“จะไม่ให้เราดูแลตัวเองได้เลยเหรอ” ผู้พิการกับกำแพงการจ้างงานที่ยังกีดกัน

ในชีวิตประจำวันเรามักไม่ค่อยเห็นผู้พิการทำงานอยู่ตามบริษัทห้างร้านต่างๆ ทั้งที่มีกฎหมายบังคับให้บริษัทใหญ่ต้องจ้างผู้พิการ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตัวเลขการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการมีเพียง 1.29 หมื่นคน[1] จากผู้พิการทั้งหมด 2.22 ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก

ในแง่หนึ่งผู้พิการเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาที่ต้องอาศัยความพร้อมของทั้งสถานศึกษาและครอบครัว จนถึงความเข้าใจจากคนรอบข้าง ผู้พิการส่วนใหญ่มีการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษา ส่วนคนที่ฝ่าฟันจนเรียนจบปริญญาตรีได้มีเพียงหยิบมือ

แน่นอนว่าการเรียนจบมหาวิทยาลัยของผู้พิการแลกมาด้วยความมุมานะมากกว่าคนทั่วไป แต่เมื่อพวกเขาต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน กำแพงใหญ่ตระหง่านเบื้องหน้าคือทัศนคติของนายจ้างที่มักมองข้ามความสามารถของผู้พิการ หรือหากจำเป็นต้องจ้างผู้พิการเพราะกฎหมายบังคับ นายจ้างจำนวนมากก็เลือกเสนอเงินในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งเป็นเงินเดือนที่น้อยกว่าลูกจ้างที่เรียนจบปริญญาตรีคนอื่นๆ

สภาพที่เป็นอยู่ย่อมบั่นทอนแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเองของผู้พิการที่หวังใช้ชีวิตอย่างปกติ มีรายได้จากการทำงานจนหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องใช้ชีวิต ‘น่าสงสาร’ อย่างที่สังคมมอง

ขณะเดียวกันกฎหมายเรื่องการจ้างงานผู้พิการที่หวังเป็นช่องทางผลักดันให้เข้าถึงการทำงานมากขึ้นกลับเปิดช่องให้นายจ้างเอาเปรียบผู้พิการได้ ปัจจุบันการรับผู้พิการเข้าทำงานถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาตรา 33[2] ว่า สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไปต้องรับผู้พิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100:1 คน แต่หากไม่จ้างผู้พิการต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแทน (จำนวนเงินยึดตามค่าแรงขั้นต่ำ)

แม้กฎหมายนี้จะมีเจตนาดี แต่ในความเป็นจริงมีนายจ้างจำนวนมากมองว่าการมีผู้พิการในที่ทำงานเป็น ‘ภาระ’ หลายแห่งจึงมีข้อเสนอให้คนที่ถือบัตรคนพิการว่าขอเอาชื่อไปขึ้นทะเบียนเพื่อไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน แล้วให้อยู่บ้าน ไม่ต้องไปทำงานจริง แต่จะจ่ายเงินรายเดือนเพียงหลักพัน โดยไม่สนว่าผู้พิการมีความสามารถหรือเรียนจบชั้นอะไร

วันโอวันจึงชวนสำรวจปัญหาการจ้างงานผู้พิการผ่านมุมมองของสามผู้พิการที่เป็นพนักงานบริษัท สื่อมวลชน และนักกฎหมาย ตั้งแต่การถูกปฏิเสธเข้าทำงานซ้ำๆ เพราะความพิการ การถูกมองข้ามความสามารถ การถูกลดทอนแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง จนถึงช่องโหว่ของกฎหมายที่ทำให้ผู้พิการได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าความสามารถและอยู่ในสภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง

“เรียนไปก็ไม่มีโอกาสอยู่ดี” ผู้พิการกับวังวนคำปฏิเสธจ้างงาน

ชมพูนุท บุษราคัม

“เราเคยไปสัมภาษณ์งาน ทางบริษัทสนใจจึงบอกว่าขอเอาเรซูเม่ไปพิจารณา สุดท้ายโทรกลับมาบอกว่าจะขอเอาชื่อเราไปขึ้นทะเบียนแล้วให้เงินเดือน 9,000 บาท แต่เราไม่ต้องไปทำงาน สำหรับผู้พิการที่ไม่มีโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษาอาจรับโอกาสนี้ไว้ แต่เราต้องการโอกาสในการทำงานที่เราอยากทำ แล้วเงิน 9,000 บาทมันน้อยมาก จะไม่ให้เราดูแลตัวเองได้เลยเหรอ เราจึงปฏิเสธ เพราะไม่ได้อยากอยู่บ้านเฉยๆ”

