ถึงเวลา ‘มือเก่า’ กลับมากู้ศรัทธาเพื่อไทยให้เหมือนก่อน กับ พงศ์เทพ เทพกาญจนา

พงศ์เทพ เทพกาญจนา

คลื่นที่กระหน่ำเส้นทางของพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งปี 2566 ไม่ได้มีเพียงความขัดแย้งทางการเมืองที่หยั่งรากลึก วิกฤตเศรษฐกิจเรื้อรัง หรือภัยธรรมชาติที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง แต่ยังรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่ลดน้อยถอยลง ไม่เหมือนครั้งที่ความนิยมของพรรคไทยรักไทยยังเป็นที่ประจักษ์จนอาจกล่าวได้ว่า ‘วิกฤตศรัทธาเกิดแล้วกู้ยาก’

นอกจากนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจากพรรคเพื่อไทยที่ต้องรับมือคำวิพากษ์วิจารณ์หลากกระแสนับแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง จะเลือกหยิบยืมพลังของ ‘มือเก่า’ ทั้งในแวดวงการเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ และวิชาการ กลับมาเร่งเครื่องกู้วิกฤตศรัทธาพรรคเพื่อไทย ผ่านการสร้างผลงานให้ประชาชน ‘มีกิน มีใช้ มีศักดิ์ศรี’ อย่างแท้จริง ในนาม ‘คณะที่ปรึกษานโยบาย’ ไม่ว่าจะเป็นพันศักดิ์ วิญญรัตน์, สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, ศุภวุฒิ สายเชื้อ, ธงทอง จันทรางศุ หรือพงศ์เทพ เทพกาญจนา

101 ชวนสำรวจมุมมองและคมความคิดของ พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ถึงศึกหนักที่พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญ ตลอดจนก้าวต่อไปที่ตอบโจทย์ในสายตาเหล่าที่ปรึกษามือเก่าเก๋าเกม ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การบรรเทาปัญหาปากท้อง และการผลักดันนโยบายสุดท้าทายเพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.342 – โจทย์ใหญ่ท้าทายรัฐบาล กับ พงศ์เทพ เทพกาญจนา ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2567 ดำเนินรายการโดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์

YouTube video

ความหวังและหน้าที่ของ ‘ที่ปรึกษานโยบาย’

พงศ์เทพกล่าวว่าการตัดสินใจกลับเข้าสู่สนามการเมืองของเขานั้นไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ใช้เวลานานเลย เพราะขณะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เขาได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างชัดเจนว่าจะไม่ไปสังกัดพรรคอื่นใด เพียงแต่ต้องการวางมือจากการเมืองเท่านั้น

“ผมอยู่ในแวดวงนี้มาตั้งแต่ปี 2538 แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะทำให้การทำงานทางการเมืองสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ก็นับว่าอยู่มาเป็นเวลานานพอสมควร เลยคิดว่าจะหยุดและให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือกันบ้าง”

พงศ์เทพยังแสดงความจริงใจด้วยการร่วมผลักดันและให้ความช่วยเหลือเพื่อการดำเนินนโยบายของพรรคเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปร่วมทำงานในคณะกรรมการศึกษาทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน หรือการเข้าไปทำงานในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม พงศ์เทพไม่เห็นว่าการเป็นที่ปรึกษานโยบายนั้นเป็นการ ‘เล่นการเมือง’ อย่างเต็มตัว

“การเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ นี้ ผมไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นข้าราชการเมือง ไม่มีเงินเดือน เบี้ยประชุมก็ไม่ทราบว่ามีไหมและไม่ได้สนใจด้วย เพียงแต่เห็นว่าหากได้เสนอแนะอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และรัฐบาลเห็นว่าดีแล้วรับไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย รวมถึงตัวเราเอง”

นอกจากนี้ขณะที่เขาถูกทาบทามและได้ฟังรายชื่อสมาชิกคณะที่ปรึกษานโยบาย พงศ์เทพยังเห็นว่าตนคุ้นเคยกับคนเหล่านี้มานาน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานทางการเมือง การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 หรือความสนใจต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของอีกฝ่าย โดยคณะที่ปรึกษานี้มีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้

