จากบทความที่แล้วที่ได้พูดถึงประวัติของประธานาธิบดีแห่งนิการากัว แดเนียล ออร์เตกา (Daniel Ortega) ตั้งแต่สมัยวัยเด็ก จนกลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศในปี 1979-1990 บทความครั้งนี้จะนำเสนอบทบาทการเป็นประธานาธิบดีของเขาอีกครั้งหนึ่งระหว่างปี 2007 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในช่วงเวลานี้ออร์เตกาค่อยๆ เปลี่ยนจากการเป็นนักปฏิวัติกลายมาเป็นผู้นำเผด็จการ โดยเขาได้ยึดเอาอำนาจทั้งของรัฐบาล สถาบันราชการ กองทัพ และตำรวจมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อความเป็นประชาธิปไตยของนิการากัว ขณะเดียวกันสื่อตะวันตกได้มีการวิเคราะห์ว่าการที่ออร์เตก้ารวบอำนาจนั้นทำให้การถ่วงดุลทางประชาธิปไตยหายไป ไม่มีองค์กรไหนสามารถคัดง้างอำนาจของเขาได้ เขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็นผู้นำเผด็จการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ออร์เตก้าชนะการเลือกตั้งในปี 2006 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 38 ของผู้มาลงคะแนนทั่วประเทศโดยคู่แข่งคนสำคัญของเขาคือฮาร์ตี เลวิซ ซึ่งมีเชื้อสายยิว ทำให้ถูกออร์เตก้าโจมตีตลอดเวลา อย่างไรก็ตามฮาร์ตีได้เสียชีวิตลงก่อนหน้าการเลือกตั้งไม่นานจากการป่วยไข้ของเขา ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ออร์เตกาหาเสียงว่าจะนำสันติสุขกลับคืนสู่นิการากัว ขณะเดียวกันเขาได้เลือก ไฮเม มอราเลส คาราโส ซึ่งเคยเป็นผู้นำกลุ่มกบฏคอนทรา ให้เป็นคู่หูของเขาลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
สภาพเศรษฐกิจที่มีปัญหาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2010 ที่ส่งผลอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ทำให้ออร์เตกาโจมตีระบอบทุนนิยมว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาดังกล่าว และเขายังได้พูดว่าพระเจ้าได้ลงโทษสหรัฐอเมริกาที่พยายามจะเข้าไปมีบทบาททางเศรษฐกิจแทรกแซงประเทศที่ยากจน
หลังเป็นประธานาธิบดีมาแล้วสองสมัยจากการเลือกตั้งปี 1984 และ 2006 ออร์เตกาต้องการจะสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งใน ปี 2011 แต่รัฐธรรมนูญห้ามการเป็นประธานาธิบดีเกินกว่าสองสมัย ต่อมาออร์เตก้าได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลจาซีราว่าเขาต้องการเป็นประธานาธิบดีอีก ก่อนที่เขาจะแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญ จนท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการอนุญาตให้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก และชนะด้วยคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 63
หลังจากนั้นในปี 2014 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอนุญาตให้สามารถเป็นประธานาธิบดีกี่สมัยก็ได้ โดยแต่ละสมัยเป็นได้ห้าปี ฝ่ายที่สนับสนุนการแก้ไขดังกล่าวได้อ้างว่าจะทำให้การเมืองของนิการากัวมีเสถียรภาพ สามารถแก้ไขความขัดแย้งในระยะยาวได้ ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองว่าเป็นการทำลายกติกาและระเบียบของการเป็นประชาธิปไตย นอกจากนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ยังให้อำนาจประธานาธิบดีในการแต่งนายพลทั้งที่เป็นทหารหรือตำรวจอีกด้วย
ในปี 2016 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง ออร์เตกาได้คุมสื่อเกือบทั้งหมด โดยเขาคุมเองไปสี่สื่อจากที่มีทั้งหมดเก้าสื่อ ขณะเดียวกันในห้าสื่อที่เหลือนั้นเป็นของนักลงทุนชาวเม็กซิกัน อังเคิล กอนซาเลส ไปแล้วเสียสี่สื่อ ซึ่งกอนซาเลสนั้นได้ให้การสนับสนุนออร์เตกาอยู่ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ออร์เตกาได้เลือกภรรยาของเขา โรซาริโอ มูริลโญ ให้ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีอีกด้วย ก่อนที่ทั้งคู่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 72.4 โดยมีประชาชนมาลงคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 68 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายค้านได้โจมตีออร์เตกาว่าโกงการเลือกตั้ง และสื่อต่างประเทศได้ถูกห้ามเข้าไปทำข่าวการเลือกตั้งในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ของสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษนั้นมองว่าออร์เตกาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสายตาของชาวนิการากัวในขณะนั้น เนื่องมาจากการที่เขาได้สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจและลดปัญหาอาชญากรรม และเมื่อเทียบกันกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นเอลซัลวาดอร์หรือฮอนดูรัส เศรษฐกิจของนิการากัวก็มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุดในอเมริกากลาง

ที่มา: Ismael Francisco/ Cubadebate / Flickr
ในเดือนเมษายน 2018 นักศึกษาได้เดินขบวนประท้วงในเรื่องการรักษาทรัพยากรของประเทศ การตัดสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการขึ้นภาษีรายได้ การเดินขบวนได้ขยายจนเกิดเป็นความรุนแรง ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางเข้าใส่กลุ่มนักศึกษาที่ปราศจากอาวุธ ขณะเดียวกันกลุ่มยุวชนของขบวนการซานดินิสตาที่ให้การสนับสนุนประธานาธิบดีออร์เตกาก็ได้ออกมาทำร้ายนักศึกษาอีกด้วย โดยมีนักศึกษาถูกสังหารในครั้งนี้เป็นสิบๆ คน ถึงแม้ว่าจะมีการระงับการบังคับใช้นโยบายของรัฐที่กล่าวไว้เบื้องต้น แต่นักศึกษาก็ยังไม่พอใจ พวกเขาได้เรียกร้องให้ออร์เตกาและรัฐบาลของเขาลาออก
ต่อมาในวันที่ 30 พฤษภาคม 2018 ซึ่งเป็นวันแม่ของประเทศ ประชาชนกว่า 300,000 คนได้เดินขบวนเพื่อยกย่องต่อแม่ผู้สูญเสียลูกของตัวเองไปในเหตุการณ์เดือนเมษายน อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้สั่งการให้มีการควบคุมการเดินขบวนในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการปะทะกัน มีผู้เสียชีวิตถึง 16 ราย และ 88 รายได้รับบาดเจ็บ
สำหรับนโยบายต่างประเทศในสมัยรัฐบาลออร์เตกานั้น นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ออร์เตกาได้เดินทางไปเยือนอิหร่านโดยได้เข้าพบประธานาธิบดีอิหร่านในขณะนั้น ออร์เตกาได้เปรียบเทียบการปฏิวัติในทั้งสองประเทศว่ามีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เพราะทั้งสองประเทศได้ต่อต้านการครอบงำของประเทศโลกตะวันตก
ต่อมาเมื่อรัฐบาลโคลอมเบียได้เข้าไปโจมตีกบฏฝ่ายซ้ายของประเทศโดยรุกล้ำพรมแดนเข้าไปในเขตประเทศเอกวาดอร์ ก่อให้เกิดความตึงเครียดเกิดขึ้นในภูมิภาค ออร์เตกาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับโคลอมเบีย โดยเขาได้กล่าวไว้ว่าถึงแม้เขาจะให้การสนับสนุนเอกวาดอร์ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจชาวโคลอมเบีย แต่เขาได้ต่อต้านรัฐบาลของโคลอมเบียภายใต้การนำของประธานาธิบดีอัลวาโร อูริเบ ก่อนที่ต่อมาอีกไม่นานความตึงเครียดในภูมิภาคก็ได้ลดลงโดยมีบราซิลเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
อย่างไรก็ตามในวันที่ 25 พฤษภาคม 2008 ออร์เตกาได้แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของมานูเอล มารูแลนดา ผู้นำกบฏฝ่ายซ้ายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศโคลอมเบีย เขาได้กล่าวว่ามารูแลนดานั้นต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมในโคลอมเบีย การกระทำครั้งนี้ของออร์เตก้าได้รับการประท้วงจากรัฐบาลโคลอมเบียรวมถึงสร้างความไม่พอใจให้กับชาวโคลอมเบียเป็นอันมาก นอกจากนี้ออร์เตกายังออกมาขู่ว่านิการากัวอาจจะตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันและหันมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนแทน แต่ออร์เตกาก็ไม่ได้ทำจริง เขาได้พูดในเวลาต่อมาว่าเขาไม่ยอมรับนโยบายจีนเดียวของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่แล้วด้วยอิทธิพลทางเศรษฐกิจในปี 2021 นิการากัวก็ได้หันมารับรองรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในเดือนกันยายน 2010 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่า นิการากัว ฮอนดูรัส และคอสตาริกา กลายเป็นศูนย์กลางการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศในอเมริกาใต้เข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ออร์เตกาได้เรียกร้องให้รัฐสภาอเมริกันและรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ช่วยสนับสนุนทางการเงินแก่นิการากัวเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น
รัฐบาลของออร์เตกาในสมัยที่สองนี้ได้รับการวิจารณ์จากนานาชาติว่ามีความเป็นเผด็จการมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2018 เป็นตัววัดความเป็นเผด็จการของเขา ขณะเดียวกันลูกๆ ของออร์เตกาก็ได้เข้าไปควบคุมในกิจการของรัฐต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นกิจการลำเลียงน้ำมัน กิจการปั๊มน้ำมัน รวมถึงการครอบงำสื่อต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2021 รัฐบาลของออร์เตกาได้เข้าจับกุมผู้นำฝ่ายตรงข้ามเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงสูงถึงร้อยละ 75.9
กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าตัวของออร์เตกานั้นได้เปลี่ยนจากนักปฏิวัติที่ต่อสู้เพื่อประชาชนกลายมาเป็นเผด็จการที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นผู้นำในลาตินอเมริกาที่ครองอำนาจยาวนานที่สุด จะเป็นรองก็แค่ฟิเดล คาสโตรแห่งคิวบาเท่านั้นเอง