นั่นคือประสบการณ์เมื่อสิบปีที่แล้วของชมพูนุท บุษราคัม ในช่วงหางานหลังเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ชมพูนุทผ่านประสบการณ์หางานมาหลายแห่ง หลายครั้งเผชิญกับคำปฏิเสธเพราะเธอเป็นผู้พิการ

“บางบริษัทพอเราแจ้งว่าเรานั่งวีลแชร์เขาก็ปฏิเสธการรับเข้าทำงาน ขอโทษนะคะ ตึกเราไม่สะดวก’ ‘บริษัทเรายังไม่เคยมีผู้พิการ เราไม่รู้ว่าต้องดูแลอย่างไรเราก็รู้สึกแย่นะ เราไม่ได้ถูกปฏิเสธเพราะความสามารถไม่พอ แต่เป็นเพราะการออกแบบตึกไม่รองรับผู้พิการ”

ชมพูนุทเริ่มทำงานในฝ่ายบุคคล ต่อมาเธอเลือกย้ายการทำงานมาในสายการตลาดจึงต้องมาหางานทำอีกครั้ง เมื่อต้องกลับมาสู่วังวนการหางานทำเธอก็ต้องเผชิญคำปฏิเสธเพราะความพิการอีก

“พอเป็นตำแหน่งมาร์เก็ตติงที่ต้องออกหน้างาน ต้องไปเจอคน บางบริษัทก็ปฏิเสธเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์บริษัท หรือไม่ก็คิดแทนเราไปก่อนเลยว่าทําไม่ได้หรอก มันยากสําหรับเธอ เขาไม่ได้มานั่งคุยกับเราว่าที่จริงเราทำได้หรือเปล่า”

ราวสองปีที่แล้วชมพูนุทสมัครงานไปที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้ระบุในเรซูเม่ว่าเป็นผู้พิการ หลังจากผ่านการสัมภาษณ์ทางออนไลน์ซึ่งมีการเปิดกล้องพูดคุยกันทางบริษัทก็ตอบตกลงรับเธอเข้าทำงาน ขณะนั้นชมพูนุทอยู่ต่างจังหวัด เธอจึงต้องย้ายมากรุงเทพฯ เพื่อเตรียมทำงาน แต่เมื่อถึงวันนัดเซ็นสัญญาทำงานเธอกลับเจอเรื่องที่ไม่ได้คาดไว้มาก่อน

“พอไปเซ็นสัญญา คนที่บริษัทเขาเห็นเรานั่งวีลแชร์แล้วทำหน้าไม่โอเคกับเราเลย เขาบอกว่ายังไม่ต้องเซ็นสัญญา ให้ไปเปิดบัญชีธนาคารก่อน พอไปธนาคาร พนักงานธนาคารก็ทักว่า ‘ที่บริษัทรู้หรือยังเนี่ยว่าเป็นอย่างนี้’ วันนั้นเรารู้สึกแย่มาก เราผิดเหรอที่นั่งวีลแชร์ มีใครถามบ้างว่าเราทำงานได้หรือเปล่า แล้ววันต่อมาทางบริษัทก็โทรมาบอกว่า เขาไปคุยกันแล้วว่ายังไม่สะดวกรับเราเข้าทำงานนะ

“หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็ใส่ในเรซูเม่เลยว่าเป็นผู้พิการใช้วีลแชร์ แล้วพอสมัครงานก็มีคนติดต่อกลับมาน้อยมากๆ โอกาสติดต่อกลับแทบจะ 0.01% แต่ตัดปัญหาสุขภาพจิตให้ไม่ต้องเสียเวลาเจอคำพูดที่ไม่ดี ส่วนบริษัทที่ติดต่อมาก็คือเขาเปิดกว้างกับผู้พิการจริงๆ”

