ทุกวันที่ 26 มกราคมของทุกปี อินเดียจะมีการเฉลิมฉลองวันสาธารณรัฐ (Republic Day) ซึ่งถือเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างมากกับประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ และสำคัญเสียยิ่งกว่าวันที่อินเดียปลดแอกจากจักรวรรดิอังกฤษได้สำเร็จอย่างวันที่ 15 สิงหาคม (Independence Day)
วันสาธารณรัฐอินเดียก่อเกิดขึ้นจากการที่อินเดียประกาศใช้รัฐธรรมนูญของตนเองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 1950 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (constituent assembly) ที่ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายกลุ่ม รวมถึงตัวแทนจากชนกลุ่มน้อยและผู้หญิง มีการอภิปรายหลักพันครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญจะตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
กฎหมายสูงสุดของประเทศฉบับนี้ได้ก่อร่างสร้างอินเดียหลังยุคอาณานิคม และกลายเป็นอินเดียในทุกวันนี้ เพราะนี่คือรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1950 โดยไม่เคยถูกฉีกหรือร่างขึ้นใหม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงนับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่น่าสนใจฉบับหนึ่งของโลก
นอกจากจะเก่าแก่และมีลักษณะพิเศษที่รองรับโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างหลากหลายแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความยาวที่สุดในโลกอีกด้วย โดยระยะเวลากว่าเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญอินเดียถูกแก้ไขและเพิ่มเติมอยู่หลายครั้ง จนมีจำนวนมากถึง 395 มาตรา
รัฐธรรมนูญอินเดียเคยถูกท้าทายเพียงครั้งเดียวจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ยังผลให้มีการงดเว้นรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวในช่วงปี 1975 -1977 แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้เกิดการฉีกรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด จึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้สามารถอยู่รอดได้อย่างไร
ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยากมีรัฐธรรมนูญใหม่ ผู้เขียนเชื่อว่าการได้ถอดบทเรียนจากรัฐธรรมนูญอินเดีย น่าจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อยสำหรับผู้อ่านทั่วไปและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ความเป็นมาและความน่าสนใจของรัฐธรรมนูญอินเดีย
รัฐธรรมนูญอินเดียได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่ละเอียดและครอบคลุมที่สุดในโลก และถือเป็นกฎหมายสำคัญในการปกครองประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
การปกปักรักษารัฐธรรมนูญอินเดียถือเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของชาวอินเดียทุกคน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อเกิดข้อถกเถียงใดๆ ในสังคม ก็จะกลับมาที่พื้นฐานสำคัญว่ารัฐธรรมนูญอินเดียได้รับรองหรือห้ามในประเด็นนั้นๆ หรือไม่ โดยบทบาทสำคัญในส่วนนี้อยู่ที่ศาลสูงสุดของอินเดีย ซึ่งเป็นองค์การตุลาการที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1947 อินเดียเผชิญความท้าทายหลายประการ เช่น ความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และภูมิภาค รัฐธรรมนูญจึงถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนความหลากหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งสร้างกรอบที่ช่วยรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะโดยพื้นฐานแล้ว อินเดียเกิดจากการผนวกกันของรัฐต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ และบรรดารัฐมหาราชาที่เคยมีอิสระ ฉะนั้นการออกแบบกฎหมายสูงสุดเพื่อใช้กับประชากรที่มีความต่างกันในหลายมิติจึงเป็นความท้าทายใหญ่ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะในเวลานั้นคนตะวันออกสุดและตะวันตกสุดของประเทศพูดกันคนละภาษา และไม่เข้าใจกันเลย
ความน่าสนใจของรัฐธรรมนูญอินเดียอยู่ที่การผสมผสานแนวคิดจากหลายประเทศ นอกจากนี้ยังระบุสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองอย่างละเอียด เช่น สิทธิในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา การศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงการสร้างความเท่าเทียมผ่านระบบการให้ความช่วยเหลือบุคคลด้อยโอกาสทางสังคม หรือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสต่างๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่สำคัญ ยังระบุให้การกีดกันทางชนชั้น ศาสนา วรรณะ และชาติพันธุ์ ถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญอินเดียยังมีโครงสร้างที่เน้นความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐ (state governments) เพื่อให้การบริหารจัดการประเทศขนาดใหญ่อย่างอินเดียเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกลางมีอำนาจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเศรษฐกิจ ในขณะที่รัฐบาลระดับรัฐมีอำนาจดูแลเรื่องการศึกษา สาธารณสุข และการปกครองท้องถิ่น โดยต่างฝ่ายต่างทำงานประสานความร่วมมือและถ่วงดุลกันในการพัฒนาประเทศ และนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้การพัฒนาของอินเดียมีความแตกต่างหลากหลายในแต่ละพื้นที่
แก้ได้ แก้ง่าย ยืดหยุ่น: เหตุผลหลักที่ทำให้รัฐธรรมนูญอินเดียมีชีวิต
นอกจากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดของรัฐธรรมนูญอินเดีย คือการแก้ไขและปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญสามารถกระทำได้ผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญอินเดียจึงมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ
ตลอดเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญอินเดียมีการแก้ไข (amendment) กว่า 106 ครั้ง ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2024 ที่ผ่านมานี้เอง การแก้ไขเหล่านี้ช่วยให้รัฐธรรมนูญยังคงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
