ความล่มสลายของสถาบันรัฐประหาร (ตอนที่ 2): รัชสมัยแห่งการรัฐประหาร ความลงตัวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหวนคืน

ในบทความตอนแรก ผู้เขียนได้กล่าวว่าตลอดระยะเวลา 91 ปีหลังปฏิวัติ 2475 ประเทศไทยมีการรัฐประหารที่สำเร็จถึง 13 ครั้ง เฉลี่ย 7 ปี 1 ครั้ง จนการรัฐประหารกลายเป็น ‘สถาบันการเมือง’ อย่างไม่เป็นทางการที่มีผลปฏิบัติได้จริงมากกว่าสถาบันการเมืองทางการอื่นๆ

ทั้งนี้การรัฐประหารไทยมีขั้นตอนคล้ายกันดังต่อไปนี้

  1. สร้างความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล อ้างว่าระบบการเมืองปกติไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อ้างสถานการณ์ร่วมสมัย เช่น การคุกคามของคอมมิวนิสต์ กรณีสวรรคต การทุจริต ฯลฯ
  2. กองทัพเข้ายึดอำนาจ และปราบปรามผู้ต่อต้านจนสำเร็จ
  3. กษัตริย์หรือผู้แทนพระองค์ลงนามรับรองรัฐประหาร (ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม)
  4. องค์กรตุลาการตีความรับรองการรัฐประหารให้คณะรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” [1]

ถ้าหากว่ารัฐประหารสองครั้งแรกคือ 1 เมษายน 2476 เป็นการกระทำของกลุ่มปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475 และต่อมา 20 มิถุนายน 2476 เป็นการโต้กลับของผู้ก่อการปฏิวัติ 2475 ดังนั้น การรัฐประหารที่เหลือเกิดขึ้นในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 (2489-2559) ซึ่งกินระยะเวลา 70 ปี ประเทศไทยมีรัฐประหารถึง 11 ครั้ง หรือ 6 ปี 4 เดือน ต่อ 1 ครั้ง มากกว่าค่าเฉลี่ย กล่าวได้ว่าการรัฐประหารเป็นลักษณะเฉพาะของรัชสมัยนี้ 


พลวัตอำนาจนำรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9


เมื่อข้าพเจ้ามารับหน้าที่นี้ เมื่อสามสิบหกปีล่วงมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าอายุเพียงแค่สิบแปดปี ในเวลานั้นทุกอย่างดูทรุดโทรมไปหมด ในวังนี้ เก้าอี้และพรมก็ขาดเป็นรู พื้นแตกคร่ำคร่า วังทั้งวังก็แทบจะพังลงมา เวลานั้นสงครามโลกเพิ่งสิ้นสุดลง ไม่มีใครสนใจกับอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่” [2]

นับจากขึ้นครองราชย์ 9 มิถุนายน 2489 จนวันสิ้นสุดรัชสมัย 13 ตุลาคม 2559 ในตอนนั้นพระราชอำนาจนำได้ขึ้นสูงสุดมาแล้ว คนจำนวนไม่น้อยคงนึกไม่ถึงว่าจะมีจุดเริ่มต้นรัชสมัยที่ยาวนานที่ไม่สวยงามมากนัก นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตลอดการครองราชย์ 70 ปี มีพลวัตของทั้งการเมืองโลก การเมืองไทย รวมทั้งตัวในหลวงรัชกาลที่ 9 เปลี่ยนไปเพียงใด

ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนจะจัดแบ่งช่วงเวลาของรัชสมัยนี้ออกเป็นสามยุค โดยนำแนวคิด ‘อำนาจนำ’ ของอาสา คำภา มาประยุกต์ใช้[3] เพื่อชี้ให้เห็นว่าบริบทและปัจจัยใดบ้างที่ทำให้การรัฐประหารแต่ละครั้งสำเร็จหรือล้มเหลว แม้จะทำด้วยวิธีการแบบเดิมก็ตาม


ยุคแรก: หุ้นส่วนอำนาจฐานะรองกับขุนศึก (2489-2516)[4]


แม้การรัฐประหาร 2490 จะเป็นรัฐประหารครั้งที่ 3 แต่รัฐประหาร 2490 คือต้นแบบของการรัฐประหารในการเมืองไทย กล่าวคือ เป็นครั้งแรกที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วทดแทนด้วยฉบับใหม่ พร้อมด้วยการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีการยกเลิกสภาผู้แทนราษฎร และมีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติในรูปแบบต่างๆ แทน

การรัฐประหาร 2490 เป็นการสนธิกำลังระหว่าง ‘ขุนศึก’ อันประกอบด้วยนายทหารนอกราชการ นำโดยพล.ท.ผิน ชุณหะวัณ และทหารระดับกลางในกองทัพ เช่น พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลพลเรือน ขณะที่ฝ่าย ‘ศักดินา’[5]) นำโดยสองพี่น้องตระกูลปราโมช มรว. เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นักการเมืองและนักหนังสือพิมพ์ ‘เนติบริกร’ พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ อธิบดีศาลฎีกา พระยารักตประจิตธรรมจำรัส อดีตกรรมการศาลฎีกา พันเอก สุวรรณ์ เพ็ญจันทร์ เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก รวมทั้งนักการเมือง เช่น ร้อยเอกประเสริฐ สุดบรรทัด เลื่อน พงษ์โสภณ และเขมชาติ บุณยรัตพันธุ์[6] ได้ร่างรัฐธรรมนูญรอไว้ ซึ่งเรียกต่อมาว่า ‘รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม’ หรือรัฐธรรมนูญ 2490 นั่นเอง

ในห้วงเวลาดังกล่าว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สองท่านคือ 1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร เป็นประธาน 2. พระยามานวราชเสวี อย่างไรก็ดี มีเพียงกรมขุนชัยนาทฯ เท่านั้นที่ลงนามรับรองรัฐธรรมนูญคณะรัฐประหาร ขณะที่พระยามานวราชเสวีตั้งใจหลบหนีไม่ได้ลงนามรับรองด้วย