ส่วนบริษัทที่ชมพูนุทเคยทำงานที่ผ่านมาโดยมากเป็นบริษัทต่างชาติที่เปิดกว้างและไม่มองว่าความพิการเป็นอุปสรรค รวมถึงเจอเพื่อนร่วมงานที่เปิดใจ

“ที่ผ่านมาเราเจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารักมาก เข้าไปทํางานวันแรกก็ถามเลยว่าเขาต้องทําอย่างไรบ้าง เขาไม่เคยมีคนที่นั่งวีลแชร์มาทํางานด้วยเลย แต่เขายินดีที่จะเรียนรู้ไปกับเรา แล้วพอเขาใช้ชีวิตร่วมกับเราก็เริ่มเห็นว่าปัญหาทางเท้าเมืองไทยแย่มาก การออกแบบเมืองที่ไม่เอื้อทำให้คนพิการใช้ชีวิตยากจนเหมือนจะดูแลตัวเองไม่ได้หรือทำงานไม่ได้”

ปัญหาหนึ่งที่ชมพูนุทและผู้พิการจำนวนมากเจอจากการไปสมัครงานคือได้รับข้อเสนอว่าบริษัทจะนำชื่อไปใส่ในโควตาจ้างผู้พิการ เพื่อบริษัทจะได้รับสิทธิประโยชน์ โดยจะจ่ายเงินให้หลักพันแต่ไม่ต้องการให้ไปทำงานจริง

“มีคุณป้าคนหนึ่งเป็นเบาหวานจนเดินไม่ได้ แล้วมีบริษัทขอชื่อเขาไปใส่ในโควตาจ้างงานคนพิการแต่ไม่ให้เงินสักบาท สุดท้ายคุณป้าต้องมานั่งขอเงินตามทางเท้า ถูกปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

“สำหรับเราเอง พอเจอข้อเสนอแบบนี้ก็เคยมีแวบคิดนะว่าจะเรียนมายากทําไม เราเรียนจบปริญญาตรี อยากทำงานด้วยความสามารถและดูแลตัวเองได้ ไม่อยากเป็นภาระคนอื่น แต่ก็ถูกลดคุณค่าด้วยการเสนอว่าคุณเอาเงินไป 9,000 บาทพอนะ เป็นคนพิการจะเอาอะไรนักหนา

“สำหรับผู้พิการด้อยโอกาส เช่น ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ การได้เงินรูปแบบนี้ก็ช่วยเขาได้มาก แต่สำหรับคนที่เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและสามารถทำงานได้จริงอย่างเรา พอเจอข้อเสนอที่บอกจะให้เงินแล้วต้องอยู่บ้านเฉยๆ มันกลายเป็นวิธีคิดที่ทำให้ผู้พิการดูแย่ ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ‘เป็นคนพิการก็ไม่ต้องออกจากบ้านสิ’ หรือมองว่าคนพิการไม่สามารถดูแลตัวเองได้ มองว่าเราเป็นประชากรชั้นสองไป”

เธอมองว่าสภาพเช่นนี้บั่นทอนความพยายามเข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้นของผู้พิการ เพราะต่อให้เรียนสูงหรือสามารถทำงานได้เหมือนคนอื่นก็ยังถูกเสนอเงินเท่าค่าแรงขั้นต่ำให้

“เราห่วงเด็กพิการรุ่นหลัง สิ่งที่เป็นอยู่อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าไม่ต้องให้ลูกเรียนเยอะก็ได้ เรียนไปก็ไม่มีโอกาสอยู่ดี เราโชคดีที่ครอบครัวพยายามสนับสนุนให้ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ เราจึงมีโอกาสได้เรียน แต่มีหลายครอบครัวที่คิดว่าลูกตัวเองเป็นคนพิการที่ดูแลตัวเองไม่ได้จึงไม่ให้เรียน แต่ไม่ได้คิดว่าวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้วลูกจะอยู่อย่างไร แล้วก็จะเป็นปัญหาสังคมต่อไป” ชมพูนุทกล่าว

