คนเชื้อสายญี่ปุ่นในลาตินอเมริกาที่มีชื่อเสีย(ง)มากที่สุดในโลก: อัลแบร์โต ฟูจิโมริ

นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ผมเขียนเรื่องราวของคนเชื้อสายญี่ปุ่นในลาตินอเมริกา โดยเฉพาะในบราซิลซึ่งมีคนเชื้อสายญี่ปุ่นนอกประเทศญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามในลาตินอเมริกายังมีคนเชื้อสายญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ อาทิ เปรู และชิลี โดยคนเชื้อสายญี่ปุ่นในลาตินอเมริกาที่โดดเด่นมากที่สุดในโลกคนหนึ่งก็คือ อัลแบร์โต ฟูจิโมริ (Alberto Fujimori) อดีตประธานาธิบดีของเปรูในระหว่าง ค.ศ. 1990-2000 ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง ในคราวนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปรู้จักเขาในมิติต่างๆ ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ตามชื่อเรื่องในบทความนี้ครับ

อัลแบร์โต ฟูจิโมริ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 ในเขต Miraflores ซึ่งเป็นเขตร่ำรวยในกรุงลิมา เมืองหลวงของเปรู โดยบิดาและมารดาของเขาอพยพมาจากจังหวัดคุมาโมโตะ ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1934 บิดาและมารดาของเขานับถือศาสนาพุทธ แต่ตัวฟูจิโมริเองเป็นโรมันคาทอลิก เขาพูดได้คล่องทั้งภาษาสเปนและภาษาญี่ปุ่น เขาจบปริญญาโททางด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาด้วยทุน Ford Foundation เมื่อเขาเดินทางกลับมายังเปรู ก็ได้รับข้อเสนอจาก The National Agrarian University ให้เป็นคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ก่อนที่ต่อมาในปี 1984 เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยดังกล่าว ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งอยู่จนกระทั่งปี 1989 และในระหว่างปี ค.ศ. 1987 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานที่ประชุมอธิการบดีของประเทศ

อัลแบร์โต ฟูจิโมริ (Alberto Fujimori)
ภาพจาก Christian Lambiotte / European Communities

ในระหว่างปี 1985-1990 เปรูซึ่งอยู่ในสมัยประธานาธิบดีอลัน กราเซีย (Alan Garcia) เศรษฐกิจของประเทศเผชิญวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรงถึงร้อยละ 7,500 ต่อปี รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย ส่งผลให้กองทัพมองว่ารัฐบาลของกราเซียนั้นด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ จึงมีการวางแผนการที่เรียกว่า Plan Verde ในปี 1989 เพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาลของอลัน กราเซีย อย่างไรก็ตามแผนการดังกล่าวยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ในปีถัดมา ในตอนนั้นนายพลนิโคลัส เด บารี เอร์โมซา (Nicolás de Bari Hermoza) และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ บลาดิมีโร มอนเตซิโนส (Vladimiro Montesinos) เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างกองทัพกับผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหน้าใหม่อย่างอัลแบร์โต ฟูจิโมริ โดยมีคู่แข่งสำคัญคือ มาริโอ บาร์กาส ยัวซา (Mario Vargas Llosa) โดยทางสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนฟูจิโมริ เนื่องจากมอนติเซโนสเคยทำงานให้กับสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ของสหรัฐอเมริกา

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1990 รอบแรกไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ 50 จึงต้องจัดให้มีการแข่งขันในรอบตัดสินระหว่างผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดสองคน คือฟูจิโมริกับยัวซา ซึ่งปรากฏว่าฟูจิโมริเป็นผู้ชนะโดยได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายซ้าย ผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีอลัน กราเซีย และผู้ที่ไม่มั่นใจในข้อเสนอการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ของยัวซา โดยในระหว่างช่วงระยะเวลาการหาเสียงนั้น ฟูจิโมริถูกตั้งชื่อเล่นว่า El Chino หมายความว่า ‘คนจีน’ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ลูกหลานของคนเชื้อสายเอเชียตะวันออกในเปรูและลาตินอเมริกาประเทศอื่นๆ จะถูกเรียกรวมเหมาหมดว่าเป็นคนจีน แต่ตัวของฟูจิโมริเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับชื่อเล่นนี้ ชัยชนะของฟูจิโมริในเปรูถือเป็นครั้งที่สามที่ประเทศในลาตินอเมริกามีคนเชื้อสายเอเชียขึ้นเป็นผู้นำประเทศต่อจากประธานาธิบดีอาร์เธอร์ จุง (Arthur Chung) แห่งกายอานา และประธานาธิบดีเฮงก์ ชิน เอ เซ็น (Henk Chin A Sen) แห่งซูรินาเมตามลำดับ

ฟูจิโมริสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1990 หลังจากนั้นเขาได้สลัดทิ้งนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ตอนสมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจที่เขาหันมาใช้ยาแรงคือนโยบายเสรีนิยมทางเศรษฐกิจที่เข้มข้นกว่าที่คู่แข่งเขาอย่างยัวซาประกาศไว้เสียอีก โดยมาตรการทางเศรษฐกิจของเขานี้ได้รับการขนานนามว่า Fujishock ซึ่งฟูจิโมริได้รับการช่วยเหลือจากเอร์นานโด เด โซโต (Hernando de Soto) ผู้ก่อตั้ง The Institute for Liberty and Democracy (ILD) สถาบันวิจัยเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่แห่งแรกๆ ในลาตินอเมริกา รวมทั้งจากรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) ระหว่างปี 1988-1995 เด โซโต และ ILD มีส่วนในการนำเสนอนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเปรูกว่า 400 นโยบายที่เปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจของเปรู และเด โซโตก็กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของฟูจิโมริ จนบางสื่อถึงกับขนานนามเขาว่าเป็น “ประธานาธิบดีเงา” ของประเทศ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พอใจกับนโยบายทางเศรษฐกิจของเปรู และได้อนุมัติเงินกู้ยืมเพิ่มเติมให้กับรัฐบาลของฟูจิโมริ เงินเฟ้อลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า Fujishock จะทำให้เปรูฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้เกิดการร่วมมือกันคอร์รัปชันระหว่างบริษัทลงทุนข้ามชาติกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หนึ่งในนโยบายสำคัญคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้อยู่ในมือของเอกชน มีการยกเลิกสกุลเงินเดิม The Inti มาใช้เงินสกุลใหม่ The Nuevo Sol ยกเลิกการควบคุมเพดานราคาสินค้า ลดเงินสนับสนุนภาครัฐ ลดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ยกเลิกมาตรการการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ลดข้อจำกัดในการลงทุน การนำเข้าสินค้าและเงินทุน ปรับปรุงระบบภาษีให้มีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็นสี่เท่า อีกทั้งรัฐบาลยังได้จัดตั้งกองทุนเงินมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ยากจนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นกว่า 5 เท่า ค่าน้ำที่เพิ่มขึ้น 8 เท่า รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 3,000

ในทางการเมือง ฝ่ายค้านยังกุมเสียงข้างมากของรัฐสภา ซึ่งในขณะนั้นประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและและวุฒิสภา ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของรัฐบาลฟูจิโมริ โดยเฉพาะนโยบายทางการทหารที่ต้องการปราบปรามขบวนการกบฏฝ่ายซ้าย The Shining Path ส่งผลให้ฟูจิโมริร่วมมือกับกองทัพทำการรัฐประหารตัวเองในวันที่ 5 เมษายน 1992 รัฐสภาถูกปิด รัฐธรรมนูญถูกยกเลิก รวมทั้งระงับอำนาจของฝ่ายตุลาการ และ Plan Verde ที่เคยถูกวางแผนไว้ก่อนหน้านั้นก็ถูกกองทัพนำกลับมาใช้ใหม่ โดยที่มีฟูจิโมริยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศว่ายังคงเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีอยู่

การรัฐประหารตัวเองครั้งนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในประเทศเห็นได้จากคะแนนนิยมในตัวฟูจิโมริที่เพิ่มสูงขึ้น แตกต่างจากประชาคมโลกที่มีท่าทีต่อต้าน องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) เรียกร้องให้เปรูกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงโดยเร็วแม้ว่าฟูจิโมริจะตอบกลับว่าเป็นการ “ลุกขึ้นสู้” ของประชาชน รัฐบาลเปรูเสนอให้มีการทำประชามติเพื่อรับรองการทำรัฐประหารแต่ถูกปฏิเสธจากองค์การรัฐอเมริกัน ต่อมาฟูจิโมริเสนอให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซี่งได้รับความเห็นชอบจากองค์การรัฐอเมริกัน การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญถูกจัดขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1992

สำหรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อการรัฐประหารในครั้งนี้นั้น เดิมสหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยและตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหารต่อเปรู อย่างไรก็ตามในอีกสองสัปดาห์ต่อมาประธานาธิบดีจอร์จ บุช (George Bush) ได้ประกาศยอมรับรัฐบาลเปรู เนื่องจากประธานาธิบดีฟูจิโมริให้สัญญาว่าเขาจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ต่อไปพร้อมกับจัดการขบวนการกบฏฝ่ายซ้ายในประเทศอย่างเร่งด่วน

