกขุดขึ้นมาจากใต้สนามบินบ่อฝ้ายซึ่งถูกทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม กล่าวคือรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาทำการทดลองโดยการโปรยสารเคมีเพื่อให้ใบไม้ร่วงและสามารถเห็นศัตรูได้อย่างชัดเจนในสงครามเวียดนาม ซึ่งสารเคมีดังกล่าวที่ใช้ทำฝนเหลืองเหลือส่งผลให้สนามบินบ่อฝ้ายกลายเป็นพื้นที่ทิ้งถังสารเคมี
ภายหลังจากที่เจอถังสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง ผมก็ตัดสินใจลงพื้นที่เพื่อไปเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาว่าจะจัดการอย่างไร และไปประท้วงที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพราะสิ่งนี้คือมรดกของสงครามเวียดนามที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยต้องแบกรับไว้ เราจึงเรียกร้องให้สหรัฐฯ ต้องนำกลับไปจัดการ แต่ท้ายที่สุด เราก็ต้องรับภาระอยู่ดีโดยกรมควบคุมมลพิษนำไปจัดการในหลุมฝังกลบที่ปลอดภัย (secured landfill) ในบริเวณใกล้เคียง

การทำงานขับเคลื่อนกับกรีนพีซแตกต่างจากสมัยทำงานร่วมกับขบวนการนักศึกษาหรือไม่
แม้ว่าขบวนการนักศึกษากับกรีนพีซมักมีภาพของการประท้วงอยู่บ่อยครั้ง แต่วิธีการหยิบยกประเด็นและวิธีการขับเคลื่อนประเด็นให้สังคมสนใจอาจแตกต่างกัน แนวทางของกรีนพีซคือการเคลื่อนไหวผ่านการรณรงค์ที่หยิบยกประเด็นสิ่งแวดล้อมเฉพาะให้เป็นที่ถกเถียงของสังคมผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ใช้การเป็นประจักษ์พยาน ณ ที่เกิดเหตุ และปฏิบัติการตรงแบบไม่ใช้ความรุนแรง (non-violent direct action) และบันทึกภาพกับเรื่องราวสื่อสารและสนทนากับสังคม ในยุคแรกที่ยังไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ก็จะทำผ่านหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เพื่อให้ผู้คนในสังคมเกิดคำถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’ และ ‘จะเข้าไปมีส่วนร่วมได้อย่างไร?’
การรณรงค์ของกรีนพีซคือปฏิบัติการก่อน ให้คนตั้งคำถามแล้วค่อยอธิบาย (ผ่านช่องทางต่างๆ) หยิบยกปัญหาแล้วทำให้คนสนใจโดยที่ไม่ต้องอธิบายว่าคืออะไร และใช้ภาพ เสียง และสื่อต่างๆ เพื่อเล่าเรื่องว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นปัญหาอย่างไร เช่น การรณรงค์การยุติการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ผ่านการเผชิญหน้ากับกองเรือล่าวาฬในทะเลหลวง ซึ่งผู้คนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปกป้องวาฬด้วยและขวางทางฉมวกที่ใช้ยิงล่าวาฬ การกระทำดังกล่าวก็อาจกระตุกต่อมคิดของผู้คนว่า ‘ทำไมต้องมาแขวนป้าย?’ โดยภายหลังจากที่สังคมสนใจจึงหยิบยกข้อมูลที่เรามีเพื่อให้สังคมเข้าใจต่อไป
จากวันแรกที่ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ ประเทศไทย จนมาถึงวันนี้ถือว่าตรงกับภาพแรกที่วาดไว้หรือไม่
ไม่นะ ผมไม่เคยคิดว่าองค์กรอย่างกรีนพีซจะยืนยาวในสังคมไทยมานานถึง 25 ปี เพราะตลอดระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาก็พบกับสถานการณ์ที่เสี่ยงจะถูกปิดลงอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งหนึ่งคือช่วงรัฐบาลไทยรักไทย เนื่องจากกรีนพีซเป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มองค์กรประชาสังคมที่ชอบสร้างปัญหาในสายตาของรัฐ มีบทบาทในการรณรงค์และประท้วงนโยบายของรัฐบาลหลากหลายประเด็น มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ รัฐสภาเพื่อพิจารณาบทบาทของเอ็นจีโอ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับระหว่างประเทศ เพราะไม่ต้องการให้บทบาทของเอ็นจีโอโดดเด่นเกินไป และหากรัฐบาลจะทำโครงการขนาดใหญ่ก็มักจะถูกประท้วง โดยในเอกสารฉบับนั้นมีการแบ่งประเภทขององค์กรพัฒนาเอกชนที่พึงประสงค์ของสังคมไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่พึงประสงค์ของสังคมไทย