แค่ได้จ้าง แต่ไปไม่ถึงงานที่มีคุณค่า

นลัทพร ไกรฤกษ์

ในมุมมองของ นลัทพร ไกรฤกษ์ บรรณาธิการ ThisAble.me สื่อที่ทำงานสื่อสารประเด็นคนพิการ เธอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะผู้พิการว่า ด้วยสถานการณ์ที่มีผู้พิการเรียนจบมหาวิทยาลัยน้อย ทำให้ไม่มีการแนะนำอย่างเป็นระบบว่าควรไปสมัครงานที่ไหน หรืองานประเภทใดบ้างที่เหมาะกับผู้พิการ

“ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็ไม่มีใครเป็นคนพิการ มหาวิทยาลัยก็ไม่มีการแนะแนวว่าต้องไปสมัครงานอย่างไร​ สามารถสมัครงานในตําแหน่งเดียวกับคนทั่วไปได้ไหม เพราะบางคนเรียนสาขานี้มาแต่ตลาดการทำงานอาจไม่ได้ต้องการคนพิการเลยก็ได้

“การหางานของคนพิการมีความลักลั่น เราจะไม่แน่ใจว่าตำแหน่งที่ไม่ได้เขียนว่ารับคนพิการนั้นเราสามารถสมัครได้ไหม แล้วตอนที่เรียนจบปริญญาตรีเราก็คาดหวังเงินเดือน 15,000-18,000 บาท แต่เงินเดือนของตำแหน่งที่ระบุว่ารับคนพิการก็จะให้แค่ 7,000-9,000 บาท ส่วนมากเป็นพวกงานธุรการที่อาจคาดหวังวุฒิแค่ ม.6 งานที่มองหาคนพิการในวุฒิปริญญาตรีนั้นหายากมาก”

แม้นลัทพรจะไม่ได้ใช้เวลาหางานนานนักหลังเรียนจบ แต่สภาพที่เจอก็ชวนให้เธอตั้งคำถามว่าทำไมผู้พิการอย่างเธอสมควรได้เงินน้อยกว่าเพื่อนคนอื่นที่เรียนจบพร้อมกัน

“เราเคยเอาโปรไฟล์ไปฝากกับเว็บไซต์ขององค์กรหนึ่งที่เป็นตัวกลางจับคู่งานให้คนพิการกับนายจ้าง เราก็ระบุเงินเดือนตามเรตปริญญาตรีที่เรียนจบมา ปรากฏว่ามีคนโทรมาสอบถามต้องการจ้างงาน แต่พอคุยเรื่องเงินเดือนเขาบอกว่า ‘ถ้าเรียกเท่านี้ไม่มีใครจ้างหรอก’ คือเขาสามารถจ้างคนพิการได้ด้วยเงิน 9,000 บาท ทำไมจะต้องจ้างเรา 15,000 บาทล่ะ ตอนนั้นเราตั้งคำถามกับตัวเองนะว่าเราเรียนจบเหมือนกับเพื่อน แต่พอเป็นคนพิการจึงต้องได้เงินน้อยกว่าเหรอ ทั้งที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ด้วยซ้ำว่าทำงานได้ไหม” นลัทพรกล่าว

เธอเห็นด้วยว่ากฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมีขึ้นเพื่อผลักดันการจ้างงานผู้พิการ ซึ่งอาจเขียนขึ้นจากมุมมองว่าผู้พิการส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการศึกษา จึงระบุไว้เพียงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ แต่ปัจจุบันผู้พิการเข้าถึงการศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะการเรียนทางออนไลน์ แต่กฎหมายนี้ก็ยังไม่ถูกปรับให้คุ้มครองผู้พิการมากขึ้น

“ไม่ว่าเราจะเรียนจบปริญญาโทหรือปริญญาเอก แต่ด้วยกฎหมายนี้ก็ทำให้เรายังถูกเสนอเงินค่าแรงขั้นต่ำอยู่ เราเคยคุยกับอาจารย์ในโรงเรียนผู้พิการหลายแห่ง เขามีข้อค้นพบว่าเด็กรู้สึกไม่อยากเรียนแล้ว เพราะเรียนสูงจบมาทำงานก็ได้เงินเท่าคนจบ ม.3 โรงเรียนเผชิญปัญหามากว่าเด็กไม่เห็นความจำเป็นของการเรียน