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 1993 อนุญาตให้ฟูจิโมริลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้เป็นสมัยที่สองในปี 1995 ซึ่งเป็นช่วงที่คนในประเทศชื่นชอบเขาเป็นอย่างมาก เขาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเกือบสองในสามของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง โดยมีคู่แข่งคืออดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ฆาบิเอร์ เปเรซ เด กูเอยาร์ (Javier Pérez de Cuéllar) ที่ได้คะแนนตามมาห่างๆ ร้อยละ 21 ส่วนในรัฐสภาซึ่งเปลี่ยนเป็นสภาเดียว ผู้สนับสนุนฟูจิโมริก็ได้คะแนนเสียงเป็นจำนวนมากด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามประชาชนรู้สึกว่าเสรีภาพในการแสดงออกและสื่อถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น โดยก่อนที่จะสาบานตนเขารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง ฟูจิโมริได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยสองแห่ง และเปลี่ยนตัวคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากผลการสำรวจของ The Peruvian Research and Marketing Company ที่จัดทำขึ้นในปี 1997 ร้อยละ 40.6 ของประชาชนในกรุงลิมามองว่าฟูจิโมริเป็นเผด็จการ นอกจากนี้ฟูจิโมริและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ มอนเตซิโนสก็ได้เข้ามามีอำนาจควบคุมกองทัพเปรูเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสำนักข่าว The Financial Times ได้รายงานว่าไม่มีประเทศไหนในลาตินอเมริกาที่ประธานาธิบดีมีอำนาจเหนือกองทัพมากกว่าในเปรูอีกแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลของฟูจิโมริยังได้มีนโยบายบังคับทำหมันแก่ผู้หญิงโดยเฉพาะที่เป็นชนพื้นเมืองมากกว่า 300,000 คน ระหว่างปี 1996-2000 ตามนโยบายการคุมกำเนิดประชากรแห่งชาติอีกด้วย

รัฐบาลของฟูจิโมริมีความเผด็จการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้สนับสนุนเขาในรัฐสภาได้ผ่านร่างกฎหมายอนุญาตให้ฟูจิโมริลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในอีกหนึ่งสมัยในปี 2000 โดยคู่แข่งคนสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ อเลฆานโดร โตเลโด (Alejandro Toledo) ทั้งคู่ต้องแข่งขันกันถึงสองรอบก่อนที่ฟูจิโมริจะเอาชนะไปด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 51.1 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ขณะที่ผู้ไม่ลงคะแนนเสียงมีถึงร้อยละ 31.1 แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อฟูจิโมริ

อย่างไรก็ตามผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งจากองค์การรัฐอเมริกันถอนตัวออกจากการเลือกตั้งครั้งนี้พร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ดังนั้นในการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สามของฟูจิโมริในวันที่ 28 กรกฎาคม 2000 จึงแทบไม่มีผู้นำจากต่างชาติเข้าร่วม และประชาชนชาวเปรูเองก็ได้ออกมาประท้วงรายวันที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดี โชคร้ายไปกว่านั้นในวันที่ 14 กันยายน 2000 สถานีโทรทัศน์ได้เผยแพร่ภาพหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ มอนเตซิโนส จ่ายเงินติดสินบนนักการเมืองฝ่ายค้านให้หันมาสนับสนุนพรรคการเมืองของฟูจิโมริ ส่งผลให้เกิดวิกฤตศรัทธาในตัวฟูจิโมริ จนเขาเองต้องออกมาประกาศในเวลาต่อมาว่าจะดำเนินการปิดหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2001 โดยเขาเองจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก

ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2000 ฟูจิโมริเดินทางไปบรูไนเพื่อประชุมสุดยอดผู้นำของ The Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) และต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2000 เขาก็ได้เดินทางต่อไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งส่งใบลาออกผ่านทางแฟกซ์ อย่างไรก็ตามรัฐสภาเปรูปฏิเสธการลาออกในครั้งนี้ แต่กลับเปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2000 ลงคะแนนถอดถอนฟูจิโมริออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และห้ามเขายุ่งเกี่ยวทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

ต่อมาโตเลโด ผู้ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2001 ได้ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นอาทิ ศาลสูงสุด และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตั้งข้อกล่าวหาต่อฟูจิโมริหลายข้อหาในเดือนสิงหาคม 2001 ฟูจิโมริถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับมอนติเซโนส ในการจัดตั้งกองกำลังทหารลับสังหารประชาชนที่เห็นต่าง ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลเปรูยังได้ขอให้องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (Interpol) ออกหมายจับฟูจิโมริในเดือนมีนาคม 2003 ในข้อหาฆาตกรรม ลักพาตัว และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติโดยเฉพาะนโยบายบังคับทำหมันแก่ผู้หญิงชนพื้นเมือง ซึ่งถือว่าเป็นความพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาเหล่านั้น

