อาฟเตอร์ช็อกภาษีทรัมป์สะเทือนอาเซียน: ผู้นำแต่ละชาติรับมือเฉพาะหน้าอย่างไร?

2 เมษายน 2025 ที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นจุดพลิกผันใหญ่ของระบบการค้าโลก เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศให้วันดังกล่าวเป็น ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) โดยอ้างว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบด้านการค้าจากประเทศต่างๆ มายาวนาน จึงต้องมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเป็นการตอบโต้ โดยแต่ละประเทศนั้นถูกประกาศขึ้นภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน ไล่ตั้งแต่ 10% ไปจนสูงสุดที่ 50% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 9 เมษายน 2025

การประกาศดังกล่าวของทรัมป์สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก และหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ช็อกที่สุดก็คงหนีไม่พ้นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ล้วนมีสหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับต้นๆ โดยการเพิ่มอัตราภาษีที่ประกาศใช้กับประเทศในภูมิภาคแถบนี้มีตั้งแต่อัตราต่ำสุดที่ 10% จนถึงสูงสุดที่ 49% ทำให้ชาติอาเซียนล้วนเกิดความกังวลกันอย่างถ้วนหน้าถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาลที่กำลังจะตามมา และนำไปสู่ปฏิกริยาที่หลากหลายในหมู่ผู้นำชาติเหล่านี้

ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์นับตั้งแต่การประกาศขึ้นภาษีช็อกโลกของทรัมป์ วันโอวันชวนไปดูท่าทีของผู้นำชาติอาเซียนหกชาติ ได้แก่ ไทย เวียดนาม สิงคโปร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ว่าพวกเขาออกมาตอบสนองต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง และท่าทีของแต่ละชาตินั้นกำลังสะท้อนถึงอะไร

ภาพโดย Brendan SMIALOWSKI / AFP

ไทย – ไม่ต้องห่วง พร้อมเจรจา .. แต่อาจไม่ทันการณ์?

ในการปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าสู่สหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น สินค้าจากประเทศไทยถูกปรับขึ้นภาษีในอัตรา 37% (ขยับขึ้นจากประกาศแรกที่ 36%)

ภายหลังจากการประกาศดังกล่าวของฝั่งสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้วสองฉบับ ในวันที่ 3 และ 6 เมษายนที่ผ่านมา และยังมีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอีกในวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา

หากถอดใจความสำคัญจากแถลงการณ์ทั้งสองฉบับและการให้สัมภาษณ์แล้ว พบว่ามีสาระสำคัญคือการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าไม่ต้องเป็นห่วงต่อสถานการณ์ เนื่องจากรัฐบาลได้เตรียมมาตรการรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ การปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า การหาตลาดส่งออกใหม่ๆ แผนการต่อรองกับสหรัฐฯ และการตั้งทีมเจรจา ทั้งยังพยายามชี้ให้เห็นความหวังว่าประเทศไทยอาจใช้โอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ในการปรับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้กับบางอุตสาหกรรมได้

อีกประเด็นที่ตกอยู่ในความสนใจคือความพยายามของรัฐบาลไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ โดยหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่าแนวทางเรื่องนี้มีความสับสนคลุมเครือ โดยเฉพาะการที่นายกฯ ไม่สามารถระบุตัวผู้นำการเจรจาได้แน่ชัดในช่วงแรก ก่อนที่ในแถลงการณ์ฉบับที่สองจะมีการระบุชื่อเป็น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ ระยะเวลาในการดำเนินการส่งทีมเจรจาก็เป็นที่ตั้งข้อสงสัยเช่นกัน เพราะเนื้อความในแถลงการณ์ฉบับแรกทำให้เกิดความเข้าใจว่าต้องประเมินสถานการณ์และจัดเตรียมข้อมูลนานถึงสามเดือนเพื่อไปเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนที่ในเวลาต่อมา รองนายกฯ พิชัย ก็ได้ระบุว่าตนคาดว่าจะมีรายละเอียดพร้อมในการไปเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายในสองถึงสามสัปดาห์นี้ ทำให้เกิดความกังวลจากหลายภาคส่วนว่าการเดินหน้าของรัฐบาลอาจไม่ทันการณ์และอาจล่าช้ากว่าประเทศอื่นอยู่พอสมควร แม้นายกฯ จะย้ำหลายครั้งว่าได้มีการตั้งคณะทำงานรับมือนโยบายทรัมป์มานานตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2025 แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นคำชี้แจงอย่างชัดเจนว่าภายหลังจากเกิดช็อกใหม่ในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว การวางกรอบเวลาดำเนินงานของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้เป็นอย่างไร