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ ‘คดีปิดปาก’ หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) กว่าสองครั้งจากการขับเคลื่อนเรื่องอุตสาหกรรมถ่านหินและอุตสาหกรรมประมงนอกน่านน้ำ แต่เราก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ด้วยความอึดและความพยายามของคนทำงานมากว่า 25 ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้คือ กรีนพีซกลายเป็นองค์กรที่สามารถปรับตัวท่ามกลางสถานการณ์และความท้าทายที่ต้องเผชิญได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผม แม้ว่าในอนาคตกรีนพีซจะหายไปหรือถูกยุบลง แต่ความเป็นกรีนพีซยังคงอยู่ในเนื้อในตัวคนทำงานทุกคนไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหน กล่าวโดยสรุปคือเรามี ‘ดีเอ็นเอ’ ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าคนทำงานของกรีนพีซจะไปทำงานที่อื่นหรือสร้างองค์กรใหม่แต่รากฐานและวิธีคิดของกรีนพีซยังคงอยู่
จากวันแรกในฐานะ ‘นักรณรงค์’ (campaigner) จนกลายเป็น ‘ผู้อำนวยการของกรีนพีซ’ แคมเปญไหนยากที่สุด
อาจไม่ได้มีแคมเปญอะไรที่ยากที่สุด แต่บางประเด็นกลายเป็นประเด็นที่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าพวกเราทำได้อย่างไรกัน หนึ่งในนั้นคือแคมเปญ ‘มะละกอจีเอ็มโอ’ ซึ่งเราไม่ได้ต่อต้านเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่การตัดแต่งพันธุกรรมของพืชต้องผ่านการประเมินผลกระทบทางชีวภาพด้วย ซึ่งในช่วงเวลานั้นกรีนพีซทั่วโลกทำแคมเปญเกี่ยวกับจีเอ็มโอ ประเทศไทยก็มีการทดลองมะละกอจีเอ็มโอ ทีมของกรีนพีซได้ทำงานวิจัยเชิงสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ พร้อมกันนั้น นักกิจกรรมและอาสาสมัครของของกรีนพีซได้มีปฏิบัติการตรงที่สถานีวิจัยทดลองพืชสวนที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งมีการทดลองปลูกมะละกอจีเอ็มโออยู่
จากการสำรวจพบว่า มะละกอจีเอ็มโอที่สถานีพืชสวนไม่ได้ปลูกอยู่ในห้องทดลอง แต่อยู่ในแปลงเปิดและมีการแจกจ่ายเมล็ดให้เกษตรกรด้วย ปฏิบัติการตรงของเราเรียกว่า ‘decontamination action’ โดยนำต้นมะละกอตั้งแต่รากจนถึงใบลงในถังปิดสนิทที่บรรจุน้ำหมักชีวภาพไว้เพื่อป้องกันมลพิษทางพันธุกรรมปนเปื้อนในระบบอาหารของประเทศไทย
ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเราก็ถูกฟ้องคดีอาญาจากกรมวิชาการเกษตร ใช้เวลาในการต่อสู้คดีอย่างยาวนานกว่า 6 ปี ปฏิบัติการตรงของกรีนพีซครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์มากเหมือนกัน บางคนบอกว่าเรานิสัยไม่ดี ทำไมไม่คุยกันก่อน หรือบางคนมองว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
จากคำวิพากษ์วิจารณ์ในครั้งนั้นกลายเป็นว่าแคมเปญ ‘มะละกอจีเอ็มโอ’ ท้าทายกับความคิดของสังคมไทยด้วย
ผมคิดว่าเป็นการแปลความหมายของคำว่า ‘สันติวิธี’ กับคำว่า ‘ปฏิบัติการตรงแบบไร้ความรุนแรง’ (non-violent direct action) ที่แตกต่างกัน เพราะการรณรงค์ของกรีนพีซจะใช้กลยุทธ์การเผชิญหน้าเพื่อเปิดโปงอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมซึ่งบรรทัดฐานของสังคมไทย (norm) เหมือนกับเราคล้ายเด็กเกเร
