โค้งสุดท้าย อบจ. 68 : มองให้ไกลกว่าเกมการเมืองระดับชาติ ทลายข้อจำกัดอำนาจรัฐรวมศูนย์

เลือกตั้ง อบจ.

สร้างถนน สร้างสนามกีฬา รักษาความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมการท่องเที่ยว สนับสนุนการศึกษา ดูแลด้านจัดการขยะ ฯลฯ เหล่านี้คือภารกิจเพื่อประชาชนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 

1 กุมภาพันธ์ 2568 คือวันที่ประชาชน 76 จังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพฯ) จะได้เข้าคูหาเพื่อเลือกสมาชิกสภา อบจ. โดยมีเพียง 47 จังหวัดที่จะได้เลือกนายก อบจ. ในวันเดียวกันด้วย บรรดาพรรคการเมืองและบ้านใหญ่ต่างส่งผู้สมัครลงแข่งขันช่วงชิงคะแนนเสียงจากสนามท้องถิ่นกันอย่างดุเดือด ซึ่งหลายฝ่ายจับตาไปที่การแข่งขันกันระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย โดยมองการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการ ‘วัดพลังเสียง’ ของแต่ละพรรคในพื้นที่

จริงอยู่ที่การเลือกตั้งท้องถิ่นอาจกำหนดฐานเสียงการเลือกตั้งใหญ่ จริงอยู่ที่การเมืองท้องถิ่นมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการเมืองระดับประเทศ แต่ประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจอาจไม่ถูกพูดถึงมากเท่าที่ควร ขณะเดียวกัน คำถามที่สำคัญกว่าเรื่องใครจะเป็นผู้ชนะ คือคำถามที่ว่าโจทย์ใหญ่ของแต่ละพื้นที่คืออะไร การเมืองท้องถิ่นตอบโจทย์คนได้แค่ไหน และอะไรคือสิ่งที่ประชาชนต้องการ

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง วันโอวันชวน 4 นักวิชาการ จาก 4 พื้นที่ทั่วไทย มาร่วมพูดคุยถึงโจทย์ใหญ่และพลวัตของการเลือกตั้ง อบจ. ในครั้งนี้ ประกอบด้วย รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, รศ.ดร.อลงกรณ์ อรรคแสง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 Policy Forum – จับตาเลือกตั้ง อบจ. 68 มุมมองจากพื้นที่ ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568

YouTube video

‘กระจายอำนาจ’ ไม่ได้มีแบบเดียว: อลงกรณ์ อรรคแสง

ต้องบอกว่าโจทย์ของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนมีความแตกต่างกัน เพราะเมื่อการเลือกตั้งระดับชาติครั้งที่แล้วพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยม ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องปรับตัว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรคเพื่อไทยจึงใช้การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้เป็นเครื่องมือให้ชนะการเลือกตั้งระดับชาติ อย่างทักษิณก็จะหาเสียงโดยการพูดถึงนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน

ผมมองว่าเพื่อไทยพยายามทำให้ อบจ. เป็นอาณานิคมภายในของพรรคการเมือง และเสนอนโยบายกว้างๆ ภายใต้กรอบอำนาจ ในขณะที่พรรคประชาชนเน้นใช้สื่อโซเชียลมีเดีย แกนนำพรรคเดินสายหาเสียงทั่วประเทศ และพยายามปลดล็อกสิ่งต่างๆ ที่เป็นมายาคติว่า อบจ. ทำไม่ได้ เพื่อให้การกระจายอำนาจเป็นรูปธรรมได้จริงผ่าน อบจ. เช่น พยายามให้นายก อบจ. เข้าไปอยู่ใน กมธ. ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ 

เวลาพูดถึงการกระจายอำนาจหรือการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องอย่ามองท้องถิ่นแยกต่างหาก แต่ให้มองว่า อบจ. มาจากการเลือกตั้งก็จริง แต่อยู่ภายใต้ระบอบที่มีการรวมศูนย์อำนาจมหาศาลท่ามกลางการบริหารราชการส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ หลังปี 2545 ยังมีกฎหมายที่ให้กระทรวง ทบวง กรม ขยายอำนาจได้สะดวกสบาย โดยตั้งสำนักงานหรือหน่วยงานใหม่ผ่านการออกกฎกระทรวง 