เวียดนาม – เสือปืนไว ยกหูคุยตรงทรัมป์ ส่งทีมเจรจาทันที

เวียดนามโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเพิ่มสูงถึงร้อยละ 46 ทำให้นายกรัฐมนตรี ฝาม มิงชิ้งห์ (Pham Minh Chính) เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีแบบฉุกเฉินแทบจะทันทีในวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อหามาตรการรับมืออย่างเร่งด่วน

ในวันต่อมาประธานาธิบดีเวียดนาม โต เลิม (To Lam) ได้ต่อสายตรงพูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยโต เลิม ระบุว่าเวียดนามยินดีจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้เหลือร้อยละ 0 และขอให้สหรัฐฯ พิจารณาลดภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตราเดียวกัน และเวียดนามก็พร้อมที่จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ ในประเทศมากขึ้น ส่วนทางฝั่งประธานาธิบดีทรัมป์นั้นก็ได้กล่าวหลังจากนั้นว่าการพูดคุยกับประธานาธิบดีโต เลิมนั้นเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ทั้งสองฝั่งยังยินดีที่จะมีการพูดคุยเจรจาข้อตกลงทวิภาคีในเรื่องอัตราภาษีต่อไป และทรัมป์ยังตอบรับคำเชิญที่จะเยือนเวียดนามด้วย

และที่สำคัญรัฐบาลเวียดนามยังได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี โห่ ดึ๊ก เฟิ้ก (Ho Duc Phoc) เดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งคาดว่าจะมีการไปเจรจาในเรื่องอัตราภาษี โดยจะทำให้เวียดนามกลายเป็นชาติแรกๆ ที่ได้เดินทางไปพูดคุยกับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้

การตัดสินใจของรัฐบาลเวียดนามในการพุ่งเข้าเจรจากับสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วฉับไวนี้ทำให้มีนักวิเคราะห์มองว่ารัฐบาลเวียดนามอ่านเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่งและมีความเข้าใจใน ‘การเมืองเชิงแลกเปลี่ยน’ (transactional politics) ซึ่งคือการเมืองที่ต้องอาศัยการเจรจาต่อรองเป็นอย่างดีเป็นอย่างดี รวมทั้งยังสะท้อนว่ารัฐบาลเวียดนามเองก็อาจปฏิเสธหรือชักช้าที่จะไม่เร่งเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ในเรื่องนี้ได้ เพราะแนวทางการปรับปรุงเศรษฐกิจประเทศให้ทันสมัยที่รัฐบาลเวียดนามกำลังดำเนินอยู่นั้นมีหนึ่งในหัวใจสำคัญคือการดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหากเวียดนามเสียตรงนี้ไป การปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐก็จะเป๋ไปด้วย

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังมองว่าความเคลื่อนไหวของเวียดนามที่กำลังได้รับสัญญาณเชิงบวกจากสหรัฐฯ นี้กำลังส่งนัยที่สำคัญยิ่งต่อทุกประเทศทั่วโลก เพราะเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีการค้าเกินดุลต่อสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก ซึ่งหากเวียดนามสามารถแสดงความสำเร็จในการเจรจาให้ประชาคมโลกเห็นได้ ก็จะเป็นขวัญกำลังใจและเป็นแบบอย่างให้ชาติอื่นเดินรอยตาม

