ภาคผนวกจากวังหลวง: ปริศนาราชานุญาตย้ายนาจิบกักตัวที่บ้าน กับสภาวะเขาควายของรัฐบาลอันวาร์

นับตั้งแต่สุลต่านอับดุลลาห์ อาหมัด ชาห์ (Sultan Abdullah Ahmad Shah) แห่งรัฐปาหัง ทรงเข้ารับตำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 จนทรงพ้นวาระเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 อิทธิพลทางการเมืองของสถาบันสุลต่านมาเลเซียเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และแม้เมื่อพระองค์จะทรงคืนสู่พระราชวังปาหังไปแล้ว แต่ก็ยังทรงทิ้งโจทย์ใหญ่ไว้ให้สถาบันอันทรงอำนาจในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารภายใต้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ระบบตุลาการ และสถาบันสุลต่านของพระองค์เอง

ในวันที่ 29 มกราคม 2567 หนึ่งวันก่อนทรงพ้นตำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่านอับดุลลาห์ทรงลงพระนามในพระราชกฤษฎีกาให้ลดโทษจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก (Najib Razak) จาก 12 ปี เป็น 6 ปี และลดค่าปรับจาก 210 ล้านริงกิตมาเลเซีย (ราว 44.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) เหลือ 50 ล้านริงกิตมาเลเซีย คณะกรรมการอภัยโทษที่มีพระองค์เป็นองค์ประธาน ออกประกาศเรื่องนี้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์โดยไม่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจ สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการคาดคะเนเรื่องนาจิบหวนคืนไปทั่วประเทศ

สมเด็จพระราชาธิบดีหรือ ‘อากุง’ (จากคำว่า Yang di-Pertuan Agong ในภาษามลายู) ทรงเป็นองค์ประธานของคณะกรรมการอภัยโทษ (pardon board) ซึ่งมีอัยการสูงสุดและนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสมาชิกด้วย

นาจิบเริ่มรับโทษจำคุก 12 ปี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ในคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกรณีอภิมหาทุจริตของกองทุนแห่งชาติ 1MDB (One Malaysia Development Berhad) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนภายใต้กระทรวงการคลัง เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันสองสมัยระหว่าง พ.ศ. 2552-2561 การสืบสวนของรัฐบาลมาเลเซียและสหรัฐฯ พบว่ามีเงินประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐถูกยักยอกไป ในจำนวนนั้นเงินกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐถูกผ่องถ่ายเข้าบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับเขา ถือเป็นมูลค่าการทุจริตที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซียและมากที่สุดในสถิติคดีที่ถูกสอบสวนโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในเวลานั้น

เมื่อได้รับการลดโทษเหลือหกปี บวกกับความเป็นไปได้ที่จะได้รับฑัณฑ์บนหลังรับโทษมาแล้วสองในสามของระยะเวลา นาจิบมีโอกาสได้รับเสรีภาพในวันที่ 23 สิงหาคมปีหน้า และมีเวลานานพอก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะต้องมีขึ้นภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2571

ข่าวลดโทษนาจิบสะเทือนรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ในเดือนเมษายน 2567 ทนายความของนาจิบยื่นเรื่องต่อศาลขอให้พิจารณาบังคับให้รัฐบาลยืนยันการมีอยู่ของเอกสารชิ้นหนึ่งซึ่งเขาอ้างว่าเป็น ‘ภาคผนวก‘ (addendum) หรือบันทึกแนบท้ายของพระราชกฤษฎีกาลดโทษที่อากุงอับดุลลาห์ทรงลงพระนามไว้ โดยยืนยันว่าเอกสารนี้เป็นพระราชานุญาตของพระองค์ ให้สิทธินาจิบในการย้ายจากเรือนจำ Kajang ในรัฐสลังงอร์ (Selangor) ไปรับการกักบริเวณ (house arrest) ที่บ้านพักในกัวลาลัมเปอร์แทน และกล่าวหารัฐบาลว่าวางเฉยต่อคำร้องขอให้พิสูจน์การมีอยู่ของเอกสารนี้มาโดยตลอด