ในทาง ‘นิตินัย’ ปรีดี พนมยงค์ ชี้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่มเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนต่อข้อกําหนดในประกาศแต่งตั้ง ’คณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์’ ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2489[7] แต่ในทาง ‘พฤตินัย’ การรัฐประหารดังกล่าวสำเร็จแล้ว เนื่องจากฝ่ายกองทัพได้คุมอำนาจไว้เบ็ดเสร็จ[8] โดยให้ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ห้าวันหลังรัฐประหาร หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ซึ่งเป็นลูกเขยของหลวงกาจสงคราม เป็นตัวแทนคณะรัฐประหารไปรายงานให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พำนักอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อศึกษาต่อ พระองค์กล่าวตอบว่า “ฉันรู้สึกพอใจยิ่งนักที่ได้ทราบเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นมิได้เสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันเลย”[9] ต่อมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2490 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็มีพระราชหัตถเลขาต่อการรัฐประหารครั้งนี้[10]


กระดุมเม็ดแรกชื่อ ‘รัฐธรรมนูญ 2490’


ชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐธรรมนูญ 2490 คือ ‘รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490’ ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนตั้งใจจะเลียนแบบ รัฐธรรมนูญฉบับแรกคือ ‘พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475’ ด้วยหวังว่าจะนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็น ‘ฉบับถาวร’

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เริ่มต้นจากการกำหนดบทบาทของกษัตริย์เสียใหม่ เช่น เพิ่มอำนาจการเลือกวุฒิสภาให้กับพระมหากษัตริย์ ทั้งในมาตรา 6 “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา และทรงประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา” และมาตรา 33 “วุฒิสภา ประกอบด้วย สมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้ง มีจำนวนเท่าสมาชิกสภาผู้แทน” รวมทั้งวุฒิสภายังมีอำนาจอื่นๆ ในการตรวจสอบรัฐบาล เสนีย์ ปราโมชได้กล่าวว่า “วุฒิสภาของเรานี่เป็นสภาประวัติศาสตร์ ชื่อของสมาชิกแต่ละท่านฟังดูเหมือนกับจะอ่านออกมาจากหน้ากระดาษพงศาวดารไทย”[11] คำกล่าวนี้แสดงนัยยะถึงกลุ่มนิยมเจ้าอย่างชัดเจน

พอถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน จึงตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 100 คนให้มาทำหน้าที่ของรัฐสภาไปก่อน เพราะต้องรอการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะเลือกตั้งทั่วไป 29 มกราคม 2491

รัฐธรรมนูญ 2490 แก้ไขสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี และไม่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ลงเลือกตั้ง ครั้งต่อมาเป็นเรื่องการแก้ไขเพื่อจะจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ

เกษียร เตชะพีระ อธิบายความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังรัฐประหาร 2490 ว่า ชนชั้นนำจารีตซึ่งมีจิตใจ ‘กษัตริยนิยม’ พยายามสถาปนาระบอบที่เป็นราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญกษัตริยนิยม (A Royalist Constitutional Monarchy) ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ควบคุมโดยอภิสิทธิ์ชนที่เฉลียวฉลาดและเป็นคนดี พร้อมกันนั้น พวกเขาก็โจมตีระเบียบการเมืองแบบประชาธิปไตยของคณะราษฎร ว่าไม่ใช่ ‘การปฏิวัติประชาชน’ อันแท้จริง และยังโค่นร่มโพธิ์ร่มไทรแล้วอุตริปลูกต้นตำแยลงไปแทน[12]

คณะรัฐประหาร 2490 ปล่อยให้รัฐบาล ควง อภัยวงศ์ บริหารประเทศ จัดการเลือกตั้ง 29 มกราคม 2491 จนเห็นว่ามหาอำนาจรับรองรัฐบาลไทยแล้ว จึงทำรัฐประหารซ้ำ จี้ควงพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน

ถึงแม้จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญยังดำเนินต่อไปจนสำเร็จเป็นรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งถือว่าเป็น ‘ฉบับรอยัลลิสต์’ เป็นครั้งแรกที่ระบุว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (มาตรา 2) มีการเพิ่มพระราชอำนาจของกษัตริย์และลดอำนาจของกองทัพ ข้าราชการประจำไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้[13]

ขณะที่วุฒิสภาก็สามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้เช่นกัน ความขัดแย้งดังกล่าวนำมาสู่การรัฐประหาร 2494 หรือที่เรียกว่าการรัฐประหารเงียบ 29 พฤศจิกายน 2494 ในห้วงเวลาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 กำลังเดินทางกลับมาประทับในประเทศไทยเป็นการถาวร

พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 ที่ ‘คณะรัฐประหาร 2490’ ทำการรัฐประหารตัวเองว่า

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 เวลาค่ำรัฐมนตรีบางคนมาหา ขอให้ลงชื่อล้มรัฐธรรมนูญ [2492] ที่กำลังใช้อยู่ ถามเหตุก็บอกรวมๆ ว่ามันใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีทางปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้พอเพียง ได้ชี้แจงว่าเหตุมันไม่น่าจะอยู่ที่รัฐธรรมนูญกระมัง และถึงอย่างไรก็ขอให้ระลึกว่าอีก 3 วันเท่านั้น พระเจ้าอยู่หัวก็จะเสด็จกลับถึงพระนคร ไม่ควรจะด่วนทำอะไรลงไป ไว้ถวายให้ท่านส่งพระราชวินิจฉัยจะดีกว่า ทางรัฐบาลไม่ยอม แม้ตอนดึกนายกรัฐมนตรีจะได้มาเอง ก็ไม่ยอมรออยู่ดี พ่อก็ไม่ยอมลงชื่อ ครั้นวันรุ่งขึ้นก็มีประกาศทางราชการว่าคณะรัฐมนตรีชั่วคราวยึดอำนาจแทนพระเจ้าแผ่นดินได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้ว ก็สิ้นพูดกัน[14]

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะการเป็นรองในฐานะหุ้นส่วนทางอำนาจ แต่กว่าที่รัฐธรรมนูญ 2495 หรือเรียกอย่างเป็นทางการคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 จะประกาศใช้ ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 8 มีนาคม 2495 ภายหลังการต่อรองกันในรายละเอียดระหว่าง ขุนศึกกับศักดินา

กลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่สำคัญคือกลุ่มปรีดี พนมยงค์ นั้นหมดอำนาจลงหลังกบฎแมนฮัตตันในเดือนมิถุนายน 2494 ขณะที่กลุ่มรอยัลลิสต์ก็ถูกกำจัดโดยการรัฐประหารเงียบ แต่รัฐบาลจอมพล ป. ก็ยังต้องการ ‘ศัตรู’ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการถือครองอำนาจ ดังนั้นในครึ่งหลังของทศวรรษ 2490 รัฐบาลจึงสร้างภัยคุกคามใหม่ คือภัยคอมมิวนิสต์ที่มาพร้อมกับสงครามเย็น รวมทั้งบทบาทของสหรัฐอเมริกาในฐานะหัวขบวนของฝ่ายที่เรียกว่า ‘เสรีนิยมประชาธิปไตย’ ต่อกรกับค่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต รวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้รัฐบาลขุนศึกมี ‘ข้ออ้าง’ ในการควบรวมอำนาจมากขึ้น

ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 มีการจับกุมบุคคลต่างๆ ในกรณี ‘กบฏสันติภาพ’ เป็นจำนวนถึง 104 คน กรมตำรวจมีแถลงการณ์ในการจับกุมว่า

“ด้วยปรากฏจากการสอบสวนของกรมตำรวจว่า มีบุคคลคณะหนึ่งได้สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการยุยงให้มีการเกลียดชังกันในระหว่างคนไทย เพื่อก่อให้เกิดการแตกแยก เกิดการทำลายกันเอง โดยใช้อุบายต่าง ๆ เช่น ปลุกปั่นแบ่งชั้น เป็นชนชั้นนายทุนบ้าง ชนชั้นกรรมกรบ้าง ชักชวนให้เกลียดชังชาวต่างประเทศที่เป็นมิตรของประเทศบ้าง อันเป็นการที่อาจจะทำให้เสื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ยุยงให้ทหารที่รัฐบาลส่งออกไปรบในเกาหลี ตามพันธะที่รัฐบาลมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ ให้เสื่อมเสียวินัย เมื่อเกิดการปั่นป่วนในบ้านเมืองได้ระยะเวลาเหมาะสมแล้ว ก็จะใช้กำลังเข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบอื่น ซึ่งมิใช่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการชักจูงชาวต่างประเทศเข้าร่วมทำการยึดครองประเทศไทย…”[15]

หลังจากนั้นไม่นานก็มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ตามมา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ตลอดสงครามเย็น


ศักดินา พญาอินทรี พันธมิตรถาวรยุคสงครามเย็น


สหรัฐอเมริกามีบทบาทอย่างสูงในการเมืองไทยนับตั้งแต่สงครามเย็นเริ่มเกิดขึ้น พร้อมๆ กับท่าทีของรัฐบาลไทยเองที่ล่มหัวจมท้ายกับฝ่ายสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี ร่วมก่อตั้งซีโต (องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งทั้งหมดนั้นก็แลกมากับงบประมาณและอาวุธจำนวนมหาศาล ที่สหรัฐอเมริกาประเคนให้กับเหล่าขุนศึก

แต่สหรัฐอเมริกาก็ตระหนักดีว่า ลำพังแต่เพียงกองทัพไม่สามารถต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้ ในงานของณัฐพล ใจจริง ชี้ว่า สหรัฐอเมริกาวางแผนสร้างสถาบันกษัตริย์ให้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ขณะที่สถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะในหลวงรัชกาล ที่ 9 ก็ยินยอมพร้อมใจไปกับโครงการเช่นนี้ด้วย[16]

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ขณะที่บรรดาขุนศึกกลุ่มต่างๆ เป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพราะมุ่งหวังผลประโยชน์พร้อมกับการเล่นสองหน้าโดยติดต่อกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ไปด้วย แต่สถาบันกษัตริย์กลับชัดเจนคงเส้นคงวากว่าในการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์จนกระทั่งสงครามเย็นยุติลงในทศวรรษ 1990


ศักดินาโต้กลับ 


กลับมาที่การรัฐประหาร 2494 ซึ่งกลายเป็นบาดแผลในใจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังนั้นครึ่งหลังของทศวรรษ 2490 พระองค์ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูเกียรติยศ พระราชอำนาจ พระบารมีของสถาบันกษัตริย์ โดยเริ่มออกไปเสด็จเยือนชนบทตั้งแต่ พ.ศ. 2498 และใช้สื่อวิทยุในการประชาสัมพันธ์ต่างๆ[17] ซึ่งสอดคล้องกับแผนการสร้างสถาบันกษัตริย์เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ของอเมริกา

จนเมื่อความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มสี่เสาเทเวศร์ที่นำโดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับจอมพล ป. พิบูลสงครามและกลุ่มราชครูตึงเครียดมากขึ้น จบที่การรัฐประหาร 2500 โดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพวก

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า สฤษดิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ในพระบรมราชโองการตั้งผู้รักษาพระนคร ซึ่งเป็นการแต่งตั้งโดยตรง ไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วันที่ 17 กันยายน 2500 สฤษดิ์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาพระนครและมีอำนาจหน้าที่ในการออกคำสั่งได้ตามกฎหมาย เพราะเป็นพระบรมราชโองการ” นอกจากนี้ สฤษดิ์เก็บพระบรมราชโองการไว้ในตู้นิรภัยของตน และทำสำเนาเพื่อให้นักหนังสือพิมพ์ด้วย[18]

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นครั้งแรกภายหลังปฏิวัติสยาม 2475 ที่มีการออกพระบรมราชโองการโดยที่ไม่มีผู้รับสนอง และเป็นการเปิดฉากยุคใหม่ของการเมืองไทยที่แตกต่างไปจาก 25 ปีแรกหลังการปฏิวัติสยามโดยสิ้นเชิง[19]


“ภาพเหล่านี้จะเป็นประวัติศาสตร์ตราตรึงไปชั่วกาลนาน”[20]


รัฐประหาร 2500 เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น สฤษดิ์ทำรัฐประหารซ้ำในปี 2501 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2495 ยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ยุบพรรคการเมือง ประกาศกฎอัยการศึกเพื่อควบคุมประเทศไทย พร้อมๆ กับการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สฤษดิ์ยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนายน นอกจากนั้น ยังสนับสนุนให้มีการเดินทางรอบโลกของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน

รัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ควรจะเป็นรัฐบาลในฝันของสถาบันกษัตริย์ไทย ถ้าไม่เกิดกรณีอื้อฉาว หลังจากสฤษดิ์เสียชีวิตในเดือนธันวาคม 2506 ข่าวคอร์รัปชันและการแย่งชิงสมบัติของบรรดาอนุภรรยาของสฤษดิ์ จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ในเวลาต่อมา[21] ทำให้ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ถอยห่างออกจากสฤษดิ์

รัฐบาลชุดต่อมาภายใต้การนำของถนอม กิตติขจรและประภาส จารุเสถียร ก็อยู่ในอำนาจอย่างยาวนานร่วม 10 ปี และสืบทอดอำนาจเผด็จการทหารจากสฤษดิ์โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ ที่ใช้เวลาร่างนาน นับ 10 ปีภายหลังรัฐประหาร ก่อนจะประกาศใช้ในวันที่ 20 มิถุนายน 2511 