น่าสนใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกของอินเดีย เกิดขึ้นเพียงหนึ่งปีหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเท่านั้น และเป็นความประสงค์สำคัญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่เล็งเห็นว่ากฎหมายสูงสุดฉบับนี้ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสถานการณ์บ้านเมืองในยุคสมัยนั้นๆ หรือเมื่อเกิดปัญหาในการบังคับใช้จริง กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงควรเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อเท็จจริงในสังคมตามช่วงเวลานั้นๆ
ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญอินเดียสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่ 1) การแก้ไขที่ทำได้โดยเสียงข้างมากปกติ (ครึ่งหนึ่ง) ในรัฐสภา 2) การแก้ไขที่ทำได้โดยอาศัยเสียงข้างมากพิเศษ (2 ใน 3) ในรัฐสภา และ 3) การแก้ไขที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วยเสียงข้างมากพิเศษ และต้องให้สภานิติบัญญัติของรัฐอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้สัตยาบัน กระบวนการนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพและความยืดหยุ่น โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญในแบบรัฐ มักเป็นการแก้ไขใหญ่ที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างรัฐทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
รัฐธรรมนูญอินเดียกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องดำเนินการผ่านรัฐสภาเป็นสำคัญ มีเพียงบางหมวดและบางมาตราเท่านั้นที่จำเป็นต้องอาศัยการให้สัตยาบันของสภานิติบัญญัติระดับรัฐ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติในการธำรงรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการให้อำนาจฝ่ายอื่นเข้ามากำหนดหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย หรือมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะเพื่อชี้ว่าการแก้ไขแบบใดทำได้หรือไม่ได้
ความยืดหยุ่นของรัฐธรรมนูญอินเดียยังสะท้อนผ่านการยกเลิกมาตรา 370 ในปี 2019 ซึ่งเคยให้สถานะพิเศษแก่รัฐจัมมูและแคชเมียร์ แสดงให้เห็นความสามารถของรัฐธรรมนูญในการจัดการกับประเด็นที่ซับซ้อนและอ่อนไหว การปรับตัวของรัฐธรรมนูญอินเดียยังรวมถึงการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในระดับสากล เช่น การรับรองพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยให้อินเดียสามารถปรับตัวเข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างเหมาะสม
กล่าวได้ว่า สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นลักษณะพิเศษที่ทำให้รัฐธรรมนูญอินเดียแตกต่างจากรัฐธรรมนูญหลายฉบับทั่วโลก และถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ไทยควรนำมาประยุกต์ใช้ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ไทยเรียนรู้อะไรจากรัฐธรรมนูญอินเดียได้บ้าง
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังมองหาแนวทางในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บทเรียนจากรัฐธรรมนูญอินเดียสามารถนำมาปรับใช้ได้หลายด้าน
ประการแรกคือการสะท้อนความหลากหลาย เพราะโดยเนื้อแท้แล้วประเทศไทยมีความแตกต่างหลากหลายทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ต่างไปจากอินเดียนัก รัฐธรรมนูญจึงควรออกแบบให้เสียงของทุกกลุ่มในสังคมได้รับการรับฟังและมีส่วนร่วมในกระบวนการปกครอง การสะท้อนความหลากหลายยังช่วยลดความขัดแย้งในสังคม เช่นเดียวกับที่อินเดียออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับชนกลุ่มน้อยและกลุ่มที่มีความเปราะบาง บนพื้นฐานสำคัญว่าแตกต่างหลากหลายภายใต้สาธารณรัฐอินเดีย
ประการที่สองคือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่สร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยใช้เวลามากกว่าสองปี ทั้งยังมีการอภิปรายหลายพันครั้งเพื่อให้รัฐธรรมนูญผ่านการมีส่วนร่วมจากหลากหลายกลุ่มและครอบคลุมที่สุด กระบวนการนี้ช่วยสร้างความชอบธรรมและความไว้วางใจในรัฐธรรมนูญ ยิ่งในปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การจัดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะมีต้นทุนที่ลดลงมาก การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งนี้ถือเป็นอีกประเด็นที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน
ประการที่สาม ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะพิเศษสำคัญของรัฐธรรมนูญอินเดีย คือความยืดหยุ่นและการปรับตัว เพราะรัฐธรรมนูญไทยในอดีตมักถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย การออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่จึงควรคำนึงถึงกลไกที่เอื้อต่อการแก้ไขและปรับปรุงในอนาคต เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น การกำหนดกระบวนการแก้ไขที่ชัดเจนและโปร่งใส รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น การใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาและการทำประชามติในบางกรณี เป็นต้น
สุดท้ายคือรัฐธรรมนูญใหม่ของไทยควรมีการสร้างกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในกรณีของรัฐธรรมนูญอินเดียมีการออกแบบกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการอย่างชัดเจน กลไกนี้ช่วยป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขต และส่งเสริมความโปร่งใสในการบริหารงาน แต่ประเด็นนี้อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะสำหรับอินเดียแล้วการเกิดสถานการณ์ตุลาการภิวัตน์นั้นเป็นเรื่องปกติ และหลายครั้งคำตัดสินของศาลสูงสุดอินเดียได้กลายเป็นนโยบายแห่งรัฐด้วย
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญอินเดียเป็นตัวอย่างที่ดีของการออกแบบกฎหมายสูงสุดที่สะท้อนความหลากหลาย สร้างความยืดหยุ่น และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน การศึกษาประสบการณ์จากอินเดียจะช่วยให้ประเทศไทยพัฒนารัฐธรรมนูญที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับในสังคมได้ในอนาคต การเรียนรู้จากอินเดียไม่ได้หมายถึงการลอกเลียนแบบ แต่เป็นการนำแนวคิดและหลักการที่ดีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญที่จะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างยั่งยืนในอนาคตได้