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นาจิบจะดิ้นรนหาหนทางให้ตนพ้นคุกหรืออย่างน้อยได้รับโทษอย่างสุขสบายอยู่ที่บ้าน แต่ความปรารถนานี้ไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว เพราะการที่เขาได้รับแรงสนับสนุนจากนักการเมืองระดับหัวกะทิของพรรคอัมโน (UMNO: United Malays Nasional Organisation) อย่างพร้อมเพรียงกัน แสดงให้เห็นว่านาจิบ อดีตหัวหน้าพรรค เจ้าของฉายา ‘Bossku’ หรือ ‘บอสกู‘ ยังคงรั้งตำแหน่งบอสกูของพรรคไว้อย่างเหนียวแน่นแม้ติดอยู่ในเรือนจำ 

นักวิเคราะห์ในมาเลเซียบางรายเชื่อว่าการออกจากเรือนจำกลับบ้านของนาจิบแม้จะยังไม่พ้นโทษอย่างเต็มรูป จะกระตุ้นขวัญและกำลังใจให้นักการเมืองพรรคอัมโนหันกลับมารวมตัวกันอย่างแน่นหนามากขึ้นภายใต้ปีกของเขา

หลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2565 ในขณะที่นาจิบรับโทษอยู่ในเรือนจำ อัมโนตกลงจับมือกับศัตรูเก่าคืออันวาร์ ผู้นำอดีตแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านปากาตัน ฮาราปัน (Pakatan Harapan) จัดตั้ง ‘รัฐบาลสมานฉันท์’ (unity government) ตามพระดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ แม้อัมโนจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ผู้นำพรรคก็มีความกระตือรือร้นในการเรียกร้องอภัยโทษให้นาจิบอย่างไม่เกรงใจ โดยเฉพาะต่อมาเมื่ออัมโนเตรียมการชุมนุมสนับสนุนนาจิบร่วมกับพรรคพาส (PAS: Parti Islam Se-Malaysia) ในสังกัดแนวร่วมฝ่ายค้าน ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจว่าชะรอยอิทธิพลของบอสกูจะทำเอารัฐบาลไปได้ไม่รอด

การที่นาจิบจะกลับไปเปิดบ้านรับแขกได้ เขาจะต้องพิสูจน์ว่าภาคผนวกของอากุงมีอยู่จริง ซึ่งดูเหมือนว่าภาคผนวกนี้เป็นของร้อนที่คนในปรารถนาจะแตะต้องหรือยอมรับการมีอยู่ นำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายด้วยการยื่นเรื่องต่อศาล อย่างไรก็ตามในเดือนกรกฎาคม 2567 ศาลชั้นต้นตัดสินว่ารัฐบาลไม่มีพันธะผูกพันใดๆ ที่จะต้องยืนยันเอกสารว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และว่าคำให้การสนับสนุนเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้นำพรรคอัมโนสองรายเป็นแค่ “เรื่องที่ได้ยินมาอีกที” (heresay)

แต่ศาลชั้นต้นเป็นเพียงการอุ่นเครื่อง เพราะสนามที่แท้จริงของการต่อสู้มาราธอนนั้นเริ่มที่ศาลอุทธรณ์ ทนายความนาจิบไม่รอช้าเดินหน้าด้วยการยื่นอุทธรณ์อย่างทันท่วงทีและประสบผลสำเร็จดังหวัง เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น อนุญาตให้นาจิบใช้กระบวนการศาลขอให้รัฐบาลยืนยันและกระทำตามภาคผนวกแห่งพระราชกฤษฎีกาที่เขาอ้างว่ามีอยู่จริง

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นำรัฐบาลไปสู่จุดที่ต้องเปิดปากเรื่องนี้หลังจากเงียบกริบมานาน เริ่มจากหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเริ่มออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาของนาจิบ โดยไซฟูดดีน อิสมาอิล (Saifuddin Nasution Ismail) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแถลงต่อสื่อมวลชนว่าเขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากสำนักพระราชวังของสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ก่อนในเรื่องนี้เลย ซึ่งหากมีการติดต่อมา แน่นอนว่ากระทรวงของเขาและรัฐบาลจะต้องลงมือกระทำตามอย่างเต็มที่

ในเวลาไล่เลี่ยกัน จู่ๆ ก็มีภาพถ่ายจดหมายประทับตราสภาสุลต่านแห่งปาหังถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตให้ว่อนไปหมด จดหมายนี้มีลายเซ็นของอาหมัด คีรรีซาล ราห์มาน (Datuk Ahmad Khirrizal Rahman) เลขาธิการสำนักพระราชวังปาหัง เนื้อหาของจดหมายให้การยืนยันในนามของสุลต่านอับดุลลาห์แห่งปาหังว่าพระองค์ได้ทรงลงพระนามในคำสั่งให้นาจิบได้รับการกักตัวที่บ้านจริง สื่อมวลชนบางค่ายที่ตรวจสอบกับสำนักพระราชวังยืนยันว่าเป็นจดหมายฉบับจริง