รัฐธรรมนูญ 2511 ความฝันอันแสนสั้นของศักดินาไทย


ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่สมเด็จพระบรมปิตุลาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ วันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 นั้น เป็นการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทรงใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งมาจากปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล
…….
ในการร่างรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาดูบทรัฐธรรมนูญที่มีมาแล้วในประเทศไทย กับทั้งบทรัฐธรรมนูญของนานาประเทศประกอบด้วย แต่ความมุ่งหมายโดยเฉพาะก็คือ จะบัญญัติบทรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศชาติ เพื่อให้ตั้งอยู่ในเสถียรภาพและความเจริญก้าวหน้าสืบไป

สภาร่างรัฐธรรมนูญลงมติกำหนดหลักสารสำคัญเป็นการทั่วไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้กำหนดหลักสารสำคัญในเรื่องอื่น ๆ อาทิ เรื่องรูปรัฐสภา และเรื่องสัมพันธภาพระหว่างรัฐสภากับคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ ให้รัฐสภามีสองสภา สภาหนึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้ง อีกสภาหนึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง รัฐสภามีอำนาจในทางนิติบัญญัติและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้ด้วยวิธีการตั้งกระทู้ถามรัฐบาล เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรือเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ[22]

หลังจากอยู่ในระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิ์มาร่วม 10 ปี แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญ 2511 และการเลือกตั้ง 10 กุมภาพันธ์ แต่นี่เป็นเพียงแค่หน้าฉากที่ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนจะศิวิไลซ์และปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามโลกเสรี ในรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง โดยมีจำนวนสามในสี่ของ สส. ข้าราชการดำรงตำแหน่งได้ มีวาระหกปี และมีอำนาจแทบจะไม่ต่างจาก สส. โดยตั้งใจให้วุฒิสภาเป็นเครื่องค้ำยันรัฐบาล ‘ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ นอกจากนี้ ยังกำหนดบทบาทของทหาร ที่ยังสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองและต่ออายุราชการไปเรื่อยๆ ได้

แต่กลายเป็นว่า รัฐบาลถนอมที่คุ้นเคยกับการใช้อำนาจเผด็จการ ต้องมาตอบคำถาม สส. ที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งการต่อรองต่างๆ จึงนำไปสู่การรัฐประหารตัวเองอีกครั้งในนาม ‘คณะปฏิวัติ’ เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2514 โดยให้เหตุผลว่า

ภัยที่คุกคามประเทศและราชบัลลังก์ สถานการณ์ภายใน ความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ การนัดหยุดงานของกรรมกร การเดินขบวนของนักศึกษา การแก้ไขสถานการณ์ถ้าจะดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญย่อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้การยึดอำนาจการปกครองเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉียบขาดและฉับพลัน[23]

สิ่งที่ถนอมทำในปี 2514 ก็ไม่ต่างจากที่สฤษดิ์ทำในปี 2501 แต่เนื่องจากบริบททางการเมืองต่างกันมาก ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในปี 2514 ไม่ใช่ในหลวงในรัชกาลที่ 9 ในปี 2501 อีกต่อไป การที่รัฐบาลคณะปฏิวัติคุมอำนาจเบ็ดเสร็จยาวนานกว่า 13 เดือนเป็น ‘รัฐทหารแบบสมบูรณาญาสิทธิ์’ ส่งผลให้มีแรงกดดันจากสถาบันกษัตริย์จนต้องปรับเปลี่ยนเป็น ‘รัฐบาลทหารตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว’[24] โดยการประกาศใช้ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515’ แต่การเติบโตของขบวนการนักศึกษาปัญญาชนก็กลายเป็นหัวหอกในการล้มรัฐบาลในอีก 10 เดือนต่อมาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรือที่เรียกกันว่า ‘วันมหาปิติ’[25]


ยุคที่สอง: หุ้นส่วนใหญ่ในอำนาจเหนือขุนศึก (2516-2534)[26]


เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 นอกจากขุนศึก เผด็จการทหารจะล้มลงแล้ว บทบาทของสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 มีบทบาทสูงเด่นจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา’[27] จากฐานะเป็นรองของหุ้นส่วนทางอำนาจกับขุนศึก สมการอำนาจเปลี่ยนไปในทางกลับกัน แต่ทั้งคู่ยังมีศัตรูร่วมกันคือคอมมิวนิสต์ ซึ่งในเวลานั้น ขบวนการนักศึกษาถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิสต์ ขณะที่รัฐบาลพลเรือนหลัง 14 ตุลา ก็ “อ่อนแอ” เกินไป การรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 จึงเกิดขึ้น[28]

บันทึกของบุญชนะ อัตถากร เล่าเบื้องหลังการรัฐประหาร 6 ตุลา ซึ่งแสดงถึงการเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในอำนาจเหนือขุนศึก ไว้อย่างน่าสนใจว่า

(ข้าพเจ้าได้คุยกับพลเรือเอกสงัด เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน) คุณสงัดเล่าให้ฟังว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 มีข่าวลืออยู่ทั่วไปว่า จะมีทหารคิดก่อการปฏิวัติ เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ฝ่ายซ้ายกำลังฮึกเหิมและรบกวนความสงบอยู่ทั่วไป จึงได้กราบบังคมทูลขึ้นไปยังในหลวงที่เชียงใหม่ซึ่งประทับอยู่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ในขณะนั้นว่า จะขอให้คุณสงัดซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (กับพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการฯ) กับพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นไปเฝ้า แต่ในหลวงโปรดเกล้าฯ ให้คุณสงัดเข้าเฝ้าคนเดียว ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าถ้าเข้าเฝ้าทั้ง 3 คนก็จะได้ช่วยกันฟังนำมาคิดและปฏิบัติโดยถือว่าเป็นพรสวรรค์

เมื่อคุณสงัดไปเฝ้าในหลวงที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์นั้นได้ไปโดยเครื่องบิน เข้าเฝ้าคนเดียวอยู่ราว 2 ชั่วโมงครึ่งในตอนบ่าย ไปวันนั้นและกลับในวันเดียวกัน คุณสงัดบอกว่าไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวงโดยลำพังมาก่อนเลย คราวนี้เป็นครั้งแรก ได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่าเป็นที่น่าวิตก ถ้าปล่อยไปบ้านเมืองอาจจะต้องตกอยู่ในสถานะอย่างเดียวกับลาวและเขมร จึงควรดำเนินการปฏิวัติ