ปัจจุบันปัญหาที่ข้ามเขตการปกครอง อย่าง PM 2.5 หรือน้ำท่วมภาคเหนือ ต้องการการบูรณาการจากหลายหน่วยงาน แต่บ้านเรารวมศูนย์อำนาจแบบแตกกระจาย คือราชการส่วนกลางต่างขยายแขนขาผ่านกฎหมายดังกล่าว บทบาทของท้องถิ่นจึงถูกจำกัด ผู้ว่าฯ เองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งภายใต้ข้อจำกัดนี้ สภา อบจ. สำคัญเพราะมีอำนาจในการตรวจสอบราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนกลางในพื้นที่ แต่กลับไม่ใช้อำนาจนี้ ซึ่งหากใช้ได้จะมีประโยชน์มาก และอีกประเด็นหนึ่งคือแม้จะมีสมาพันธ์ อบจ. แต่ก็เป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ จึงควรรวมตัวให้แข็งแรงเหมือนกลุ่มจังหวัด โดยมีสภา อบจ. รวมด้วย ก็จะช่วยกำหนดนโยบายและแก้ปัญหาได้มากกว่าแค่ในจังหวัดเดียว

สำหรับการหาทางออกของปัญหาการกระจายอำนาจ อย่างแรกคือสังคมเรามักพูดถึงการกระจายอำนาจหรือการรวมศูนย์แบบเป็นก้อนๆ นักวิชาการจึงควรช่วยกันตีแผ่คำนิยาม เช่น การรวมศูนย์หมายถึงรัฐไทยมีการปกครองที่เต็มไปด้วยคณะกรรมการแห่งชาติหลายหน่วยงาน ดังนั้นหากจะลดการรวมศูนย์ ก็ต้องให้ท้องถิ่นมีสิทธิมีเสียงในการกำหนดนโยบายระดับชาติ

อย่างที่สองคือต้องทำให้เห็นว่าการกระจายอำนาจมีหลายแบบ เช่น การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (public-private partnerships: PPP) หรือการเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ (privatization) เป็นต้น คือรัฐไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง ถ้ารัฐทำไม่ได้ ก็ยังมีเอกชนและประชาสังคมที่ให้บริการสาธารณะได้

สุดท้ายคือเปลี่ยนจากการปกครอง (government) มาเป็นการบริหารจัดการปกครอง (governance) โดยที่การกระจายอำนาจไม่จำเป็นต้องถ่ายโอนทุกอย่างให้ อบจ. หรือเทศบาลดูแล แต่สามารถปรับการบริหารในองค์กรหรือกระทรวงอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ในภาคการศึกษา สามารถให้โรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการบริหารตนเอง (self-managing) หรือกำกับดูแลร่วมกัน (co-regulating) เป็นต้น

จะแก้ปัญหาทั้งภูมิภาคได้ ต้องทลายข้อจำกัดรัฐรวมศูนย์: โอฬาร ถิ่นบางเตียว

สื่อให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคตะวันออกมาก และที่สำคัญ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างการเมืองบ้านใหญ่ด้วยกันเอง แต่คือการต้องต่อสู้กับพรรคประชาชนด้วย เพราะการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา บ้านใหญ่ถูกพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลในเวลานั้นยึดครองพื้นที่ได้ เช่น ระยอง จันทบุรี 

ครั้งนี้ยกเว้นจังหวัดเดียวคือปราจีนบุรีที่พรรคเพื่อไทยประกาศสนับสนุน สจ.จอย (ณภาภัช อัญชสาณิชมน) แต่จังหวัดอื่นๆ ไม่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย แยกอย่างชัดเจนระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองแบบพรรค

ที่น่าสนใจคือ ปกติแล้วเรามักมีภาพจำในเชิงลบกับการเมืองบ้านใหญ่ แต่ครั้งนี้ แต่ละพรรคหรือแต่ละกลุ่มเริ่มต้องเสนอนโยบาย จึงทำให้เห็นว่าการเมืองแบบเดิมหรือบ้านใหญ่เริ่มใช้การไม่ได้แล้ว อย่างตระกูลคุณปลื้ม ก็มีป้ายหาเสียงชวนคนมาทำการเมืองเชิงสร้างสรรค์และเชิงนโยบาย ซึ่งภาคตะวันออกอาจต่างจากภาคอื่น เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางที่ไม่ต้องพึ่งพานักการเมืองบ้านใหญ่มากนัก เพราะมีเครือข่ายของตนเอง 