ในสถานการณ์นี้ นายกฯ อันวาร์และรัฐบาลตกในภาวะ ‘ระหว่างเขาควาย’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้านหนึ่งหากไม่ยอมรับการมีอยู่ของเอกสารเจ้าปัญหาก็อาจถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระราชอำนาจขององค์ประมุขของประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งหากยอมรับและปล่อยนาจิบศัตรูตัวฉกาจออกจากที่คุมขัง ก็ย่อมถูกมวลชนผู้สนับสนุนประณามหยามเหยียดว่าไม่มีฝีมือที่จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้เรื่องการปราบคอร์รัปชันและนำตัวคนทุจริตมาลงโทษ และยังไม่นับความเสี่ยงที่ว่าการกลับมาของบอสกูอาจเขย่าบัลลังก์นายกฯ ไม่มากก็น้อย

หลังการพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อันวาร์ชี้แจงผ่านสำนักข่าวแห่งชาติเบอร์นามาเป็นครั้งแรก เขาบอกว่าเอกสารภาคผนวกของพระราชกฤษฎีกานี้ไม่ได้ถูกส่งถึงตัวเขาและสมาชิกคณะกรรมการอภัยโทษคนอื่นๆ แต่ถูกส่ง (จากสำนักพระราชวัง) ตรงไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดแต่เพียงแห่งเดียว หลังจากนั้นเมื่อมีสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ใหม่ (จากสุลต่านอับดุลลาห์แห่งปาหัง เป็นสุลต่านอิบราฮิมแห่งยะโฮร์) สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ส่งเอกสารกลับไปยังพระราชวังอีกครั้งหนึ่งในฐานะที่อากุงพระองค์ใหม่ทรงเป็นประธานของคณะกรรมการอภัยโทษ 

“ทางเราไม่ได้ปิดบังอะไรเลย” อันวาร์กล่าว 

คำอธิบายของอันวาร์อาจตีความได้อย่างงงๆ ว่า เอกสารภาคผนวกที่ว่านี้มีอยู่จริงแต่อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่งตัวเขาและรัฐบาลไม่ทราบว่ามีอยู่ คำอธิบายของเขายังทิ้งปริศนาไว้มากมาย เช่นเหตุใดสำนักพระราชวังจึงเลือกส่งเอกสารให้อัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว แล้วเมื่อเอกสารถูกส่งไปถึงอัยการสูงสุดแล้ว มันถูกเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่แจ้งต่อคณะกรรมการอภัยโทษ  แล้วส่งกลับถึงอากุงพระองค์ใหม่เลยหรือ และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลอันใด

เมื่อศาลอุทธรณ์เปิดไฟเขียว ทนายความฝ่ายนาจิบจึงย้อนกลับไปคำร้องต่อศาลชั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่การร้องขอให้รัฐบาลยืนยันการมีอยู่ของเอกสารภาคผนวกดังกล่าว แต่เป็นการขอคำสั่งศาลให้รัฐบาลดำเนินการตามที่เอกสารได้ระบุไว้ ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังรอให้ศาลชั้นต้นเริ่มกระบวนการพิจารณาอยู่

ทางฝ่ายรัฐบาลก็เริ่มเกมทางกฎหมายเช่นเดียวกัน ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดแถลงว่ารัฐบาลได้ยื่นต่อศาลฎีกาขอให้ทบทวนคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ โดยให้เหตุผลว่าคำตัดสินของคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สามคนนั้นไม่เป็นเอกฉันท์ สะท้อนถึงการตีความทางกฎหมายที่ต่างกันของผู้พิพากษา จึงจำเป็นต้องให้มีการชี้แจงเรื่องการตีความเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายรวมทั้งผลประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดยังร้องขอต่อศาลว่าไม่ให้มีการรายงานข่าวใดๆ (gag order) ในเรื่องนี้

แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกลงไป ข้อพิพาทเรื่องภาคผนวกไม่ได้แค่เกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างอันวาร์กับนาจิบและพรรคอัมโน แต่ยังเป็นการประลองกำลังระหว่างอำนาจบริหารของนักการเมืองกับพระราชอำนาจของสถาบันสุลต่านของประเทศอยู่กลายๆ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม 