สิงคโปร์ – ยังคงสื่อสารวิกฤตอย่างตรงไปตรงมา

สิงคโปร์คือประเทศที่เผชิญการขึ้นภาษีจากประธานาธิบดีทรัมป์น้อยที่สุดในอาเซียน โดยโดนกำหนดที่อัตรา 10% แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลสิงคโปร์ก็ดูจะแสดงความตื่นตัวมากไม่แพ้ชาติอาเซียนอื่น โดยนายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ถึงขั้นต้องออกมากล่าวคำปราศรัยเป็นกรณีพิเศษผ่านช่อง Youtube ของตนเองในระยะเวลาห้านาที เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา

ในยามที่สิงคโปร์พบเจอวิกฤตใหญ่ ผู้นำประเทศมักออกมาสื่อสารกับประชาชนด้วยตัวเองผ่านทางหน้าจอ โดยครั้งล่าสุดคือช่วงวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 ที่อดีตนายกฯ ลี เซียนลุง (Lee Hsien Loong) ได้ออกมากล่าวปราศรัยต่อประชาชนผ่านทางโทรทัศน์อยู่เป็นระยะ และในวันนี้ที่นายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่องออกมากล่าวปราศรัยเป็นกรณีพิเศษต่อประชาชน จึงสะท้อนว่าตัวเขาและรัฐบาลสิงคโปร์มองมาตรการภาษีครั้งใหม่ของทรัมป์นี้ว่าเป็นปัญหาใหญ่อีกครั้งหนึ่งของประเทศ

ในการปราศรัยดังกล่าวของนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง มีใจความสำคัญคือ

  • สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระเบียบการค้าโลก การละทิ้งแนวทางเดิมของสหรัฐฯ ทำให้ยุคสมัยของโลกาภิวัตน์ การค้าเสรี และการค้าที่อิงบนหลักกฎเกณฑ์ กำลังสิ้นสุดลงไป เข้าสู่ยุคที่ระบบการค้าจะมีแปรเปลี่ยนไปตามอำเภอใจ มีการกีดกันการค้ามากขึ้น อันตราย และอาจใช้กำลังหรือใช้แนวทางข่มขู่กันมากขึ้น
  • มีแนวโน้มว่าหลายประเทศทั่วโลกจะดำเนินนโยบายตามสหรัฐฯ อาจมีการประกาศมาตรการตอบโต้กันไปมา ซึ่งจะทำให้ทั่วโลกจะต้องเผชิญความยากลำบากเหมือนกันหมด และหากย้อนเทียบกับในยุค 1930s ที่โลกเข้าสู่ยุคสงครามการค้าคล้ายกัน จะเห็นว่าในที่สุดนั่นนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
  • สิงคโปร์จะไม่ใช้มาตรการใดๆ ทางการค้าในการตอบโต้
  • สิงคโปร์กำลังจะต้องเผชิญผลกระทบอย่างมาก เพราะเทรนด์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้จะทำให้ชาติเล็กอย่างสิงคโปร์ต้องถูกบีบคั้นหรือทิ้งไว้ข้างหลัง และจะได้รับผลกระทบหนักหนากว่าชาติอื่น เพราะถือเป็นชาติที่พึ่งพาการค้าสูง
  • สิงคโปร์ต้องเตรียมพร้อมรับมือ ต้องเสริมสร้างศักยภาพ เพิ่มความเข้มแข็งของเครือข่ายพันธมิตรกับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่ โดยสิงคโปร์นั้นก็ถือว่ามีความพร้อมในการรับมือมากกว่าหลายๆ ประเทศเป็นทุนเดิม และถ้าคนสิงคโปร์ยังคงความแน่วแน่กล้าหาญ เป็นหนึ่งเดียว สิงคโปร์ก็จะสามารถยืนหยัดในโลกที่จะยากขึ้นนี้ได้

