
‘การชะล้างทางสังคม’ หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Social Cleansing ส่วนภาษาสเปนใช้คำว่า Limpieza Social หมายถึงการฆาตกรรมผู้คนในสังคม เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นถูกมองว่าไม่เป็นที่ต้องการของสังคม เช่น พวกคนไร้ที่อยู่อาศัย พวกลักเล็กขโมยน้อย พวกขายของตามสี่แยกถนน คนแก่ คนจน คนเจ็บป่วย และคนพิการ
แนวคิดการชะล้างทางสังคมเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสังคม การสังหารในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความยากจนและความไม่เท่าเทียม ผู้ลงมือสังหารมักเป็นคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันกับเหยื่อ ความพยายามในการที่จะขจัดปัญหานี้ทั้งโดยรัฐบาลระดับชาติและรัฐบาลระดับท้องถิ่นมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐเองโดยเฉพาะตำรวจมักจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะในลาตินอเมริกา
การชะล้างทางสังคมในลาตินอเมริกามักเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด อย่างไรก็ตามความเชื่อในสังคม วัฒนธรรมความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และความเหลื่อมล้ำในสังคม ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการชะล้างทางสังคม ลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่คนส่วนมากเป็นคนยากจน บางคนถึงขนาดไม่มีที่อยู่อาศัยหรืออาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมลาตินอเมริกายังเกี่ยวเนื่องกับปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นสูงอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อส่งผลให้กระทบต่อชีวิตคนเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ความเหลี่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยและคนจนสูงเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก ขณะที่เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อคนยากจนเหล่านี้กับน้อยลงเรื่อยๆ แตกต่างจากเงินอุดหนุนทางด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเงินที่ถูกนำไปใช้ในการชะล้างทางสังคมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในประเทศโคลอมเบีย
การชะล้างทางสังคมในโคลอมเบียเริ่มขึ้นในกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1980 โดยเกิดขึ้นในเมืองเพไรรา (Peiraira) ในปี 1986 เป้าหมายหลักของกลุ่มผู้ก่อการนั้นคือต้องการ ‘ความเป็นธรรม’ ในสังคม ด้วยการสังหารพวกที่ไม่เหมาะสมจะอยู่ในสังคม อาทิ โสเภณี คนที่อาศัยริมฟุตพาท พวก LGBTQ+ และพวกที่ติดยาเสพติด คนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นขยะของสังคม เป็นภาระของสังคม เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา แทนที่จะถูกมองว่าเป็นเหยื่อของความเหลื่อมล้ำในสังคม
หนึ่งในเหยื่อของความรุนแรงคือเด็กที่อาศัยอยู่ตามท้องถนน เร่ขายสินค้าตามสี่แยก หรือไม่ก็แสดงกายกรรมตอนไฟแดงและขอเงินจากผู้ที่ขับรถ เด็กพวกนี้อาจมาจากครอบครัวที่แตกแยกหรือใช้ความรุนแรง รวมถึงผู้ที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นเนื่องจากปัญหาความรุนแรงในชนบท ส่งผลให้ครอบครัวต้องย้ายเข้ามาอยู่สลัมในเมืองต่างๆ ของโคลอมเบีย การฆาตกรรมเด็กเหล่านี้ในโคลอมเบียสูงถึง 6-8 คนในแต่ละวัน เด็กเหล่านี้มักถูกยิงขณะยังหลับ หรือถูกแทงจนตายในถนนไปจนกระทั่งในสถานีตำรวจเอง
ในปี 1993 เด็กหญิงเร่ร่อนอายุ 9 ขวบถูกสังหารในเมืองหลวงกรุงโบโกตา (Bogota) ส่งผลให้ประชาชนตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาการชะล้างในสังคม แต่ทางตำรวจเองกลับจ้องที่จะปราบปรามกลุ่มเด็กเหล่านี้เพราะพวกเขามองว่าเด็กพวกนี้ติดยา และเป็นขี้ขโมย ซึ่งบางครั้งเด็กๆ เหล่านี้ก็เป็นผู้ก่อปัญหาตามจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วข้างต้นจากการต้องตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่และเป็นเป้าหมายของการชะล้างในสังคม ซึ่งแทนที่ตำรวจเองจะเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม กลับเป็นหน่วยงานหลักที่ทำร้ายร่างกายและสังหารเด็กเหล่านี้