ท่ามกลางความมึนงงของประชาชนจากความอ้ำอึ้งของนักการเมืองและความเงียบจากปาหัง ข้อเขียนของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ชาด ซาลีม ฟารุคกี (Shad Saleem Faruqi) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมลายา อาจช่วยไขข้อข้องใจได้ดีที่สุดในเวลานี้ เขาตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมของเอกสารภาคผนวกฉบับนี้ไว้ในบทความ Najib Razak’s ‘House Arrest’: Royal Addendum Raises Riveting Questions for Malaysia ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ fulcrum.sg เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568

เขายกมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญมาเลเซียขึ้นมาโต้แย้งในรายละเอียด เริ่มต้นที่มาตรา 42(8) ซึ่งเขาชี้ว่าบอกไว้ชัดเจนว่าในกรณีของการอภัยโทษ สมเด็จพระราชาธิบดีไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยพระองค์เองทั้งหมด แต่จะต้องดำเนินการโดยจัดให้มีคณะกรรมการอภัยโทษตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีพระองค์ทรงเป็นประธาน นอกจากนั้นภายใต้มาตรา 42(9) พระองค์จะต้องทรงวินิจฉัยจากความเห็นที่เป็นลายลักษณ์อักษรของอัยการสูงสุดอีกด้วย

และนี่อาจเป็นสาเหตุของการที่สำนักพระราชวังส่งเอกสารภาคผนวกถึงสู่สำนักงานอัยการสูงสุดโดยตรง โดยไม่ผ่านกรรมการอภัยโทษคนอื่นๆ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี

ศาสตราจารย์ท่านนี้ยังยกมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญมาอธิบายอย่างละเอียดยิบ ชี้ว่าหน้าที่คณะกรรมการอภัยโทษไม่ได้เป็นแค่ที่ปรึกษาของกษัตริย์เท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญชี้ไว้อย่างชัดเจนว่าคณะกรรมการนี้มีหน้าที่ “ถวายคำแนะนำ” อีกด้วย พูดง่ายๆ คือไม่ได้รอให้ทรงเรียกปรึกษาอย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่ในการพิจารณาและชี้แนะนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นในประเด็นเกี่ยวกับ ‘คำแนะนำ’ ตามมาตรา 40(1A) ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า เมื่อใดก็ตามที่คณะกรรมการอภัยโทษถวายคำแนะนำต่อองค์ประมุขแล้ว คำแนะนำนั้นๆ จะต้องมีผลผูกพัน โดยหลังจากทรงที่วินิฉัยแล้ว พระองค์จะต้องทรงยอมรับและปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว การใช้คำว่า “จะต้อง” (shall) ในมาตรานี้ย่อมหมายความว่ารัฐธรรมนูญระบุให้อากุงต้องทรงยอมรับคำแนะนำขอคณะกรรมการฯ นั่นเอง

ส่วนเรื่องที่ว่าสมเด็จพระราชาธิบดีทรงมีพระราชอำนาจในการเติมภาคผนวกด้วยพระองค์เองเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการพิจารณาหลังออกพระราชกฤษฎีกาตามคำแนะนำของคณะกรรมการฯ ไปแล้วได้หรือไม่ หรือควรจะเรียกประชุมคณะกรรมการใหม่เพื่อให้พิจารณาคำร้องเรื่องนี้ใหม่ อาจารย์ฟารุคกีบอกว่าให้ศาลตัดสินก็แล้วกัน เขาตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า รัฐธรรมนูญระบุขอบเขตการผ่อนผันและอภัยโทษของคณะกรรมการฯ ไว้ในลักษณะหนึ่งซึ่งไม่รวมถึงการกักบริเวณซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดังนั้นอากุงทรงมีพระราชอำนาจตามกฎหมายสามารถเพิ่มเติมลักษณะการผ่อนผันโทษตามกฎหมายด้วยพระองค์เองหรือไม่