“มันย้อนแย้งนะ กฎหมายการจ้างงานคนพิการควรทำให้คนพิการเข้าถึงการจ้างงานที่เหมาะสมและเป็นธรรมในเชิงรายได้”

นอกจากนี้คืออัตราส่วนลูกจ้าง 100 คนต่อผู้พิการ 1 คน นลัทพรมองว่าเป็นอัตราส่วนที่น้อยเกินไป แต่เพียงแค่หนึ่งคนนายจ้างก็เลือกที่จะจ่ายเงินเฉยๆ แล้วไม่ให้ผู้พิการไปทำงานแล้ว

“บางบริษัทเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้คนพิการไปทำงานอะไร เช่นไซต์ก่อสร้าง เขาก็เลือกที่จะจ่ายนิดหน่อย สักเดือนละ 3,000 บาท ขอชื่อคนพิการมาขึ้นทะเบียนแล้วให้นอนอยู่บ้าน แต่ภาครัฐก็จะบอกว่าตรวจไม่พบปัญหานี้

“หลายบริษัทเพียงแค่ต้องทําตามกฎหมาย จ้างคนพิการให้ครบโควตา แต่หน้างานจริงเขาไม่ได้ต้องการ ไม่รู้จะจ้างคนพิการไปทำอะไร บางคนก็ให้ไปนั่งเฉยๆ มันไม่ใช่งานที่มีคุณค่า ไม่ยั่งยืน ไม่ทำให้คนพิการมีความมั่นคงในชีวิตได้ แล้วถ้าวันหนึ่งบริษัทเลย์ออฟคนเหลือ 99 คน ผู้พิการก็ต้องถูกเลิกจ้างไปด้วยใช่ไหม”

นลัทพรยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่รุนแรงกว่าคือมาตรา 35[3] ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ที่เปิดช่องว่าถ้าไม่จ้างผู้พิการทำงานประจำก็สามารถ ‘ให้สัมปทาน’ หรือ ‘จ้างเหมาบริการ’ ได้ เช่นการจัดพื้นที่ขายลอตเตอรี่ในห้างให้ผู้พิการ

นลัทพรมองว่าเจตนาของมาตรา 35 ที่เปิดให้จ้างเหมาบริการนั้นเพื่อให้นายจ้างทดลองให้ผู้พิการทำงานโดยจ่ายค่าจ้างรายวัน หากเห็นว่าทำงานได้ดีก็สามารถจ้างประจำตามมาตรา 33 ได้ แต่ปัญหาคือคนที่ถูกจ้างเหมารายวันตามมาตรา 35 แล้วแทบไม่เคยได้ขยับเป็นลูกจ้างประจำเลย

“พอนายจ้างสามารถจ้างเหมารายวันคนพิการได้ก็ไม่ต้องมีสวัสดิการ ไม่ต้องจ่ายประกันสังคม ปัจจุบันจึงมีแนวโน้มการจ้างงานในมาตรา 35 มากขึ้น การจ้างงานลักษณะนี้ควรเป็นการจ้างทำของหรือจ้างฟรีแลนซ์ ไม่มีเวลาเข้าออกงาน แต่สถานการณ์จริงคือมีคนจ้างคนพิการตามมาตรา 35 เพื่อให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์ที่มีการกำหนดชั่วโมงทำงานและมีการหักเงินถ้าขอลาหยุด เราคิดว่าแบบนี้น่าจะผิดกฎหมาย เพราะลักษณะงานเป็นงานประจำ”

แม้ผู้พิการจำนวนมากจะถูกเอาเปรียบ แต่มีน้อยคนที่จะกล้าส่งเสียง “คนพิการรู้สึกว่ามีงานทำก็ดีแล้ว การรวมตัวเรียกร้องเป็นไปได้ยากมาก หลายคนทำงานแบบไม่มีสัญญาจ้างงานด้วยซ้ำ ปัญหาคือนายจ้างนิยมมาจ้างตามมาตรา 35 มากขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้” นลัทพรตั้งคำถาม

