เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศศรีลังกาได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปอันเป็นผลจากการประกาศยุบสภาของประธานาธิบดีคนใหม่ ‘นายอนุรา กุมารา ดิสซานายาเก’ ที่ได้รับเลือกตั้งไปก่อนหน้านี้ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ และความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวอย่างมากต่อความต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองของประเทศ เนื่องจากชาวศรีลังกาจำนวนมากมองว่าปัญหาความล้มเหลวทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาเป็นผลสำคัญมาจากปัญหาการทุจริต และการปกครองในระบบเครือญาติที่สืบต่อกันในหมู่นักการเมืองไม่กี่ตระกูล
ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้ศรีลังกาเดินสู่วิกฤตในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ จนเป็นเหตุให้เกิดการประท้วงและจลาจลใหญ่เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจากตระกูลราชปักษา ความวุ่นวายของศรีลังกาในครั้งนั้นนอกจากจะเป็นที่จดจำในใจของชาวศรีลังกาแล้ว ยังเป็นภาพติดตาของประชาคมระหว่างประเทศอีกด้วย
ภายใต้บริบทการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้ การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่นี้จึงถือเป็นความหวังสำคัญของประชาชนศรีลังกาหลายคนที่อยากเปลี่ยนประเทศของตัวเอง ส่งผลให้ทางเลือกใหม่ทางการเมืองกลายมาเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น และนั่นก็คือพรรคการเมืองสายคอมมิวนิสต์ พรรคการเมืองที่เป็นม้านอกสายตาในระบบการเมืองศรีลังกามาโดยตลอด การพาแนวร่วมฝ่ายซ้ายคว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายอนุราไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ ส่งผลให้มีการคาดการณ์ก่อนการเลือกตั้งว่าแนวร่วมฝ่ายซ้ายจะคว้าชัยในการเลือกตั้งทั่วไปและครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรด้วยเช่นกัน
และผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็มิได้เหนือความคาดหมาย เมื่อแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ (National People’s Power) พันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ศรีลังกาสามารถคว้าที่นั่งมาได้มากถึง 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือกว่า 159 ที่นั่งจาก 225 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคที่สนับสนุนตระกูลราชปักษาที่เคยครองเสียงข้างมากในครั้งก่อนเหลือเพียง 3 ที่นั่งในรัฐสภาเท่านั้น
ปรากฎการณ์เช่นนี้นำมาสู่คำถามมากมายถึงทิศทางทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงแนวนโยบายต่างประเทศของศรีลังกาภายใต้รัฐบาลฝ่ายซ้ายที่ครองอำนาจทั้งในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่แนวร่วมฝ่ายซ้ายขึ้นมามีอำนาจในศรีลังกา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนับตั้งแต่ปลดแอกจากอาณานิคมอังกฤษในปี 1948 จึงอยากชวนวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลให้คนศรีลังกาตัดสินใจสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ รวมไปถึงทิศทางความเป็นไปได้เชิงนโยบายของ
ศรีลังกาภายใต้รัฐบาลใหม่ ซึ่งยังคงมีความท้าทายอยู่มาก
ไม่ลองเสี่ยง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“คนหน้าเดิมๆ พรรคการเมืองเก่าๆ หลอกลวงพวกเรามานานเกินไปแล้ว”
ผู้ลงคะแนนเสียงคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อ Aljazeera
บทสัมภาษณ์ข้างต้นถือเป็นภาพสะท้อนถึงทิศทางการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนศรีลังกาในการเลือกตั้งทั่วไปช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทิศทางการลงคะแนนเสียงของใครหลายคนไม่ได้แตกต่างกันนัก เสียงส่วนใหญ่ล้วนสะท้อนถึงความเบื่อหน่ายต่อการเมืองแบบเก่าที่นำพาหายนะมาสู่เศรษฐกิจศรีลังกา ซึ่งถือเป็นผลกระทบครั้งใหญ่ที่กระทบชาวศรีลังกาทุกระดับ เพราะทุกคนรับรู้ได้ว่าอาหารและน้ำมันมีราคาแพงอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญก็คือ แม้มีเงินก็หาซื้อข้าวของมาไม่ได้ การระเบิดออกของวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ตาสว่าง’ ของคนศรีลังกาจำนวนมาก
ผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างมากต่อปฏิกิริยาทางการเมือง เพราะมันทำให้คนศรีลังกาจำนวนมากหันหลังให้กับนักการเมืองและพรรคการเมืองในระบบเก่า ที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมามีอำนาจภายใต้ระบบตระกูลการเมืองไม่กี่ตระกูล จุดเริ่มต้นนี้เองที่กลายเป็นโอกาสสำคัญของพรรคการเมืองที่มีแนวคิดใหม่ๆ ฉีกขนบการหาเสียงเลือกตั้งแบบเดิมๆ หรือแม้กระทั่งต่อต้านระบอบเก่าแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ซึ่งพรรคการเมืองในกลุ่มฝ่ายซ้าย และฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยแบบก้าวหน้า กลายเป็นตัวเลือกสำคัญที่โดดเด่นขึ้นมาในทันทีภายใต้กระแสอารมณ์ทางการเมืองของคนศรีลังกาที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างที่ได้เขียนไปในบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกาที่พันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับชัยชนะในแบบที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์เอเชียใต้หลายคน เพราะขั้วการเมืองฝ่ายซ้ายของศรีลังกาถือเป็นม้านอกสายตาในทางการเมืองมาโดยตลอด เรียกได้ว่าไม่เคยถูกคำนวณอยู่ในสมการทางการเมืองของศรีลังกาเลยก็ว่าได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะตลอดประวัติศาสตร์หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ขั้วการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับเสียงสนับสนุนจาก
คนศรีลังกาไม่เคยเกินร้อยละ 5 ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองเก่าแก่อื่นๆ ที่มีฐานมาจากตระกูลการเมืองใหญ่ๆ ของศรีลังกา
ถ้าถามว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนศรีลังกาตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองหน้าใหม่มาบริหารประเทศ นอกจากเบื่อการเมืองเก่าๆ แล้ว อีกปัจจัยก็คงหนีไม่พ้นการเลือกที่จะเสี่ยงและให้โอกาสพรรคใหม่ๆ เข้ามาลองบริหารประเทศดูบ้าง ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความเสี่ยงมาก เพราะศรีลังกายังคงอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่คนศรีลังกาต่างก็เปล่งเสียงตรงกันว่าในวันนี้ถ้าไม่ลองเสี่ยงก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว คงไม่มีสถานการณ์ใดย่ำแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ศรีลังกาเผชิญความตกต่ำถึงขีดสุดมาแล้ว และพวกเขาก็หวังว่าแนวทางการเมืองแบบใหม่ๆ จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากวิกฤต
ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป กับภารกิจแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อความเท่าเทียม
กระแสทางการเมืองที่เป็นลบต่อกลุ่มการเมืองเก่าไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลองเสี่ยงของประชาชนศรีลังกา แต่ข้อเสนอใหม่ๆ จากกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายก็เป็นอีกปัจจัยที่โน้มน้าวให้คนศรีลังกาหันมาเลือกด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการเสนอปฏิรูปการเมืองที่เข้าถึงได้จากทุกคน เพื่อทลายระบบตระกูลการเมืองที่ครอบงำศรีลังกามายาวนาน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาและวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ในช่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีฝ่ายซ้าย ได้มีการยกเครื่องตำแหน่งกันใหม่แบบที่คนศรีลังกาไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือการดึงเอาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านนั้นๆ มาคุมกระทรวงสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น ศรีลังกายังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ผู้เป็นสตรีที่ทรงภูมิสูง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาที่ผันตัวเองมาเป็นนักการเมือง ซึ่งก็ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ศรีลังกา เธอคนนี้คือ ‘ฮารินี อมราสุริยา’ (Harini Amarasuriya) ซึ่งภายหลังที่แนวร่วมฝ่ายซ้ายชนะเลือกตั้งในระดับรัฐสภา เธอก็ยังคงได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และมีภารกิจสำคัญคือเอาการเมืองออกจากระบบการศึกษาของศรีลังกา รวมถึงยกเครื่องการศึกษาของประเทศให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก
นอกจากการแต่งตั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของแนวร่วมฝ่ายซ้ายซึ่งไม่อิงตามขนบแบบเดิมที่นิยมตอบแทนบรรดาตระกูลการเมือง มากกว่ามุ่งเน้นความรู้ความสามารถแล้ว อีกหนึ่งสิ่งซึ่งเป็นแนวนโยบายหาเสียงมาโดยตลอดของแนวร่วมฝ่ายซ้ายคือ “หยุดการทุจริตและการเมืองแบบเครือญาติ ต้องเริ่มที่ศรีลังกาต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ให้สิทธิและอำนาจไปอยู่ในมือประชาชนให้มากกว่านี้” แคมเปญหาเสียงนี้ถือเป็นนโยบายหลักสำคัญในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา เป้าหมายสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่แนวร่วมจะทำในเวลาต่อมาหลังได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นคงหนีไม่พ้นการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้ทำได้