สำหรับผมแล้ว กลยุทธ์สำหรับการรณรงค์เป็นสิ่งที่สามารถร่วมถกเถียงกันได้ว่าเป็นการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งเส้นที่แบ่งระหว่างการใช้ความรุนแรงและการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นบางอย่างมาก สังคมทั่วโลกก็อาจนิยามการกระทำที่ถูกนับว่าเป็นความรุนแรงไม่เหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การถกเถียงเรื่องความรุนแรงเชิงโครงสร้างของสังคมไทยต่อไปได้ เช่น ในช่วงการประท้วงของกลุ่ม ‘ทะลุแก๊ส’ ใน พ.ศ. 2563 ที่มีการปะทะอย่างรุนแรงจนประชาชนบางกลุ่มมองว่าเยาวชนที่ออกไปประท้วงใช้ความรุนแรง แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็นำไปสู่การถกเถียงต่อไปว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้เยาวชนถึงต้องออกไปสู่กับตำรวจในพื้นที่แห่งนั้น
กรีนพีซมีเส้นในการขับเคลื่อนอยู่ทั้งหมดสามประการ ประกอบด้วย กรีนพีซจะไม่โจมตีตัวบุคคล แต่เราจะโจมตีไปที่โครงสร้างของสังคมที่มีปัญหา ต่อมากรีนพีซจะไม่ทำลายข้าวของหรือทรัพย์สินให้เสียหาย และหากการขับเคลื่อนแคมเปญของกรีนพีซเกิดความเสี่ยงต่อนักกิจกรรม เราจะหยุดปฏิบัติกิจกรรมทันที แต่หากต้องการแนวทางที่ยั่งยืน นักกิจกรรมในแต่ละประเทศต้องหันกลับมาถกเถียงร่วมกันถึงคำนิยามของ ‘การประท้วงแบบไม่ใช้ความรุนแรง’ ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกัน
แม้ว่าในปัจจุบันเราจะมีเส้นของเรา แต่หลายครั้งเรายังโดนคุกคามจากฝ่ายรัฐอยู่เสมอ เช่น ตำรวจสันติบาลและทหารมักเยี่ยมเยียนเป็นระยะ เพราะว่าเราก็ต้องมีการต่ออายุขององค์กรในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไรระหว่างประเทศทุกๆ สองปี ซึ่งคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ก็มีกรมแรงงานกับกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ทำให้เรารู้จักตำรวจสันติบาลอยู่บ้าง ซึ่งพวกเขาก็เป็นมิตรกับเราอยู่นะ เวลามีกิจกรรมใหญ่ของประเทศ เช่น APEC เขามักจะโทรมาถามก่อนว่ากรีนพีซจะไปทำอะไรหรือไม่ แต่หลายครั้งเรามักจะตอบไปว่าไม่ทราบเหมือนกันครับ เพราะว่าบางอย่างเราก็บอกไม่ได้ แต่ก็แจ้งให้เขาทราบว่าอาจจะมีกิจกรรมนะ เพียงแค่บอกละเอียดไม่ได้

แต่ภาพลักษณ์ของเอ็นจีโอมักจะดูเป็นองค์กรที่ ‘ด่า’ ภาครัฐอยู่ตลอดเวลา คุณมองประเด็นนี้อย่างไร
คำว่า ‘ด่า’ ในความหมายของเราคือ ‘การวิพากษ์วิจารณ์’ เพื่อให้เกิดการถกเถียงในสังคมมากขึ้น หลายครั้งเป็นการท้าทายเพื่อกดดันให้ภาครัฐมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อดูแลประชาชน แต่ในความเป็นจริง เราไม่ค่อยไปตะโกนด่าภาครัฐนะ ยกเว้นช่วงรัฐบาลเผด็จการ เพราะกรีนพีซมักจะไปสนใจประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นคือบทบาทของภาคบริษัทหรือภาคอุตสาหกรรมที่มาครอบงำหรือเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายรัฐ
หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ในช่วงรัฐบาลเผด็จการมักจะเห็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐที่เอื้อหรือทำงานร่วมกับบริษัทเอกชนที่เป็นผู้สร้างมลพิษ เช่น เวทีการประชุมใหญ่มักจะมีโลโก้ของภาครัฐคู่กับบริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลต่างๆ เราจึงตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมเช่นนี้ว่าประชาชนอยู่ตรงไหน เพราะต้องไม่ลืมว่าบทบาทของรัฐต้องสร้างความสมดุลและไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