มาตรา 35’ เจตนาดีแต่เปิดช่องให้คนพิการถูกเอาเปรียบ

ปราโมทย์ ชื่นขำ

“พวกนักกฎหมายนี่แหละที่ให้คำแนะนำนายจ้างว่ามีช่องว่างกฎหมายให้จ้างเหมาตามมาตรา 35 ได้ นายจ้างก็ไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิการทำงานหรือสวัสดิการอะไร แค่กฎหมายบอกว่าต้องจ้างคนพิการ”

ปราโมทย์ ชื่นขำ ทนายความและผู้พิการทางสายตาสะท้อนสิ่งที่เขาพบในแวดวงกฎหมาย ปราโมทย์เคยทำงานฝ่ายกฎหมายที่สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยทำให้เขาพบว่าการจ้างงานตามมาตรา 35 เป็นปัญหาสำคัญของผู้พิการจนถึงปัจจุบัน

เขาอธิบายว่า ‘สัญญาจ้างเหมาบริการ’ เป็นปัญหาไม่ใช่เฉพาะกับผู้พิการเท่านั้น แต่เป็นปัญหาในงานบางประเภทด้วย เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย

“หัวสัญญาบอกว่าเป็นจ้างเหมาบริการ ซึ่งคือการจ้างทำของ แต่เนื้อหาคือสัญญาจ้างแรงงาน นายจ้างมีการใช้อํานาจบังคับบัญชาว่าคุณต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการทํางาน ปลายปีมีการประเมิน ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ต่อสัญญา โดยให้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือน บางแห่งให้เข้างานเป็นกะ บางบริษัทให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์เลิกงานสี่ทุ่ม ถ้าเป็นสัญญาจ้างงานปกติต้องมีโอทีและประกันสังคม การจ้างตามมาตรา 35 ทำให้นายจ้างไม่ต้องส่งเงินสมทบประกันสังคมและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง”

ปราโมทย์บอกว่าอีกปัญหาที่พบคือการได้รับเงินเดือนล่าช้า ซึ่งเป็นปัญหาเชิงการจัดการ เพราะเมื่อนายจ้างว่าจ้างผู้พิการแล้วต้องแจ้งกรมการจัดหางาน เพื่อจะไม่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนคนพิการ แต่ระหว่างนั้นต้องรอทางราชการยืนยันว่าไม่ได้ลงทะเบียนซ้ำ ช่วงเวลา 3-4 เดือนนั้นนายจ้างก็จะยังไม่จ่ายเงินเดือนให้ผู้พิการซึ่งสร้างความเดือดร้อนมาก เวลาเกิดปัญหาแบบนี้ผู้พิการก็ไม่กล้าฟ้องเพราะกลัวถูกเลิกสัญญา

“ชีวิตคนพิการลำบากอยู่แล้ว แค่ส่งเงินสมทบประกันสังคมหรือให้มีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพเพื่อให้เขามีเงินเก็บ ทำไมนายจ้างจึงไม่ทำ บางบริษัทโปรโมตด้วยนะว่าเรามีโครงการซีเอสอาร์ให้โอกาสคนพิการทำงาน แต่ถามว่าคุณภาพชีวิตการทำงานคนพิการเป็นอย่างไร

“การใช้สัญญาจ้างเหมาบริการแต่ไส้ในเป็นสัญญาจ้างแรงงานแบบนี้ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาฝีมือแรงงาน เขาจ้างคุณมารับโทรศัพท์ก็รับโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น ไม่มีการพัฒนา ในระยะยาวมันคือการจ้างงานอย่างไม่ยั่งยืน”

ปราโมทย์เห็นด้วยกับนลัทพรถึงเจตนาที่ดีของกฎหมายมาตรา 35 ที่อาจต้องการให้นายจ้างลองให้ผู้พิการทำงานก่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนรับเข้าทำงานประจำ หรืออีกเหตุผลหนึ่งคือมีกิจการบางประเภทที่ไม่เหมาะให้ผู้พิการทำงานจริงๆ เช่นงานในพื้นที่ปฏิบัติการของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงเปิดช่องเรื่องการให้สัมปทานพื้นที่ขายลอตเตอรี่หรือจ้างเหมาบริการ แต่สุดท้ายกฎหมายนี้กลับเป็นช่องโหว่ให้นายจ้างเอาเปรียบผู้พิการ