เหตุเพราะนี่ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่ศรีลังกาปฏิรูประบบการเลือกตั้งในปี 1977 ที่พรรคการเมืองพรรคเดียวสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้มากถึง 2 ใน 3 โดยไม่ต้องพึ่งพาพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังได้รับชัยชนะตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย ซึ่งนั่นทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงพรรคร่วม อย่างไรก็ตาม การได้รับคะแนนเสียงที่มากเช่นนี้ ประธานาธิบดีอนุราเองก็ออกมาเตือนตนเองต่อหน้าประชาชนในช่วงงานแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า “เราต้องแน่ใจว่าอำนาจอันเบ็ดเสร็จนี้จะไม่ทำให้เรากระทำการทุจริตอย่างเบ็ดเสร็จ”
การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือโครงสร้างในภาพรวมของประเทศศรีลังกาจึงคือความหวังที่แนวร่วมฝ่ายซ้ายมอบให้ชาวศรีลังกา ที่วันนี้ตกลงร่วมกันแล้วว่าศรีลังกาอยู่แบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะศรีลังกายังมีความท้าทายทางเศรษฐกิจรออยู่ และยังถูกกรอบของ IMF จำกัดการใช้จ่ายจากการขอรับเงินช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันสถานการณ์ภายนอกประเทศก็มีความผันผวน มีการแข่งขันกันที่รุนแรงมากขึ้นทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งการเมืองแบบเก่าคงไม่ตอบโจทย์สถานการณ์เหล่านี้ นี่ยังไม่นับรวมการแข่งขันระหว่างจีนและอินเดียในเอเชียใต้ที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลใหม่กับแนวนโยบายต่างประเทศท่ามกลางการแข่งขันของอินเดีย-จีน ในเอเชียใต้
การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองแบบพลิกฝ่ามือของศรีลังกาไม่ได้นำมาซึ่งคำถามต่อระบบต่างๆ แค่ภายในศรีลังกาเท่านั้น แต่นั่นยังรวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับประเทศภายนอกด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อใครหลายคนนึกถึงแนวคิดคอมมิวนิสต์ ก็คงเชื่อมโยงไปถึงประเทศจีน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกที่ยังคงสมาทานแนวคิดคอมมิวนิสต์ นั่นส่งผลให้หลายคนคิดว่าศรีลังกาคงมีทิศทางนโยบายมุ่งเข้าหาจีนด้วยอุดมการณ์ที่คล้ายกัน แต่คำตอบนี้อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้จะขึ้นชื่อว่าคอมมิวนิสต์ แต่ก็มีแนวคิดเบื้องหลังที่ไม่ตรงกันเสียทีเดียว เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ศรีลังกาสมาทานและเชื่อตามแบบมาร์กซิส-เลนิน ในขณะที่คอมมิวนิสต์แบบจีนก็เดินไปอีกทาง ซึ่งก็มีความต่างกันอยู่
แต่เหนือสิ่งอื่นใด อุดมการณ์ไม่ใช่ตัวแปรหลักสำคัญอะไรนักที่จะบอกว่าชาติใดจะมีความสัมพันธ์แบบใดกับใคร เพราะสุดท้ายทุกประเทศก็จะยืนอยู่บนหลักผลประโยชน์แห่งชาติมาก่อนเสมอ ภายใต้สถานการณ์แรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศเช่นนี้ นักวิเคราะห์เอเชียใต้และผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาศรีลังกามองว่า ศรีลังกาจะมีการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายต่างประเทศแบบเน้นสมดุลมากยิ่งขึ้น เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเดินหน้าเปิดการเจรจากับอินเดียเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลังก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศไม่ค่อยดีนัก ดังเช่นการเดินทางเยือนศรีลังกาของรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้หลายโครงการลงทุนของอินเดียที่ถูกพับไปก่อนหน้า ถูกนำกลับมาพิจารณาใหม่
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เองก็มองว่าการปรับนโยบายแบบสมดุล อาจยังต้องใช้เวลาเพราะข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจของศรีลังกาในปัจจุบันยังคงชี้ว่า เศรษฐกิจศรีลังกายังคงพึ่งพาจีนอยู่มาก นั่นทำให้ศรีลังกาต้องรักษาสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีกับจีนต่อไป รวมถึงพยายามต่อรองกับรัฐบาลจีนเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น เพื่อขอผ่อนผันเรื่องหนี้สิน และขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในช่วงที่ศรีลังกายังคงเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงถูกกรอบการขอรับเงินกู้ยืมจาก IMF จำกัดการใช้จ่ายในบางประเภท
ฉะนั้นแนวทางการต่างประเทศข้างต้นนี้คงอยู่ในกรอบของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลแนวร่วมฝ่ายซ้ายไปอีกนานพอสมควรจนกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่กำหนดการเดินทางเยือนต่างประเทศของประธานาธิบดีคนใหม่ของศรีลังกา ประเทศแรกจะเป็นอินเดีย และประเทศที่สองคือจีน ซึ่งนี่ก็คือภาพสะท้อนที่ดีของนโยบายต่างประเทศของศรีลังกาภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์