ในแง่ปัญหาของภาค กล่าวคือภาคตะวันออกมีภูมินิเวศที่ซับซ้อนมาก เป็นภูมิภาคที่แบกรับกระบวนการการพัฒนาของประเทศ เป็นทั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อุตสาหกรรม เมืองท่องเที่ยว และเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแหล่งใหญ่ ปัญหาคือการแย่งชิงทรัพยากร และแก้ปัญหาทั้งภูมิภาคไม่ได้ เพราะแต่ละจังหวัดมีอำนาจแค่ในเขตตัวเอง ทั้งที่เป็นปัญหาร่วมทั้งภูมิภาค

ทั้งนี้ ผมยังไม่เห็นว่าพรรคไหนหาเสียงโดยอธิบายข้อจำกัดในการทำงานของ อบจ. และถ้าเลือกตัวแทนพรรคเขา เขาจะสนับสนุนการเมืองในระดับพื้นที่และระดับชาติอย่างไร จะกระจายเงิน กระจายอำนาจ กระจายคนอย่างไร ที่ผ่านมา อบจ. ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพราะติดปัญหาคอขวดของรัฐรวมศูนย์ กฎหมายซับซ้อน ถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานต่างๆ และระบบราชการส่วนภูมิภาค เช่น หลายคนมองว่า อบจ. ไม่แก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งจริงๆ แล้วติดปัญหาที่โครงสร้างราชการ 

ดังนั้น หากมีนโยบายชัดเจนว่าจะทลายข้อจำกัดของการกระจายอำนาจเพื่อให้ อบจ. หรือ อบต. นำนโยบายไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างน้อยประชาชนก็จะได้มีหลักฐานในการทวงถาม 

ผมอยากเห็นเครือข่ายของนายก อบจ. มองปัญหาเชิงภูมิภาค เพราะเขตการปกครองแบบปัจจุบันยังเป็นการจัดการแบบรัฐรวมศูนย์แบบเมื่อร้อยปีที่แล้ว แต่ปัญหาทุกวันนี้ซับซ้อนมากขึ้น อย่างเรื่องทรัพยากรน้ำ หรือการขยายตัวของเมือง ไม่สามารถแก้ไขได้หากมองแค่ในระดับจังหวัด

ผมอยากให้การเมืองเชิงนโยบายทำได้จริง ไม่ติดปัญหาของรัฐราชการที่ไม่ปรับตัว เช่น ทำงานตามตัวชี้วัดการปฏิบัติงาน (KPI) ถ้าไม่ระบุใน KPI ก็ไม่ทำ หรือส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจมาประชุม ทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งหากลดอิทธิพลรัฐราชการลง ก็ทำให้ อบจ. และ อบต. ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากเครือข่ายนักวิชาการจะต้องขับเคลื่อนแล้ว สื่อก็ต้องทำให้เห็นว่าการกระจายอำนาจสำคัญอย่างไรต่อประชาธิปไตยในท้องถิ่นและระดับชาติ พรรคการก็เมืองต้องออกแบบนโยบายเรื่องการกระจายอำนาจ และหากทั้งสังคมผลักดันอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ระบบราชการอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมเชื่อว่าข้าราชการรุ่นใหม่มองเห็นข้อจำกัดของระบบราชการ และอยากเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าเราทั้งระบบช่วยกัน ก็จะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรากฐานของประชาธิปไตย

นอกจากนี้ ก็อยากให้ไปกว่าการปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะยังมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และชาวบ้านที่มีความเข้มแข็งไม่น้อยในเรื่องการกระจายอำนาจระดับชุมชน ซึ่งเรามักละเลยมิตินี้ไป

จุดอ่อนของการเมืองท้องถิ่นคือมักมีความขัดแย้ง เราจึงควรมีกลไกประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือและมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้ระบบราชการส่วนภูมิภาคคลายตัว ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ และอีกข้อเสนอหนึ่งคือ อยากให้มีสภาประชาชน เป็นพื้นที่กลางที่ประชาชนและหน่วยงานราชการสามารถสะท้อนปัญหาและหาทางออกได้ ก่อนที่จะแก้ในเชิงโครงสร้างต่อไป

ฉันทมติเลือกตั้ง อบจ. กับการตรึงไว้ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง: เอกรินทร์ ต่วนศิริ