เขามองว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้คือต้องแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยเพิ่มเรื่องการคุ้มครองแรงงานคนพิการ แต่เห็นความเป็นไปได้น้อย เพราะนายจ้างย่อมไม่ยอมให้เกิดขึ้น

“อีกทางหนึ่งผมคิดว่าต้องไปแก้ที่มาตรา 35 (พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) ต้องระบุว่าการจ้างเหมาบริการห้ามยัดไส้การจ้างแรงงาน นอกจากนี้อาจเพิ่มเงื่อนไขว่าสามารถจ้างตามมาตรา 35 ได้ไม่เกินสามปี หลังจากนั้นต้องบรรจุเป็นพนักงาน เพราะช่วงเวลานั้นควรรู้แล้วว่าคนพิการคนนั้นทำงานได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็บอกเลิกสัญญาไป”

สภาพการจ้างงานที่ไม่ยั่งยืนเช่นนี้ส่งผลต่อแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเองของผู้พิการ “จะเรียนไปทําไมถ้าจบแล้วมีเส้นทางให้แค่เป็นหมอนวดหรือคนขายสลากกินแบ่ง แล้วบ้านเมืองเราสวัสดิการการศึกษาก็ยังเข้าถึงได้ไม่เต็มที่ คนพิการที่บ้านมีฐานะก็อาจส่งเรียนถึงปริญญาตรีได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเงินเรียน โดยเฉพาะถ้าเรียนจบปริญญาตรีแล้วไม่ได้ค่าตอบแทนที่สมควรกับวุฒิการศึกษา เขาจะเรียนเพื่ออะไรล่ะ”

ปราโมทย์ชวนคิดถึงภาพคนพิการที่ต้องร้องเพลงแลกเงินตามที่สาธารณะซึ่งจำนวนมากเป็นผู้ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อระบบการศึกษาไทยยังไม่ได้สนับสนุนผู้พิการอย่างเต็มที่ แม้จะมีนโยบายเรียนฟรีแต่ก็มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ครอบคลุม ยังไม่นับรวมถึงความยากลำบากในการเข้าถึงสื่อความรู้ต่างๆ เพื่อให้เรียนทันคนอื่น เช่นที่ปราโมทย์บอกว่าตอนที่เขาเรียนนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีผู้พิการเรียนรุ่นเดียวกันหกคน แต่มีเพียงเขาที่เรียนจนจบได้

ทัศนคติเปลี่ยนได้ถ้า กฎหมาย-โครงสร้างพื้นฐานเอื้อ

ส่วนความหวังถึงการแก้ไขกฎหมาย ในความเห็นของปราโมทย์เขายังเห็นว่าเป็นเรื่องยาก เพราะการแก้กฎหมายขึ้นอยู่กับดุลอำนาจระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่เป็นผู้พิการ หรือกระทั่งในหมู่ผู้พิการเอง คนจำนวนมากก็ไม่อยากเรียกร้องอะไรเพราะต่อให้ได้เงินเดือนน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำเลย

ด้านชมพูนุทมองเห็นว่า ทัศนคติของคนจำนวนมากในสังคมยังมองว่าผู้พิการคือคนไร้ความสามารถหรือคนน่าสงสารอยู่ ซึ่งสะท้อนมาถึงทัศนคติในการจ้างงานผู้พิการ

“อยากให้มองว่าความต่างที่คุณเห็นเป็นเพียงเรื่องกายภาพ สำหรับผู้พิการที่ได้รับการศึกษาก็อยากให้มองกันด้วยความสามารถมากกว่า นอกจากนี้เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของเมืองหรือประเทศควรแก้ไขให้เหมาะกับคนที่มีความแตกต่างกันด้วย บ้านเมืองเราสามารถโอบรับความหลากหลายและเท่าเทียมกันได้มากกว่านี้” ชมพูนุทกล่าว

ชมพูนุทยังฝากถึงผู้พิการที่กำลังเรียนหรือหางานทำอยู่ว่าไม่อยากให้หมดกำลังใจ ยังมีอาชีพอีกมากที่สามารถให้ค่าตอบแทนแก่ผู้พิการอย่างสมควรแก่ความสามารถได้ ไม่อยากให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบั่นทอนจิตใจ