หากย้อนเทียบกับการแถลงของอดีตนายกฯ ลี เซียนลุง ตอนเกิดวิกฤตโควิด-19 เห็นได้ว่าการแถลงของนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่องครั้งนี้ยังคงสะท้อนท่าทีคล้ายกัน นั่นคือการเลือกสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าประเทศกำลังจะเผชิญปัญหาเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที แต่ขณะเดียวกันก็ชี้ให้ประชาชนเห็นว่ายังพอมีทางออก และยังสังเกตได้ว่ารูปแบบการสื่อสารของนายกฯ นั้นมาในบุคลิกที่ค่อนข้างเป็นกันเอง จึงช่วยลดโทนความตึงเครียดของเนื้อหาในการแถลงได้ดี

กัมพูชา – วอนขอเจรจา แต่อาจไม่ง่ายนัก

กัมพูชาคือประเทศที่โดนขึ้นอัตราภาษีจากสหรัฐฯ มากที่สุดในอาเซียน โดยอยู่ที่ร้อยละ 49 และนับได้ว่าเกือบจะสูงที่สุดในโลก ภายหลังการประกาศดังกล่าว นายกฯ กัมพูชา ฮุน มาเนต (Hun Manet) ก็ได้ส่งจดหมายตรงถึงประธานาธิบดีทรัมป์ในความยาวหนึ่งหน้ากระดาษในวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีใจความสำคัญคือ

  • ขอให้มีการเปิดการเจรจาโดยเร็วที่สุด
  • ขอให้พิจารณาเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่
  • กัมพูชายินดีลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเดิมอยู่ในระดับสูงสุดที่ 35% ให้เหลือ 5% โดยจะลดทันทีใน 19 รายการสินค้า
  • มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ติดต่อพูดคุยกับผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้
  • กัมพูชาให้คำมั่นที่จะดำเนินการเจรจาอย่างสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือในการค้าทวิภาคีระหว่างกันที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนทั้งสองประเทศ

ท่าทีของผู้นำกัมพูชาที่ดูโอนอ่อนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็น ท่ามกลางบรรยากาศที่กัมพูชากำลังถูกมองว่าเอนเอียงเข้าหาจีน และไม่ค่อยมีความสัมพันธ์อันดีต่อสหรัฐฯ เท่าไหร่นัก สืบเนื่องจากปัญหาความถดถอยทางประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ความพยายามของรัฐบาลกัมพูชาที่จะเจรจากับสหรัฐฯ อาจไม่ได้หวานหมูนัก

อินโดนีเซีย – ใช้วิกฤตขายนโยบายที่กำลังตกเป็นเป้าวิจารณ์

อินโดนีเซียเผชิญการขึ้นอัตราภาษีจากสหรัฐฯ ที่ 32% ทำให้ประธานาธิบดี ปราโบโซ ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) สั่งการให้คณะรัฐมนตรีเร่งปรับลดกฎระเบียบทางการค้า โดยเฉพาะการลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ขณะที่รัฐบาลนั้นก็กำลังประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และตั้งใจจะส่งทีมเจรจาไปยังสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด

ประธานาธิบดีปราโบโวยังได้เสนอสามแนวทางที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ได้แก่

  • การพยายามหาคู่ค้าเพิ่มเติม โดยอินโดนีเซียเพิ่งได้รับการตอบรับเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ซึ่งปราโบโวเชื่อว่า BRICS จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าให้อินโดนีเซียได้อย่างดี ขณะเดียวกันอินโดนีเซียก็กำลังพยายามผลักดันตัวเองเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) รวมทั้งยังมีการเจรจาข้อตกลงการค้าอยู่อีกหลายฉบับ รวมถึง ข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP)
  • การเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำโดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาอินโดนีเซียมักเน้นส่งออกทรัพยากรธรรมชาติให้ประเทศอื่นในรูปวัตถุดิบโดยตรง รัฐบาลจึงมีแนวคิดให้เร่งนำทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้มายกระดับผลิตเป็นสินค้าในประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากร ยกระดับขีดความสามารถในการส่งออก และลดการพึ่งพาเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยในการขับเคลื่อนนโยบายนี้จะอาศัยเงินทุนจากกองทุนดานันตารา (Danantara) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติใหม่ที่รัฐบาลเพิ่มเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
  • การยกระดับอำนาจในการซื้อและบริโภคของประชาชน โดยอาศัยการเดินหน้านโยบายที่จะช่วยยกสวัสดิการของประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการแจกอาหารกลางวันฟรีแก่เด็กกว่า 82 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลปราโบโวที่กำลังดำเนินอยู่ อีกทั้งยังมีแนวคิดดำเนินนโยบายสร้างสหกรณ์หมู่บ้าน ที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและสร้างงานนับหลายล้านตำแหน่งได้