จากที่ฟังมาแปลว่า หากต้องการการขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมให้สำเร็จ ต้องขับเคลื่อนประเด็นความยุติธรรมและประชาธิปไตยควบคู่กันไปด้วย
ใช่ครับ บางทีมักจะมีคำอธิบายจำพวก “เราช่วยกันคนละไม้คนละมือ เดี๋ยวสิ่งแวดล้อมก็ดีขึ้น” แต่ต้องยอมรับว่าประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างผูกโยงกับระบบสังคมและการเมืองทั้งสิ้น ดังนั้นการขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมให้สำเร็จ เราต้องเข้าใจถึงโครงสร้างและระบบทางสังคมการเมืองที่เป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อม
ต่อให้เราปลูกต้นไม้ล้านต้นหรือดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ล้านตัน แต่อุตสาหกรรมฟอสซิลก็ยังคงปล่อยมลพิษอยู่ เราช่วยกันคนละไม้คนละมือไม่ไหวหรอก มันต้องเปลี่ยนที่ระบบหรือนโยบายควบคู่กันไปด้วย
หากชวนถอยมามองเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมในไทย คุณพบจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง จุดที่ทำได้ดี หรือจุดที่อาจทำได้ดีกว่านี้หรือไม่
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยมีความหลากหลายสูงอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องของจำนวนขบวนการเคลื่อนไหวและประเด็นในการขับเคลื่อน บางกลุ่มมองประเด็นสิ่งแวดล้อมโดยอาจละเลยชีวิตของชาวบ้าน บางกลุ่มอาจไม่ได้สนใจเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวอาจไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดี อีกทั้งยังจำเป็นต้องรักษาความหลากหลายของการเคลื่อนไหวเช่นนี้ต่อไป
แต่จุดอ่อนสำคัญคือ บางครั้งความหลากหลายดังกล่าวอาจทำให้ขบวนการทางสังคมต่อสู้เอาชนะคะคานหรือปะทะประสานกันเอง แทนที่จะไปต่อกรกับความท้าทายข้างนอก เราเสียเวลากับการต่อสู้ภายในมากเกินไป โอเค มันก็ต้องมีการโต้เถียงกันบ้าง แต่เราก็ต้องไปให้พ้นจากอัตตาของตัวเอง หรือหากขบวนการเคลื่อนไหวตั้งขึ้นเป็นองค์กรต้องเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใสและตรวจสอบได้ และต้องมีจิตวิญญาณใหม่ๆ เข้ามาร่วมคิดและร่วมสร้างด้วย ถ้าองค์กรเหล่านั้นมีทั้งการจัดการและการบริหารที่ดีต้องต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้คนทั้งหลายที่มีสามารถคิดค้นอะไรใหม่ๆ ได้ด้วย
ยังมีอะไรที่ยังค้างคาใจในการทำงานหรือไม่
ไม่นะ ทุกสิ่งที่ทำในฐานะผู้อำนวยการของผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย แม้ว่าการทำงานบางครั้งอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ แต่เราได้ทำเต็มที่ทุกอย่างและไม่เคยเสียดายกับการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ระหว่างการทำงานเราได้เห็นความมุ่งมั่นของคนในองค์กรและได้รับการสนับสนุนจากทีมงานหรือคนที่ทำงานด้วย
ผมคิดว่าสิ่งที่ผมต้องการทำเพื่อสังคมไทยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมยังไม่จบหรอก ยังมีอีกมากมายที่ต้องการทำต่อไปโดยที่ผมจะหยิบใช้ศักยภาพและบทเรียนซึ่งได้รับจากการทำงานกับกรีนพีซหรือก่อนหน้านั้นมาช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนต่อไปของผมด้วย

บทบาทต่อไปของคุณภายหลังจากการก้าวลงจากตำแหน่งคืออะไร