คุณสงัดเล่าต่อไปว่า อยากจะได้พรจากพระโอษฐ์ให้ทางทหารดำเนินการได้ตามที่คิดไว้ แต่ในหลวงก็มิได้ทรงรับสั่งตรงๆ คงรับสั่งแต่ว่าให้คิดเอาเองว่าจะควรทำอย่างไรต่อไป

คุณสงัดเห็นว่า เมื่อไม่รับสั่งตรงๆ ก็คงดำเนินการไม่ได้ จึงกราบบังคมทูลว่า ถ้าทางทหารยึดอำนาจการปกครองได้แล้ว ก็มิได้ประสงค์จะมีอำนาจเป็นใหญ่ต่อไป จึงอยากจะให้ฝ่ายพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศ สมมุติว่าถ้ายึดได้แล้ว ใครจะควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนั้น เสร็จแล้วคุณสงัดก็ได้กราบบังคมทูลรายชื่อบุคคลที่น่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีทีละชื่อ เพื่อจะได้พระราชทานความเห็น

คุณสงัดเล่าว่า ได้กราบบังคมทูลชื่อไปประมาณ 15 ชื่อ รวมทั้งคุณประกอบ หุตะสิงห์ หลวงอรรถสิทธิสุนทร คุณประภาศน์ อวยชัย คุณเชาว์ ณ ศีลวันต์ด้วย  แต่ก็ไม่ทรงรับสั่งสนับสนุนผู้ใด

เมื่อไม่ได้ชื่อบุคคลที่น่าจะเป็นนายกได้และเวลาก็ล่วงไปมากแล้ว คุณสงัดก็เตรียมตัวจะกราบบังคมทูลลากลับ แต่ก่อนจะออกจากที่เฝ้า ในหลวงได้รับสั่งว่า จะทำอะไรลงไปก็ควรจะปรึกษานักกฎหมาย คือ คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสียด้วย คุณสงัดบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณธานินทร์มาก่อนเลย  พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้บอกพรรคพวกทางทหารให้ทราบแล้วเชิญคุณธานินทร์มาพบ[29]

แต่รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งเป็น ‘รัฐบาลพระราชทาน’ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็บริหารประเทศด้วยนโยบายขวาจัด ส่งผลให้ พคท. เติบโตจนมีกองกำลังและแนวร่วมเพิ่มขึ้นมาก สร้างความตึงเครียดแม้แต่พวกนิยมเจ้าจำนวนมาก จนนำมาสู่การรัฐประหารซ้ำในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 โดยคณะรัฐประหาร 2519 แต่ธานินทร์ก็ได้พระบารมีในหลวงรัชกาลที่ 9 รับไว้เป็นองคมนตรี และอยู่จนสิ้นรัชสมัย ในปี 2559[30]


สถาบันกษัตริย์กับการต้านรัฐประหาร


การรับรองการรัฐประหารให้กับขุนศึกคงไม่เพียงพอที่จะแสดงว่าศักดินาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ทางอำนาจเหนือขุนศึก เพราะสิ่งที่จะชี้ขาดก็คืออำนาจในการยับยั้งรัฐประหารต่างหาก 

ดังกรณีกบฏเมษาฮาวาย 1-3 เมษายน 2524 ของกลุ่มยังเติร์กหรือกลุ่มทหารจปร. 7 ที่ก่อนหน้านั้นมีส่วนทั้งการรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 การล้มรัฐบาลธานินทร์ ตั้งเกรียงศักดิ์ เอาเกรียงศักดิ์ลงจากอำนาจ และตั้งเปรมขึ้นมาแทน กลุ่มยังเติร์กพยายามรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกเปรม ถึงแม้จะมีกำลังพล 42 กองพันทั่วกรุงเทพฯ แต่รัฐประหารครั้งนี้ก็ล้มเหลว เนื่องจากสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เห็นด้วยและยืนเคียงข้างกับรัฐบาลเปรม โดยออกไปตั้งกองบัญชาการต้านรัฐประหารที่กองทัพภาคที่ 2 นครราชสีมา โดยมีพลตรีอาทิตย์ กำลังเอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นคนสนิทของเปรม เป็นผู้บัญชาการในการต่อต้านรัฐประหารจนสำเร็จ[31])

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้เขียนจดหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสถาบันกษัตริย์ในการต่อต้านรัฐประหารและประณามผู้ทำรัฐประหารไว้อย่างน่าสนใจว่า

ในการปฏิวัติแต่ละครั้งทุกฝ่ายมักอ้างความมั่นคงของประเทศ และพูดอย่างนี้มาเป็นเวลาสิบ ๆ ปีแล้ว ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านจงพิจารณาดูว่า เราก็มิได้แก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ได้หมดสิ้นอย่างที่อ้างว่าจะทำให้สำเร็จ

การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของชาติ มิใช่ของง่าย ทุกประเทศแม้ประเทศใหญ่ซึ่งมักมีนักวิชาการที่เก่งก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีจึงปรับปรุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มิใช่ใช้เวลาเพียงปีเดียวหรือสองปี ก่อนที่จะทำอะไรผู้ที่หวังดีต่อประเทศชาติควรทราบได้ด้วยปัญญาว่า ขณะนี้มิใช่เวลาที่คนเลือดเนื้อเดียวกันจะมาทะเลาะ แก่งแย่งชิงกัน ขณะนี้เป็นเวลาของความสามัคคีร่วมกัน ชาติบ้านเมืองให้พ้นจากการรุกรานของศัตรูภายนอก และร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า

ชีวิตของประเทศไม่ควรจะสั้นเพียงแค่ชีวิตของคนคนหนึ่ง คนเรานี้อยู่ 100 ปีก็ถือว่ามากแล้ว แต่ถ้าคิดถึงชีวิตของประเทศก็ต้องคิดให้ไกล ให้รอบคอบเราต้องเป็นห่วงคนรุ่นหลังด้วย ถ้าประเทศเรายืนยงคงอยู่ได้ เป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากินของลูกหลานต่อไป[32]

การต่อต้านรัฐประหารของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ในการยืนเคียงข้างรัฐบาลเปรมนำมาสู่ความล้มเหลวของการรัฐประหารของกลุ่มยังเติร์ก เป็นหลักหมายที่ชี้ว่า ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการรัฐประหารอยู่ที่การรับรองรัฐประหารเป็นสำคัญ


พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พร้อมด้วย พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ (ซ้าย) และ พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก (ขวา) ณ บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2524 ที่มา : นายพลของแผ่นดิน (2559), น. 192.