นอกจากนี้ บางคนที่เป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ผู้ถูกจับแล้วไม่กี่วันต่อมาก็พ้นโทษ รวมถึงผู้ติดหรือขายยาเสพติด ต่างก็เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องถูกขจัดออกไปจากสังคม นับตั้งแต่ ค.ศ. 1988-1993 คนเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อถึงร้อยละ 56 ของผู้ที่เสียชีวิตจากการชะล้างทางสังคม พวกเขามักถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกข่มเหงทางเพศโดยตำรวจและกลุ่มอิทธิพลซึ่งเป็นที่รู้จักกันภาษาสเปนว่า ‘Comas’
หนึ่งในวิธิการสังหารคนเหล่านี้ในกรุงโบโกตา คือการนำเหยื่อขึ้นไปสังหารบนภูเขาหลักของเมือง คนที่พยายามจะหนีก็จะถูกยิงตาย และอีกวิธีหนึ่งคือการบังคับให้เหยื่อขึ้นรถ แล้วฆ่าทิ้ง ก่อนนำศพไปทิ้งยังที่ลับหูลับตาคน หลังจากที่พวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลฆ่าเหยื่อแล้วก็จะตัดแขนทั้งสองข้าง ใส่ในกล่อง แล้วนำไปโยนทิ้งในที่สาธารณะเพื่อเป็นการเตือนกลุ่มคนที่เป็นเหยื่อของการชะล้างทางสังคม นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มอิทธิพลที่สังหารเหยื่อแล้วนำร่างไปแขวนประจานในสวนสาธารณะของเมือง
กลุ่มโสเภณีหรือพวก LGBTQ+ ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของการสังหารด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าการเป็นโสเภณีหรือการเป็น LGBTQ+ จะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในโคลอมเบียก็ตาม โดยผู้หญิงที่เข้ามาเป็นโสเภณีมักมาจากกลุ่มผู้ที่ยากจนหรือประสบความรุนแรงในครอบครัวจึงหันมาเป็นโสเภณี แต่ที่ผ่านมาโสเภณีทั้งชายและหญิงมักถูกตำรวจเพ่งเล็ง โดยเฉพาะโสเภณีชายมักจะถูกบังคับให้จ่ายส่วยให้ตำรวจ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกทำร้ายหรือถูกจับขังคุก
ส่วนขอทานและผู้หาของเก่าซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยากไร้ที่สุดในสังคม ก็มักถูกตำรวจมองว่าเป็นขยะของสังคม พวกตำรวจจึงจงใจฆ่าพวกเขาโดยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาให้ตายทั้งเป็น นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่ากลุ่มผู้ขอทานนี้อย่างน้อย 14 คนถูกฆ่าโดยยามมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงโบโกตา เพื่อใช้ร่างของคนเหล่านั้นในการศึกษาทางการแพทย์ให้กับนักศึกษาแพทย์ของมหาวิทยาลัย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่าตำรวจเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุดกับการชะล้างทางสังคม โดยตำรวจนั้นมองว่าเหยื่อเหล่านั้นเป็นขยะ ไม่มีคุณค่าหรือประโยชน์กับสังคม จึงใช้ศาลเตี้ยในการจัดการกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม จากการศึกษาพบว่าตำรวจเป็นผู้สังหารเหยื่อเหล่านี้ถึงร้อยละ 74 ในปี 1992 โดยตำรวจนั้นมีแรงจูงใจในการกวาดล้างคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความมั่นคงปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสบายตาสบายใจที่ไม่ต้องเห็นพวกยากไร้อยู่ร่วมสังคมเดียวกับตน นอกจากนั้นยังมองว่าคนกลุ่มดังกล่าวทำผิดศีลธรรมของศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะคนที่เป็นโสเภณีและ LGBTQ+
นอกจากตำรวจแล้ว กองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมายฝ่ายขวายังเป็นกลุ่มที่ทำการชะล้างทางสังคมด้วยเช่นเดียวกัน บางทีตำรวจเองหลังเลิกงานประจำในแต่ละวันก็ผันตัวมาเป็นผู้ร้ายด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนักธุรกิจ พวกกบฏฝ่ายซ้าย และทหารอีกด้วย พวกเขามองว่ากฎหมายบ้านเมืองนั้นอ่อนแอไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาจากคนที่เขามองว่าเป็น ‘คนชั่ว’ ในสังคมได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไม่สามารถทำได้ พวกเขาก็ลงมือปฏิบัติเอง
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันการชะล้างทางสังคมลดลงไปมากในโคลอมเบีย นับตั้งแต่ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตร (Gustavo Petro) ขึ้นมามีอำนาจ เนื่องจากเขามีนโยบายช่วยเหลือคนยากจน ออกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีการปฏิรูปวงการสีกากี ทำให้สังคมโคลอมเบียปลอดภัยขึ้นอย่างมาก