“อย่าพยายามยัดเยียดตัวเองไปอยู่ในบริษัทที่เขาไม่ต้องการ ในวันหนึ่งเราจะเจองานที่เหมาะกับตัวเอง แต่ต้องอดใจรอ สักวันหนึ่งมันจะมีที่ที่เป็นของเรา” ชมพูนุทบอก

ส่วนนลัทพรแนะนำว่าในต่างประเทศแก้ไขปัญหาทัศนคติของนายจ้างด้วยการจัดอบรมให้ผู้พิการมีทักษะเพิ่ม เช่น ทักษะคอมพิวเตอร์ ชงชา ทำกาแฟ หรือกระทั่งมีนโยบายว่าภาครัฐเป็นคนจ้างผู้พิการให้ไปทำงานตามบริษัท เมื่อทางเอกชนเห็นแล้วว่าผู้พิการทำงานได้จริงก็มีโอกาสจ้างงานต่อเอง

“โดยพื้นฐานคนไทยมีน้ำใจ แต่พอเป็นเรื่องการจ้างงาน เจ้าของกิจการอาจไม่อยากเสี่ยง อยากจ้างคนที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุด คนพิการจึงไม่ถูกเลือก เราเข้าใจว่าทำไมคนไทยจำนวนมากมองว่าคนพิการไม่มีความสามารถ เพราะด้วยสภาพแวดล้อมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเราที่ไม่เอื้อให้คนพิการใช้ชีวิต จะออกจากบ้านก็ลำบาก จะใช้ขนส่งสาธารณะก็ไม่สะดวก ใครเห็นก็คิดว่าต้องช่วย ต้องยกวีลแชร์ให้ ก็ไม่แปลกที่คนจะคิดว่าคนพิการน่าสงสาร พ่วงด้วยความรู้สึกว่าเป็นภาระ

“ถ้าคนพิการสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ สามารถตัดสินใจเรื่องชีวิตตัวเองได้ วันนั้นทัศนคติเรื่องคนพิการของคนในสังคมคงเปลี่ยนไปและจะส่งผลต่อเรื่องการจ้างงานด้วย ถ้าคนเห็นว่าคนพิการไปเรียนเองได้ ออกไปไหนมาไหนได้ แล้วทําไมเขาจะทํางานไม่ได้ล่ะ

“เวลาคุณจ้างคนทั่วไปก็มีทั้งที่ทํางานได้และไม่ได้ ไม่อยากให้เหมารวมถ้าคุณจ้างคนพิการคนหนึ่งแล้วไม่ดี อยากให้คิดว่าเขาเป็นคนคนหนึ่งที่มีอัตลักษณ์ความพิการเพิ่มเข้ามา ไม่ได้ทําให้ความเป็นคนหรือความสามารถของเขาหายไป มันอาจมีบางเรื่องที่เราทำไม่ได้ อย่างการหยิบของบนชั้นที่สูงมากๆ แต่ทุกคนก็มีเรื่องอื่นที่ทำไม่ได้เหมือนกัน อยากให้เปิดใจ”

นลัทพรปิดท้ายว่าการจ้างงานผู้พิการสามารถจ้างตามช่องทางปกติเหมือนการจ้างผู้ไม่พิการได้ ถ้ามีผู้พิการมาสมัครแล้วมีคุณสมบัติตรงกับคนที่นายจ้างมองหา ไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทมีคนครบ 100 คนแล้วจึงจ้างผู้พิการเพราะกฎหมายบังคับ


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

References
1 เป็นการจ้างงานตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาตรา 33 จำนวน 10,837 คน และมาตรา 35 จำนวน 2,127 คน
2 มาตรา 33 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐรับคนพิการเข้าทํางานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกําหนดจํานวนที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทํางาน

โดยกฎกระทรวงแรงงานกำหนดให้เจ้าของสถานประกอบการหรือหน่วยงานรัฐที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป ต้องรับผู้พิการในอัตราส่วน 100:1

3 มาตรา 35 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทํางานตามมาตรา 33 หรือนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าทํางานตามมาตรา 33 และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34 หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้นอาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ หรือผู้ดูแลคนพิการก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกําหนดในระเบียบ

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save