ถึงแม้รัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์ ‘นายกคนกลาง’ จะผ่านการรัฐประหารมาได้ถึง 2 ครั้งในปี 2524 และ 2528 จนเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ระบอบเปรมาธิปไตย’ ที่มีอายุยืนยาว 8 ปี 5 เดือน[33] แต่รัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มาจากการเลือกตั้ง กลับไม่มีอายุยืนยาวเหมือนรัฐบาลเปรม ยุคสมัยนี้จึงจบลงที่การรัฐประหาร (ครั้งสุดท้าย)ของบรรดาขุนศึก คือนายทหารจปร. 5 ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534

ความน่าสนใจคือ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรัฐประหารชุดนี้ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งโดยไม่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเหมือนดังเช่นที่สฤษดิ์เคยได้รับในปี 2500 และในการร่างรัฐธรรมนูญ 2534 ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ ฉบับหมกเม็ด” มีการแก้ไขสาระสำคัญในการสืบราชสันตติวงศ์ด้วย[34]


ยุคที่สาม: ไม่มีขุนศึก มีเพียงทหารพระราชา (2535-2559)[35])


การรัฐประหารเก้าครั้งในสองยุคแรกนั้นเป็นรัฐประหารในบรรยากาศสงครามเย็นคอมมิวนิสต์ยังเป็นภัยคุกคาม สหรัฐอเมริกายังถือว่าเสถียรภาพของรัฐบาลไทยเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดเหนือประชาธิปไตย

จะเห็นได้ว่าในยุคแรกนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นเพียง ‘องค์ประกอบ’ เพื่อให้รัฐประหารสำเร็จ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรีอไม่ก็ตาม ดังกรณีรัฐประหาร 2494 ซึ่งพระองค์มีปฏิกิริยาต่อต้าน แต่ด้วยอำนาจของ

บรรดาขุนศึกที่เหนือกว่า พระองค์จึงทำได้แต่เพียงต่อรองอำนาจ แต่กรณีสฤษดิ์รัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ในปี 2500 ความใกล้ชิดและเห็นชอบด้วยของพระองค์จึงแสดงออกผ่านคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร หรือหัวหน้าคณะรัฐประหาร

หลังเหตุการณ์ พฤษภาเลือด 2535 เมื่อทหารต้องกลับเข้ากรมกอง คอมมิวนิสต์ไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป บรรดานักการเมืองก็ใช้เวทีการเลือกตั้งในการเข้าสู่อำนาจแต่อยู่ใต้พระบารมีของสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้รับการเชิดชูจากบทบาทในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ที่เข้ามาเป็นผู้ระงับเหตุ และมีการให้โอวาทถ่ายทอดไปทั้งประเทศ[36]

หลังจากนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ได้ครองพระราชอำนาจนำ นี่ถือว่าเป็นการจบยุคสมัยที่หุ้นส่วนทางอำนาจระหว่างกองทัพและสถาบันกษัตริย์มีร่วมกันในสังคมการเมืองไทย ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคที่สาม ซึ่งบทบาทของ ‘ขุนศึก’ ได้เปลี่ยนมาเป็น ‘ทหารพระราชา’

ดัชนีที่วัดกันง่ายๆ คือไม่มีใครจำชื่อ ผบ.ทบ. หลังสุจินดา คราประยูร ‘ขุนศึกคนสุดท้าย’ ได้

ภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 และการทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่วางเป้าหมายสามอย่าง คือ การปิดทุจริต เปิดประสิทธิภาพ และสร้างการมีส่วนร่วมโดยประชาชน ทำให้ได้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่สร้างนายกรัฐมนตรีที่มีภาวะผู้นำ (strong prime minister) ผ่านการออกแบบรัฐธรรมนูญ เช่นระบบการเลือกตั้ง การอภิปรายไม่ไว้ใจ [37] และคนที่เห็นช่องทางดังกล่าว คือ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ผนวกกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่สร้างความตึงเครียดกับชนชั้นนำทางเศรษฐกิจเดิม ส่งผลให้ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยกลายเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนในเวลานั้นที่เข้ามาสู่การเมืองไทย[38]

พรรคไทยรักไทยเดินการเมืองสองขา คือการทำการเมืองเชิงนโยบายในการหาเสียง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ขณะเดียวกันก็กวาดต้อนนักการเมืองบ้านใหญ่ และกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น และกลุ่มทุนไทย ส่งผลต่อชัยชนะที่เรียกว่าถล่มทลาย คือได้ 248 เสียงจาก 500 เสียง และคะแนนระบบบัญชีรายชื่อกว่า 11 ล้านเสียงในการเลือกตั้ง 2544 และรัฐบาลประสบความสำเร็จในการส่งมอบนโยบายให้กับประชาชน จึงนำมาสู่คะแนนความนิยมอย่างล้นหลาม ผสมกับการเมืองแบบการควบรวมพรรค ทำให้การเลือกตั้ง 2548 พรรคไทยรักไทยชนะอย่างถล่มทลายอย่างแท้จริง ได้สส. 377 จาก 500 เสียง มีคะแนนจากระบบบัญชีรายชื่อเกือบ 19 ล้านเสียง แต่นั่นก็ได้สร้างอหังการแห่งอำนาจของนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน

การตั้งรัฐบาลพรรคเดียวภายหลังการเลือกตั้ง 2548 แทนที่จะสร้างเสถียรภาพ กลับสร้างความตึงเครียดทางการเมืองไทยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประกอบกับการอยู่ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ปัญหาการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยได้กลายมาเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำวิตกกังวลอย่างยิ่ง จึงได้นำมาสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เรียกว่าเป็นการรัฐประหารเพื่อป้องกันภัยคุกคามจาก ‘ระบอบทักษิณ’[39]

ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในประเทศไทย เนื่องจากเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ สภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีเนื่องจากถูกยุบไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และการเลือกตั้ง 2 เมษายนเป็นโมฆะ ขณะที่ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ออกมาขู่ระดมพลเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ขบวนรถถังภายใต้การบัญชาการของหัวหน้าคณะรัฐประหาร สนธิ บุญรัตกลิน ก็เคลื่อนออกมา

ถึงแม้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในเวลานั้นอยู่ ณ ที่ประชุมสหประชาชาติ คิดที่จะต่อสู้มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อ