ผมตั้งใจจะเขียนหนังสือและผลิตเนื้อหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบางเรื่องเป็นประเด็นที่หนักและยากมาก เช่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีแง่มุมที่สามารถนำเสนอได้หลากหลาย เราจำเป็นต้องมีวิธีการเล่าเรื่องที่ดีเพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกว่ายังมีความหวังต่อทางออกด้านสิ่งแวดล้อม เพราะที่ผ่านมาการสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมอาจทำให้คนมองว่า ‘โลกนี้ไร้ความหวัง’ มากเกินไป ผู้คนส่วนหนึ่งรู้สึกว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเจอวิกฤตสภาพภูมิอากาศนะ และเราจะต้องจบชีวิตจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เราไม่ได้มีส่วนหรือมีส่วนน้อยมากในการก่อให้เกิดขึ้น
ส่วนการขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อม ผมก็ยังเป็นนักกิจกรรมอยู่นะ หากมีประท้วงที่ไหน เราก็เป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงได้ หรือมีกิจกรรมอะไร เราก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนั้นได้ แต่ไม่ได้คิดจะตั้งองค์กรใหม่ซึ่งต้องมีความพร้อมด้านการจัดการมากมาย คิดว่าไม่ใช่เวลาของเราแล้ว ถอยออกมาเป็นที่ปรึกษาแทน
จากวันแรกที่มาทำงานด้านสิ่งแวดล้อมจนมาถึงทุกวันนี้ ตัวตนของ ‘ธารา บัวคำศรี’ เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
ไม่เปลี่ยนแปลงไปนะ เวลาที่ต้องเจอกับความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ก็ยังเป็นคนที่ ‘หัวร้อน’ เหมือนเดิม อาจไม่กระตือรือร้นเท่าตอนเป็นวัยรุ่น แต่ยังรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเช่นเดิม
สังคมในฝันของคุณธารามีหน้าตาเป็นอย่างไร
สังคมในฝันของผมคล้ายกับสังคมในอุดมคติของกรีนพีซนั่นแหละครับ เป็นสังคมที่รับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี อีกทั้งยังเป็นสังคมที่มีพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน แต่เคารพความแตกต่างหลากหลาย อยู่ร่วมกันภายใต้พหุสังคม (plural society) ได้ ผมอยากเห็นสังคมแบบนั้นซึ่งในปัจจุบันยังไม่ใกล้เลย ยังอีกไกลเลย
มีอะไรที่อยากฝากถึงนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นต่อไปหรือไม่
สำหรับผมแล้ว ทักษะที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต้องมีคือ ‘sense of humor’ ในการทำงาน เพื่อเยียวยาและช่วยให้การทำงานของเราเดินต่อไปได้อย่างไม่หมดแรง เนื่องจากคนรุ่นใหม่อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มารบกวนมากกว่ายุคสมัยของผม เราจะต้องจัดการกับทั้งความรู้สึกของตัวเองและงานที่ทำ เมื่อผิดพลาด เราต้องรู้จักให้อภัยตัวเองและโอบรับความเป็นตัวเรา
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้นักกิจกรรมเดินต่อไปได้เป็นยุทธศาสตร์หลักของการทำงานคือ เราจะต้องมี ‘ดาวเหนือนำทาง’ ที่ยังคงสว่างไสวเสมอซึ่งเป็นการตั้งธงของเป้าหมายไว้ โดยไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองให้เดินไปถึงมัน ค่อยๆ เดินไป หลงทางก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเราจะมีเข็มทิศคอยนำทางไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้
ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เราต้องแฝงฝังไปด้วยความหวังอยู่เสมอ บางทีเราก็เหนื่อยได้ พักได้ แต่อย่าไปกดดันตัวเองเกินไป เพราะเส้นทางการต่อสู้ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมยังมีอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยขวากหนามเยอะแยะเต็มไปหมด
แล้ว ‘ดาวเหนือนำทาง’ ของคุณคืออะไร
ความหวัง (ยิ้ม)