สังเกตได้ว่าประธานาธิบดีปราโบโวอาศัยจังหวะนี้ในการโปรโมตและสร้างความชอบธรรมให้นโยบายของตนเอง เนื่องจากที่ผ่านมานโยบายเหล่านี้ได้ถูกตั้งคำถามจากสาธารณชนในวงกว้าง อย่างกองทุนดานันตาราที่มีหลายคนตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และนโยบายอาหารกลางวันฟรีที่แม้หลายคนจะเห็นด้วยในหลักการ แต่ก็เป็นที่กังวลว่าอาจนำไปสู่การใช้งบประมาณเกินตัวและอาจกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของประเทศอย่างรุนแรงได้

มาเลเซีย – อาเซียนต้องร่วมใจ

มาเลเซียได้ถูกกำหนดขึ้นอัตราภาษีจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 24% ซึ่งก็ทำให้นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ต้องจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษในวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาเพื่อประเมินผลกระทบและเร่งหาแนวทางรับมือ โดยนายกฯ อันวาร์บอกว่าจะมีการประกาศมาตรการเพื่อตอบสนองหลังจากนี้ แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการตอบโต้สหรัฐฯ นอกจากนี้อันวาร์ยังได้พยายามติดต่อพูดคุยกับบรรดาบุคคลต่างๆ ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์

ต้องอย่าลืมว่าสถานะของอันวาร์ในปัจจุบันไม่ใช่แค่เพียงผู้นำมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังสวมหมวกประธานอาเซียนในปีนี้ เพราะฉะนั้นภายหลังจากการประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อันวาร์จึงวาดลวดลายแสดงบทบาทการเป็นหัวโต๊ะอาเซียน ด้วยการยกหูโทรคุยกับผู้นำชาติต่างๆ ซึ่งอันวาร์ระบุว่ามีทั้งผู้นำอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและหาแนวทางที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกัน และในวันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายนนี้ก็กำลังจะมีการจัดประชุมรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อาเซียนนัดพิเศษ ซึ่งก็คาดว่าจะมีการพูดคุยหารือประเด็นนี้

อันวาร์ยังย้ำว่าแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องเดินหน้าและร่วมเผชิญหน้าความท้าทายใหม่นี้ไปด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ก็จะต้องพยายามให้เกิดการพูดคุยหาฉันทมติในเรื่องนี้โดยยึดหลักของการเจรจาทางการค้าที่เป็นธรรม

ท่าทีของอันวาร์นับว่าสอดคล้องกับข้อเสนอของนักวิชาการบางส่วนที่แนะให้ชาติอาเซียนต้องจับมือกันให้แน่นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง แถมยังอาจต้องพิจารณายกระดับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกันแบบเข้มข้นขึ้นไปอีกขั้น เพราะลำพังแต่ละชาติอาเซียนที่ล้วนเป็นชาติขนาดเล็กหรือกลางอาจไม่มีพลังไปงัดกับยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ได้มากเพียงพอ

นอกจากประเทศอาเซียนด้วยกันแล้ว อันวาร์ยังบอกด้วยว่าเขาจะพยายามติดต่อพูดคุยกับประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน เพื่อหารือแนวทางตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้อย่างสอดคล้องกัน

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save