ทักษิณได้เห็นการเข้าเฝ้าในหลวงและราชินีของคณะรัฐประหารในคืนวันที่ 19 กันยายนที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ทักษิณก็เปลี่ยนความคิดที่จะต่อต้าน เลือกเดินทางไปลี้ภัยที่อังกฤษ



องคมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ลาออกมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 รัฐบาลชุดนี้ประสบความล้มเหลวในแทบทุกด้าน จนได้รับสมญานามว่าเป็นรัฐบาลขิงแก่ แต่สิ่งที่รัฐบาลทิ้งไว้คือรัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายกลาโหมให้การแต่งตั้งทหารแทบเป็นอิสระจากรัฐบาล รวมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินจนนำมาสู่การยึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตรในที่สุด

ถึงแม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบในเดือนพฤษภาคม 2550 และกรรมการบริหาร 111 คนถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ภายใต้แผนบันได้ 4 ขั้นของหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยา แต่พรรคของทักษิณก็กลับมาชนะเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ได้ในนามพรรคพลังประชาชน จนสามารถตั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่รัฐบาลชุดดังกล่าวก็อยู่ได้จนถึงเดือนกันยายน 2551 เท่านั้น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ คนในตระกูลชินวัตรได้เป็นรัฐมนตรีคนที่ 29 และรัฐบาลสมชาย ก็ต้องหลุดจากอำนาจไปภายหลังจากมีการยุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 และตามมาด้วยการเปลี่ยนขั้วย้ายค่ายของ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” เพื่อไปเป็นฐานให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากค่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถบริหารประเทศได้เนื่องจากไม่มีความชอบธรรม และยิ่งหมดไปเมื่อรัฐบาลอนุมัติการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553

การเลือกตั้ง 2554 จึงเกิดขึ้น ในนามพรรคเพื่อไทยโดยมี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศลงเลือกตั้งเพียง 49 วัน แต่พรรคเพื่อไทยกลับได้คะแนนความนิยมถึง 15 ล้านเสียง และมี สส. ถึง 265 ที่นั่ง แต่ละรัฐบาลชุดดังกล่าวก็ถูกรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อันเนื่องมาจากหมดความชอบธรรมจากการผลักดัน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งสุดซอย

การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คือการรัฐประหารเพื่อ ‘แก้มือ’ การรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2549 มีการร่างรัฐธรรมนูญ ลงประชามติจอมปลอมในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 จนมาเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 และได้ใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง พร้อมๆ กับหมดยุคสมัยอันยาวนานของในหลวงรัชกาลที่ 9 


ความลงตัวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหวนคืนกลับมา


เกษียร เตชะพีระเรียกยุคสมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครองพระราชอำนาจนำว่า เป็น ฉันทมติภูมิพล (The Bhumibol consensus) อันมีองค์ประกอบคือ

1. ด้านเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบโตอย่างไม่สมดุล โดยถ่วงทานไว้ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2. ด้านการเมือง : ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. ด้านอุดมการณ์ : ราชาชาตินิยมหรืออุดมการณ์ชาติพันธุ์ไทยภายใต้พระราชอำนาจนำ
4. ด้านศาสนา : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก[40]

และสำคัญที่สุดคือสถาบันกษัตริย์ได้เป็นประหนึ่งอนุญาโตตุลาการสุดท้าย (final arbiter)[41] ที่มีบารมีมากพอที่จะตัดสินอะไรลงไปแล้วทำให้ทุกฝ่ายต้องยอมรับ (แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม)

ดังเหตุการณ์พฤษภา 2535 พระองค์เรียกคู่ขัดแย้ง สุจินดา คราประยูร และ จำลอง ศรีเมือง มาเข้าพบ และพระราชทานดำรัส “ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน” หลังจากนั้นการต่อสู้ก็ยุติลง เช่นเดียวกับการที่ทักษิณ ต้องยุติการต่อต้านรัฐประหารแทบจะทันที เมื่อเห็นภาพการเข้าเฝ้าในหลวงของหัวหน้าคณะรัฐประหาร ถึงแม้ว่าตนเองจะมีความชอบธรรมในการต่อต้านรัฐประหารก็ตามที

ดังที่แสดงมาทั้งหมดของบทความแล้วว่า การรัฐประหารที่ไม่ได้มีเพียงแต่ทหารขับรถถังออกมายึดอำนาจ แต่จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เช่นในยุคสงครามเย็นต้องอาศัยความกลัวคอมมิวนิสต์และการรับรองจากสหรัฐอเมริกา หรือบรรดา ‘ขุนศึก’ ที่มีอำนาจมากพอ ที่สำคัญต้องมี ‘กษัตริย์หรือผู้แทนพระองค์ลงนามรับรองรัฐประหาร (ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม)’ และผู้ที่รับรองรัฐประหารนั้นต้องมีฐานะเป็น ‘อนุญาโตตุลาการสุดท้าย (final arbiter)’ ด้วย

ในสังคมปัจจุบัน ผู้เขียนคิดว่าไม่มีใครมาทำหน้าที่เป็น ‘อนุญาโตตุลาการสุดท้าย’ (final arbiter) อีกต่อไป ทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า ถึงกาลล่มสลายของสถาบันรัฐประหารในประเทศไทยแล้ว