เมื่อพูดถึงภาคใต้ ทุกคนจะนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่ชาวนครศรีธรรมราชส่งพรรคประชาธิปัตย์เข้านอนไปแล้ว ฉะนั้นผู้สมัครจึงไม่มีลักษณะของการใช้แบรนด์พรรคการเมืองในการลงสนามครั้งนี้ โดยเฉพาะแบรนด์ประชาธิปัตย์ กรณีคุณวารินที่ชนะตระกูลเดชเดโชทำให้เห็นการปรับตัวของผู้สมัครรายอื่น โดยเฉพาะผู้สมัครที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์

เราจะเห็นการปรับตัวเชิงนโยบายของคู่แข่งเยอะมากในจังหวัดที่พรรคประชาชนลงแข่งขัน สงขลามีเวทีดีเบต ภูเก็ตพูดถึงนโยบายอย่างเข้มข้น ขณะที่โซนจังหวัดอื่นจะเป็นมิติของบ้านใหญ่ชนกันมากขึ้น ผมคิดว่าพรรคประชาชนเป็นตัวแปรการเสนอนโยบายในภาคใต้ ทำให้ผู้ครองอำนาจเดิมปรับตัวและพูดเชิงนโยบายมากขึ้น เลือกตั้งปีนี้จึงเป็นปีที่ผู้ครองตำแหน่งเดิมเหนื่อยและออกแรงเยอะกว่าเก่ามาก

เราอาจต้องเริ่มด้วยการแก้ปัญหารัฐราชการ ซึ่งจะให้ อบจ. แก้ลำพังไม่ได้ หัวใจหลักไม่ใช่การโยนภาระให้ผู้เล่นในสนามการเมือง โจทย์ผมคือการทำงานหนักด้านความคิด ถึงที่สุดแล้วประชาชนมีอำนาจอะไรในสนามบ้าง ในรัฐสภาก็มีครึ่งเดียว ในท้องถิ่นแม้ประชาชนมีสิทธิเลือก อบจ. แต่อำนาจที่คลุมอยู่คืออำนาจรัฐราชการ ขณะที่อำนาจท้องถิ่นถูกกินเรื่อยๆ ด้วยกฎระเบียบ 

ทุกคนคิดถึงเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างอำนาจรัฐไม่เอื้อแทบทั้งสิ้น เหมือนประเทศถูกตรึงไว้ และถ้าเราสังเกต เมื่อคุณทักษิณไปหาเสียง เขาไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพื้นที่ เพราะมันไม่ฟังก์ชัน จะพูดทำไม มันไม่จำเป็น เพราะเขาต้องการถืออำนาจรัฐในปี 2570 อย่างเต็มมือ นั่นต่างหากคือโจทย์ของเขา 

ระหว่างพลังการเมืองก้าวหน้าและพลังที่ต้องการตรึงอำนาจการเมือง โจทย์คือฉันทมติในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้คืออะไร ผมคิดว่าฉันทมติอาจไม่ใช่การทำให้ท้องถิ่นพัฒนา แต่คือการตรึงสภาพไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตรึงสภาพไม่ให้เป็นการเมืองเรื่องนโยบาย ทำให้ท้องถิ่นเป็นการแข่งในมุ้งทางการเมือง นี่คือความตั้งใจตรึงสภาพการณ์ไว้เช่นนี้

อย่างไรก็ดี เลือกตั้งครั้งนี้ผมดีใจมากที่ทุกคนได้สะท้อนปัญหา ขณะที่บ้านใหญ่หรือคนที่อยากกุมสภาพเดิมเริ่มเอาไม่อยู่ ต้องเปลี่ยนทำนองหรือภาษาไปตามโจทย์ของประชาชน อย่างน้อยๆ มันพิสูจน์แล้วว่าการเมืองแบบใช้เงินอาจไม่ฟังก์ชันในตอนนี้ ในความหมายที่ว่าไม่ใช่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จอีกต่อไป

เลือกตั้งท้องถิ่น = สนามอารมณ์เลือกตั้งระดับชาติ: ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์

การเลือกตั้งท้องถิ่นคือสนามอารมณ์ของการเลือกตั้งระดับชาติ เห็นได้ชัดเจนผ่านกรณีที่คุณทักษิณหาเสียง ขณะเดียวกันสื่อมวลชนก็รายงานโดยการเอาคู่ตรงข้ามมาชนกัน กล่าวคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ พรรคประชาชนไม่ได้ส่งทุกจังหวัด ในภาคเหนือพรรคประชาชนส่งแค่สองจังหวัดเท่านั้น สื่อหลักทำให้รายละเอียดเรื่องการกระจายอำนาจถูกเขี่ยทิ้ง จนเราไม่เห็นปัจจัยหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในท้องถิ่น