ในปี 2004 อัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องฟูจิโมริในข้อหารับสินบนมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านทางเครือข่ายทางการเงินผิดกฎหมายของมอนติเซโนส ขณะเดียวกันองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้รายงานว่าฟูจิโมริเป็นผู้นำที่คอร์รัปชันสูงที่สุดเป็นลำดับเจ็ดของโลกระหว่างปี 1984-2004

ทางด้านฟูจิโมรินั้น เขาได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและโต้กลับว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองของประธานาธิบดีโตเลโด ส่วนตัวเขาเองก็ยังคงลี้ภัยทางการเมืองต่อไปในกรุงโตเกียว ต่อมารัฐบาลเปรูได้เรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นเนรเทศฟูจิโมริ แต่ญี่ปุ่นได้ปฏิเสธเนื่องจากฟูจิโมริถือสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ด้วย โดยกฎหมายของญี่ปุ่นนั้นห้ามส่งคนสัญชาติตัวเองไปรับโทษในประเทศอื่น อย่างไรก็ตามในเดือนพฤศจิกายน 2005 ฟูจิโมริได้เดินทางไปยังชิลี แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งของผู้พิพากษาชิลี เปรูได้โอกาสขอให้ชิลีส่งฟูจิโมริกลับมายังเปรู ซึ่งชิลีได้ส่งให้ในเดือนกันยายน 2007 ก่อนที่เขาได้ถูกตัดสินลงโทษในคดีความต่างๆ ส่งผลให้เขาถูกจำคุกรวมกันเป็นเวลาทั้งสิ้น 25 ปีโดยไม่รอลงอาญา

ในปลายปี 2012 มีรายงานข่าวว่าฟูจิโมริล้มป่วยลงด้วยหลายโรคร้ายที่รุมเร้า ครอบครัวของเขาได้ขอให้ประธานาธิบดี โอยันตา อุมาลา (Ollanta Humala) นิรโทษกรรมให้กับฟูจิโมริ แต่ได้ถูกปฏิเสธเนื่องจากมองว่าโรคของฟูจิโมรินั้นยังไม่รุนแรง อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีคนถัดมา เปโดร ปาโบล คุชชึนสกี (Pedro Pablo Kuczynski) ได้ประกาศนิรโทษกรรมให้กับฟูจิโมริ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2017 ด้วยเหตุผลทางสุขภาพที่ทรุดโทรมของเขา การนิรโทษกรรมครั้งนี้ก่อให้เกิดการประท้วงจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย และสมาชิกพรรคการเมืองของคุชชึนสกีบางส่วนก็ได้ยื่นใบลาออก ขณะที่ฝ่ายค้านได้กล่าวหาว่าเป็นความร่วมมือกันระหว่างประธานาธิบดีคุชชึนสกีที่กำลังตกอยู่ภายใต้มติการถอดถอนจากรัฐสภา กับเคอิโกะ ฟูจิโมริ (Keiko Fujimori) ลูกสาวของฟูจิโมริ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้นำพรรค Popular Force ที่เสนอตัวว่าจะสนับสนุนคุชชึนสกีให้รอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจแลกกับการปล่อยตัวพ่อของเธอ

อย่างไรก็ตามในวันที่ 3 ตุลาคม 2018 ศาลสูงสุดของเปรูตัดสินให้การนิรโทษกรรมฟูจิโมรินั้นเป็นโมฆะ ส่งผลให้ฟูจิโมริต้องกลับเข้าคุกอีกครั้งในวันที่ 23 มกราคม 2019 แต่แล้วในวันที่ 17 มีนาคม 2022 ศาลรัฐธรรมนูญลงคะแนนเสียงด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 3 กลับคำตัดสินของศาลสูงสุด สั่งให้ปล่อยตัวฟูจิโมริ แม้ว่าในเวลาต่อมา The Inter-American Court of Human Rights จะออกคำสั่งในวันที่ 8 เมษายนปีเดียวกันห้ามรัฐบาลเปรูปล่อยตัวฟูจิโมริ แต่ก็ไม่เป็นผล ฟูจิโมริได้รับการปล่อยตัวอีกครั้งในวันที่ 6 ธันวาคม 2023 หลังจากใช้เวลาอยู่ในคุกถึง 16 ปี

ต้นปี 2024 ฟูจิโมริได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น เขาปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งสุดท้ายในระหว่างเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในวันที่ 4 กันยายน 2024 ก่อนที่เขาจะถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 11 กันยายนปีเดียวกัน ถือเป็นการปิดฉากชีวิตทางการเมืองที่มีสันมากที่สุดในโลกของคนเชื้อสายญี่ปุ่นในลาตินอเมริกา

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save