1. วิเคราะห์และศึกษาโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาเสนอแนะแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านนโยบายของรัฐบาล

2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม

3. สามารถให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ชี้แจงแสดงความคิดเห็น ส่งเอกสาร ให้ข้อมูล หรือดำเนินการอื่นที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี

4. ปฏิบัติงานอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

สำหรับคำว่า ‘โอกาสในการพัฒนาประเทศ’ นั้น พงศ์เทพอธิบายว่าเป็นการวิเคราะห์ว่าประเทศไทยควรมุ่งหน้าไปทางไหน มีจุดแข็งอะไร และต้องการเป็นประเทศแบบใด “ที่เราเห็นว่าไปได้คือ ‘การเป็นเมืองท่องเที่ยว’ ไทยเรามีคนมาเที่ยว มาชื่นชมเยอะ ขณะเดียวกันก็มีพื้นฐานที่ถือว่าใช้ได้ในการทำเกษตร เป็นอู่ข้าวอู่น้ำมานาน แม้ว่าเกษตรกรรมจะไม่ทำให้ผู้ทำเกษตรมีรายได้มากเท่าที่ควร แต่เรามีคนในภาคเกษตรกรรมกว่าสิบล้านคน โดยในอนาคตอาหารจะยังเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้คนทั่วโลก เราต้องทำให้ภาคเกษตรกรรมของไทยแข็งแกร่ง” พงศ์เทพกล่าว

ทั้งนี้ พงศ์เทพยังสนใจประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาวะของประชากรไทยผ่านการพัฒนาคุณภาพอากาศและคุณภาพอาหาร

“เราจะทำอย่างไรให้เกิดความมั่นใจในอากาศและอาหารที่เรามี ทำอย่างไรให้มีระบบที่ทำให้อาหารและวัตถุดิบประกอบอาหารที่จำหน่ายอยู่สะอาดและปลอดภัย ไม่ว่าในร้านเล็กหรือร้านใหญ่ มีอะไรเยอะแยะให้ทำและให้คิด”

การผลักดันทั้งหมดนี้จะเริ่มต้นด้วยการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชี้แจง ตลอดจนให้ข้อมูลกับคณะที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงสอดคล้องกับที่ข้อมูลตั้งต้นที่คณะที่ปรึกษามีหรือไม่ ก่อนจะกำหนดแนวทางดำเนินนโยบายต่อไป โดยสำหรับการ ‘ปฏิบัติงานอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย’ นั้น พงศ์เทพระบุว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้มอบหมายงานใด

ผสานมุมมองคนต่างวัย สู่การ ‘มีกิน มีใช้ มีศักดิ์ศรี’

เมื่อถามถึงเหตุผลที่คณะที่ปรึกษานโยบายชุดนี้จึงมีอายุระหว่าง 60-70 ปี ทั้งที่นายกรัฐมนตรีอายุเพียง 38 ปี ช่องว่างระหว่างวัยดังกล่าวจะประสบปัญหาของการสื่อสารหรือไม่ พงศ์เทพยืนยันว่าการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาอายุเท่านี้ไม่แปลกอะไร

“นายกฯ มีมุมมองของคนอายุสามสิบเศษอยู่แล้ว และมีคณะทำงานรวมถึงรัฐมนตรีที่อายุ 30-40 ปี หรือ 40 ต้นๆ เสียเยอะ เพราะฉะนั้นการจะแต่งตั้งที่ปรึกษาอายุมากหน่อยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

ทั้งนี้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า คณะที่ปรึกษามือเก่าเหล่านี้ได้รับคัดเลือกเพราะเป็นผู้ที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไว้เนื้อเชื่อใจหรือไม่ พงศ์เทพปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าว