อาจารย์ฟารุคกีสรุปว่า เวลานี้ข้อโต้แย้งที่ใหญ่ที่สุดคืออำนาจในการอภัยโทษของกษัตริย์นั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำของคณะกรรมการอภัยโทษหรือขึ้นกับดุลยพินิจของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เขาย้อนกลับไปถึงกรณีในประวัติศาสตร์แล้วชี้ว่าก่อนปี 2536 ซึ่งเป็นปีที่พระมหากษัตริย์ของมาเลเซียสูญเสียภูมิคุ้มกันทางกฎหมาย ศาลได้ตัดสินให้อำนาจในการอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจในดุลพินิจโดยสิ้นเชิง และได้มีการใช้ในการอภัยโทษอย่างน้อย 10 กรณี   

แต่พระราชอำนาจนี้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่มีการแก้รัฐธรรมนูญ ในปี 2536 และ 2537 นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีกำหนดให้อำนาจในการพระราชทานอภัยโทษอยู่ภายใต้มาตรา 40(1A) ซึ่งกษัตริย์จะต้องใช้ตามคำแนะนำของคณะกรรมการอภัยโทษ รวมทั้งกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการตัดสิทธิ์ขององค์ประมุขจากการเป็นประธานคณะกรรมการอภัยโทษในกรณีที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน  อาจารณ์ฟารุคกีชี้ว่าการตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้แสดงว่าตุลาการบางรายยังมีมุมมองเรื่องพระราชอำนาจในแบบเก่า ก่อน พ.ศ. 2536 อยู่

อาจกล่าวได้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2536 เป็นจุดดุลยภาพทางอำนาจระหว่างสถาบันพรรคการเมืองและสถาบันสุลต่าน ซึ่งมาจากฝีมือของนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) ผู้นั่งบัลลังก์หัวหน้าพรรคอัมโนยุคเรืองอำนาจในเวลานั้น ก่อนหน้านั้นรัฐธรรมนูญมาเลเซียกำหนดให้สุลต่านทั้งเก้ารัฐทรงได้รับสิทธิ์ไม่ถูกพิจารณาคดีในศาลอาญาในกรณีที่ทรงฝ่าฝืนกฎหมาย (royal immunity) แต่ใน พ.ศ. 2536 ได้มีการยกมือผ่านกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิกสิทธิดังกล่าว โดยให้มีศาลพิเศษ (Special Court) เพื่อพิจารณาคดีขององค์ประมุขแห่งรัฐขึ้น สุลต่านพระองค์แรกที่ทรงเข้ารับการพิจารณาคดีในศาลพิเศษนี้คือสุลต่านแห่งรัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน (Negeri Sembilan) โดยศาลตัดสินให้พระองค์ทรงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐเพื่อใช้หนี้ธนาคารแห่งหนึ่ง

ศึกครั้งนี้อาจเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายในการหวนคืนเวทีของนาจิบ ราซัก วัย 71 ปี แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้ว่าในอนาคตเขาอาจชนะกรณีภาคผนวกจากปาหัง แต่เขายังต้องเว้นวรรคทางการเมืองอีกห้าปีหลังสิ้นสุดการลงโทษ ทางรอดอย่างเดียวคือการได้รับพระราชทานอภัยโทษเต็มรูปจากสุลต่านอิสกานดาร์ (Sultan Ibrahim Sultan Iskandar) แห่งรัฐยะโฮร์ สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะทรงมีความสัมพันธ์อันราบรื่นกับนายกฯ อันวาร์มาตั้งแต่ต้น

สำหรับนายกฯ อันวาร์ผู้ซึ่งกำลังเหงื่อตกกับหลายปัญหา จำเป็นต้องดำเนินการอย่างละเอียดอ่อนให้พ้นจากสภาวะเขาควายที่เขาติดอยู่เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนพระราชหฤทัยของสุลต่านพระองค์ใด

และแล้วสถาบันตุลาการและศาลสถิตยุติธรรมก็กลายเป็นเวทีการเมืองที่ดุเดือดอีกครั้งหนึ่ง   


เอกสารประกอบ

https://www.aljazeera.com/news/2025/1/6/malaysia-court-grants-jailed-ex-pm-najib-access-to-house-arrest-decree

https://www.malaysiakini.com/news/733835#google_vignette

https://www.thestar.com.my/news/nation/2025/01/06/letter-goes-viral-confirming-existence-of-039royal-addendum039-for-najib039s-pardon

https://fulcrum.sg/najib-razaks-house-arrest-royal-addendum-raises-riveting-questions-for-malaysia/

https://www.malaysianbar.org.my/article/news/legal-and-general-news/general-news/mahathir-vs-the-malay-rulers

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save