ในภาคเหนือก็มีการแข่งขันด้วยนโยบาย แต่อาจไม่ใช่เพราะพรรคประชาชนลงแข่งจนเกิดการเสนอนโยบายเข้มข้น อย่างกรณีพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ท้าชิงในเชียงราย ต่างจากจังหวัดอื่นในภาคเหนือที่พรรคเพื่อไทยมักเป็นแชมป์เก่า พรรคเพื่อไทยจึงอัดแคมเปญเต็มที่และสู้ด้วยนโยบาย ซัดเรื่อง PM 2.5 และการสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเพื่อไทยอาจได้ความนิยมเพิ่มจากกรณีที่ อบจ. เดิมเพลี่ยงพล้ำตอนเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมแม่สาย หรือการกำจัดฝุ่น PM 2.5 ขณะที่เชียงใหม่ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม จึงขายผลงานเก่าและเอานโยบายมาสู้ ซึ่งพรรคประชาชนก็ส่งผู้สมัครและเอานโยบายมาสู้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน นโยบายบางอย่างคิดรายจังหวัดไม่ได้ ต้องคิดเชิงภูมิภาค สมมติแบ่งภาคเหนือเป็นโซนตะวันออกกับตะวันตก จะเห็นว่าโซนตะวันตกสัมพันธ์กับเศรษฐกิจชายแดนพม่า ซึ่งตอนนี้เราไม่เห็นหนทางว่าจะเชื่อมสัมพันธ์อย่างไรให้เติบโต ขณะเดียวกันฝั่งตะวันออกก็กำลังทำรถไฟรางคู่ ทำให้เห็นโอกาสที่เศรษฐกิจจะเชื่อมกับลาวและจีน แต่เดิมทุกอย่างเมื่อหลายสิบปีก่อนจะกระจุกที่เชียงใหม่ ดังนั้น อีก 4-5 ปีข้างหน้าอาจได้เห็นว่าภาคเหนือโซนตะวันออกอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล 

การเลือกตั้งครั้งนี้เริ่มทำให้เห็นว่านโยบายจับกับคนมากขึ้น แต่ก็อาจสัมพันธ์กับที่อาจารย์โอฬารตั้งข้อสังเกตว่าพรรคการเมืองกำลังพูดกับใคร ชนชั้นกลางหรือเปล่า เขาพูดแบบเดียวกันหรือไม่เวลาพูดกับชาวบ้านในชนบท

ถามว่าอำนาจท้องถิ่นสามารถทำนโยบายแก้ปัญหาบางอย่างได้จริงไหม ผมว่าโดยกรอบพอทำได้ แต่ปัญหาคือเรายังกระจายอำนาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ทรัพยากรก็ไม่พอและกรอบกฎหมายก็จำกัด ไม่นับว่ามีองค์กรที่คอยควบคุมว่าทำได้หรือทำไม่ได้ แต่ที่อยากชวนคิดคือเราต้องจินตนาการว่าท้องถิ่นสามารถทำงานอะไรบางอย่างร่วมกันได้ เช่น การสร้างความร่วมมือข้าม อบจ. จินตนาการเหล่านั้นอาจนำไปสู่การเขียนกฎหมายหรืออะไรบางอย่างที่สอดคล้องกัน แต่ทุกวันนี้ ท้องถิ่นถูกกรอบไม่ให้จินตนาการจนไม่นำไปสู่นโยบายใหม่

ขณะที่บทบาท กกต. ดันกลายเป็นองค์กรขัดขวางการเลือกตั้ง เช่น จัดเลือกตั้งวันเสาร์​ ทำให้คนทำงานวันเสาร์ต้องลางานหรือขอความร่วมมือจากนายจ้าง ทั้งยังเลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ เลือกตั้งนอกเขตก็ไม่ได้ จะเห็นได้ว่า กกต. สร้างปัญหาตั้งแต่การเลือกตั้งระดับชาติยันการเลือกตั้งท้องถิ่น มีลักษณะที่คอยจับผิดและไม่ไว้ใจคน และนี่เป็นภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มากที่กติกาและผู้คุมกฎมีปัญหาในวิธีการมอง ทั้งที่เรารู้ว่าการเลือกตั้งเป็นปลายทางของการกระจายอำนาจ 

เลือกตั้ง อบจ.

เลือกตั้ง อบจ.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save