References
1 ธนาพล อิ๋วสกุล “ความล่มสลายของสถาบันรัฐประหาร (ตอนที่ 1): รัฐประหารในประเทศไทยและการทำให้รัฐประหารเป็นสถาบันทางการเมือง” 15 สิงหาคม 2566
2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สัมภาษณ์ National Geographic (1982) อ้างจากณัฐพล ใจจริง “คว่ำปฏิวัติ-โค่นคณะราษฎร : การก่อตัวของ“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”” ใน ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2556 หน้า 41
3 อาสา คำภา กว่าจะครองอำนาจนำ : การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวงภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530 กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2564
4 รัฐประหาร 6 ครั้ง (รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490, 6 เมษายน 2491 , 29 พฤศจิกายน 2494 , 16 กันยายน 2500 , 20 ตุลาคม 2501 , 17 พฤศจิกายน 2514
5 ‘ศักดินา’ ในบทความนี้ใช้ในดวามหมายเดียวกับ ‘พวกกษัตริย์นิยม’ ‘พวกนิยมเจ้า’ ‘รอยัลลสิต์’ ดังที่ใช้แพร่หลายในทศวรรษ 2490-2500 ดู ธงชัย วินิจจะกูล “หนังสือดี ประวัติศาสตร์ใหม่ และการเซ็นเซอร์” คำนำเสนอใน ณัฐพล ใจจริง ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี : การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 (ฟ้าเดียวกัน,2563
6 กล้า สมุทวณิช “รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม” จุดเริ่มต้นของ “วงจรอุบาทว์” รัฐประหาร ฉีกและเขียนรัฐธรรมนูญครั้งแรกของไทย” สถาบันปรีดีพนมพงค์ 14 พฤศจิกายน 2565 https://pridi.or.th/th/content/2022/11/1322
7 ปรีดี พนมยงค์ “ความเป็นโมฆะของรัฐธรรมนูญฉบับ 2490” https://pridi.or.th/th/content/2020/11/499
8 สมชาย ปรีชาศิลปกุล “หลักนิติรัฐประหาร” ใน ธนาพล อิ๋วสกุล (บรรณาธิการ) รัฐประหาร 19 กันยา : รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2550
9 ณัฐพล ใจจริง ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500  กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2563 หน้า 61
10 ว.ช.ประสังสิต ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจราจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย โรงพิมพ์บริษัทรัฐภักดี 2492 อ้างจาก สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แผนชิงชาติไทย : ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500) กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ 6 ตุลารำลึก , 2553 พิมพ์ครั้งที่ 3 หน้า103
11 แมลงหวี่ หน้า 85
12 กษิดิศ อนันทนาธร ระบอบพระมหากษัตริย์ที่มีประชาธิปไตยเป็นการปกครอง สำนักพิมพ์สยามปริทัศน์ 2567 หน้า23-4
13 ณัฐพล ใจจริง ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2556 และ กษิดิศ อนันทนาธร, 2567
14 พิทยลาภพฤฒิยากร, กรมหมื่น, 2517 อัตตชีวประวัติ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากร พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 15 ธันวาคม 2517
15 วิวัฒน์ คติธรรมนิตย์ กบฏสันติภาพ กรุงเทพฯ : คบไฟ, 2539.
16  ณัฐพล ใจจริง พระบารมีปกเกล้าฯ ใต้เงาอินทรี แผนสงคราม จิตวิทยาอเมริกัน กับการสร้างสถาบันกษัตริย์ให้เป็น “สัญลักษณ์” แห่งชาติ และ อัญชลี มณีโรจน์ แปล แผนยุทธศาสตร์ด้านจิตวิทยาของสหรัฐอเมริกาต่อชาวไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านจิตวิทยา ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 เมษายน- มิถุนายน 2554
17 ชนิดา ชิตบัณฑิตย์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2550
18 ทักษ์ เฉลิมเตียรณ การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์ และ ม.ร.ว.ประกายทอง สิริสุข กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526 หน้า 162
19 สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หน้า 340
20 หนังสือพิมพ์ไทสัปดาห์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 62 วันที่ 30 กันยายน 2500
21 ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เนื้อในระบอบถนอม : ความสืบเนื่องและเสื่อมถอยของเผด็จการทหาร พ.ศ. 2506-2516 กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2566.
22 คำปรารภ รัฐธรรมนูญ 2511 ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 85 ตอนพิเศษ 20 มิถุนายน 2511
23 ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ “ข้ออ้าง” การปฏิวัติ-รัฐประหาร : กบฏในการเมืองไทยปัจจุบัน บทวิเคราะห์และเอกสาร กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2550
24 ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ 2566 หน้า 413
25 วารสาร อ.ม.ธ. ฉบับพิเศษ 14 ตุลาคม “วันมหาปิติ” พระนคร : พิฆเณศ, 2516
26  รัฐประหาร 3 ครั้ง (6 ตุลาคม 2519, 20 ตุลาคม 2520, 23 กุมภาพันธ์ 2534
27 ธงชัย วินิจจะกูล “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” ใน ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง รวมบทความว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2556.
28 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “เราสู้ : เพลงพระราชนิพนธ์การเมือง กับการเมืองปี 2518-2519” ใน ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง : รวมบทความเกี่ยวกับกรณี 14 ตุลา และ 6 ตุลา กรุงเทพฯ : 6 ตุลารำลึก, 2544
29 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา” ในสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล 2544
30 กรณีรัฐประหาร 2520 โค่น ธานินทร์ กรัยวิเชียร ดูการอธิบายโดยละเอียดใน อาสา คำภา, 2564
31 ดู บัญชร ชวาลศิลป์ คณะทหารหนุ่ม ยังเติร์ก : อุดมการณ์ ความฝัน ความจริง (สำนักพิมพ์แสงดาว, 2567
32 ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เบื้องหลังวันวิกฤต จัดทำโดยสำนักพิมพ์ พี.จี. ในปี 2524
33 ธนาพล อิ๋วสกุล “30 ปี การสิ้นสุดของระบอบเปรมาธิปไตย (1) : ความเป็นมา อภิมหาเรื่องเล่า และนักการเมืองชื่อเปรม
34 ดู สมชาย ปรีชาศิลปกุล “เนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญฉบับหมกเม็ด” ฟ้าเดียวกัน กรกฎาคม-กันยายน 2556 และ “การสืบราชสมบัติภายใต้ระบอบประชาธิปไตย” ใน นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง : ข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ในองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญของไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2550 กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2561.
35 รัฐประหารสองครั้ง (19 กันยายน 2549, 22 พฤษภาคม 2557
36 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “Mass Monarchy” ใน ชัยธวัช ตุลาธน.บรรณาธิการ ย้ำยุค รุกสมัย: เฉลิมฉลอง 40 ปี 14 ตุลา มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย และ คณะกรรมการ 14 ตุลา เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์; 2556
37 รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ: บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), 2545
38 ธนาพล อิ๋วสกุล, ชัยธวัช ตุลาธน “เขาถูกบังคับให้เป็น “นัมเบอร์วัน” มองปัญหาว่าด้วยสถานะของนายกรัฐมนตรีในระบอบการเมืองไทยผ่านเส้นทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร” ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม -เมษายน 2557
39 ดูรายละเอียดใน เกษียร เตชะพีระ จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : วิกฤตประชาธิปไตยไทย กรุงเทพฯ : มูลนิธิ 14 ตุลา, 2550
40 เกษียร เตชะพีระ “ภูมิทัศน์ใหม่ทางการเมือง” มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 – 29 มิถุนายน 2560
41 เพิ่งอ้าง

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save