“อาจารย์ธงทองเองก็ไม่ได้ทำงานในรัฐบาลทักษิณนะครับ อาจารย์สอนอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาโอนไปทำงานในกระทรวงยุติธรรม และเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ศุภวุฒิเองก็ไม่เคยทำให้งานให้นายกทักษิณ คนที่เคยจะมีพันศักดิ์ สุรพงษ์ และผม”

นอกจากนี้ เขายังมั่นใจว่าแม้ต้องเผชิญประเด็นท้าทายในยุคใหม่ คณะที่ปรึกษานโยบายชุดนี้ก็สามารถให้คำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินนโยบายอย่างตรงจุดตามสัญญาและตอบโจทย์ของประชาชนได้

“ถ้าเป็นความสามารถของผมเองให้คนอื่นพูดดีกว่า แต่หมอเลี้ยบ (สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) พันศักดิ์ และอาจารย์ธงทองไม่ใช่คนตกยุคนะ พันศักดิ์นี่สมัยรัฐบาลชาติชายนับว่าก้าวล้ำเสียด้วยซ้ำ [นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า] OTOP (หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์) ก็ใช่ เขาไปดูงานที่โออิตะ ประเทศญี่ปุ่น และเห็นว่าดีเลยนำมาปรับใช้ คนพวกนี้เป็นคนล้ำยุคแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาไม่ได้อยู่นิ่ง คิดอยู่เสมอ”

สำหรับการแบ่งหน้าที่เพื่อให้คำปรึกษาด้านนโยบายตามความเชี่ยวชาญนั้น พงศ์เทพกล่าวว่าไม่มีการแบ่งแยกอย่างตายตัว แต่จะนำข้อมูลเงื่อนไขในการขับเคลื่อนนโยบายมาพิจารณาร่วมกัน โดยอาจมีประเด็นที่เขาและธงทอง จันทรางศุ ต้องร่วมกันพิจารณาเป็นพิเศษ นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับกฎหมาย

“เดี๋ยวนี้การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ มีลักษณะหยุมหยิม นักร้องก็เยอะ รัฐบาลสมัยนี้ก็ต้องรอบคอบเป็นพิเศษ เพราะเรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ไม่มีใครเคยถือเป็นเรื่องใหญ่ก็กลับมีการหยิบยกขึ้นมา เป็นปัญหาให้การทำงานของรัฐบาลสมัยนี้ไม่รวดเร็ว”

อย่างไรก็ตาม นโยบายกลุ่มหลักที่จะได้รับการพิจารณาก่อนคือ นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงการขจัดปัญหายาเสพติดที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยในหลายพื้นที่ และมีประชาชนร้องเรียนมากระหว่างการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร

“อีกกรณีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมานานคือ ‘ราคาพลังงาน’ บางเรื่องอาจลำบากเกินกว่าจะเข้าไปควบคุมได้มากมาย แต่เราทำให้ราคาพลังงานไม่สูงแบบนี้ตลอดไปได้ และเป็นส่วนที่ต้องร่วมกันคิดหาวิธี

“ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยก็มีพลังงานหมุนเวียนเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีประมาณการการใช้ไฟฟ้าด้วย สมัยก่อนโรงไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าตอนไหนก็ได้ แต่พลังงานสะอาดนั้นไม่ใช่ สมมติเป็นพลังงานจากแสงอาทิตย์ก็ต้องผลิตเฉพาะเวลากลางวัน จะใช้ในเวลากลางคืนก็ต้องใช้แบตเตอรี ซึ่งการผลิตดังกล่าวก็มีต้นทุน หรือหากจะอาศัยพลังงานลม บ้านเราก็ลมเพลมพัด ไม่สม่ำเสมอและไม่แรงมาก”

เมื่อชวนสำรวจถึงแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ 20 ปี (2561-2580) ที่เป็นมรดกตกทอดจากรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พงศ์เทพยอมรับว่าโครงสร้างเหล่านี้ยังคาอยู่ในกระบวนการดำเนินงานของรัฐบาลเพื่อไทย เนื่องจากทรัพยากรในการขับเคลื่อนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณและทรัพยากรมนุษย์นั้นมีจำกัดและต้องทุ่มเททรัพยากรเหล่านั้นเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งที่ประชาชนและรัฐบาลในสมัยต่อมาเห็นว่าได้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย

“ยุทธศาสตร์ชาตินี้มีคนพูดมานานแล้วว่าไม่มีเหตุผล และทำให้คณะผู้ยึดอำนาจได้ปูเส้นทางให้ประเทศไทยว่าต้องไปทางใดทางหนึ่ง เพราะจะไปทางอื่นก็มีปัญหาอีก ต้องไปลงเอยที่ศาลรัฐธรรมนูญ

“คือไม่มีเหตุผลอะไรให้มีอยู่ต่อไปเลย ถ้ายุทธศาสตร์ไหนใช้ได้ดีก็ไม่มีปัญหา แต่อันไหนพ้นสมัยไม่ได้เรื่อง ก็ต้องเลิก” พงศ์เทพอธิบาย

ว่าด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ที่ยัง ‘แก้ไม่ตก’

เมื่อกล่าวถึงการชำระมรดกตกทอดจากสมัยคสช. ย่อมเลี่ยงไม่พ้นต่อการกล่าวถึงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยรัฐธรรมนูญแห่งความหวังนี้จะเข้ามาแทนที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความชอบธรรมเพราะมีคณะรัฐประหารเป็นต้นธาร การรณรงค์ให้รับร่างรัฐธรรมนูญเพียงฝ่ายเดียว หรือคำถามประชามติที่กำกวม ยังไม่นับสมาชิกองค์กรอิสระที่ขาดความยึดโยงกับประชาชนและมาจากการแต่งตั้งเป็นส่วนใหญ่ โดยผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาชุดที่มาจากการแต่งตั้งของคสช.

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับเจ้าปัญหานี้ยังทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ โดยการลงโทษผู้ดำรงทางการเมืองนั้นถูกกำหนดด้วย ‘มาตรฐานจริยธรรม’ ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนหรือผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด ทั้งยังดูจะกลายเป็นเครื่องมือกำจัดคู่แข่งทางการเมืองมากกว่ามาตรการปราบทุจริต

“ผมคิดว่ารัฐบาลก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้มีการยกร่างฉบับใหม่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนมากกว่าฉบับปี 2560 ที่ร่างโดยผู้ที่คณะผู้ยึดอำนาจแต่งตั้งมา และชัดเจนว่าต้องการให้คนเหล่านั้น (คณะรัฐประหาร) สามารถสืบทอดอำนาจได้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นการให้ยกร่างฉบับใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมย่อมดีกว่า และประชาชนส่วนใหญ่ก็เห็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่ากระบวนการยกร่างที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ระบุไว้บวกกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องอาศัยเวลามากอยู่

“ระหว่างนี้อาจสมควรแก้ไขบางมาตราไปก่อน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งคณะรัฐมนตรีและผู้แทนราษฎรเสนอได้และมีการเสนออยู่” พงศ์เทพตอบ

อย่างไรก็ตาม นับแต่เดือนมีนาคม วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่ได้บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ของพรรคเพื่อไทยที่มีชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นแกนนำ และร่างของพรรคก้าวไกล (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยคณะกรรมการประสานงานและเสนอความเห็นเพื่อประกอบการวินิจฉัยของประธานสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่ใช่ร่างแก้ไขเพิ่มเติม จึงไม่สามารถบรรจุระเบียบวาระได้

“ตอนนั้น (ปลายเดือนมีนาคม) ชูศักดิ์เลยเสนอญัตติเข้าที่ประชุมสภา เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ปรากฏว่าศาลไม่วินิจฉัย กลับบอกว่าไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ปัญหาอยู่ที่ประธานสภาไม่บรรจุวาระ ทั้งที่จริงๆ ชูศักดิ์ก็เขียนชัดเจนในญัตติว่าการไม่บรรจุระเบียบวาระนี้ทำให้รัฐสภาไม่มีโอกาสพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเขา”

เมื่อถามถึงกระบวนการต่อไปของพรรคเพื่อไทยเพื่อปลดล็อกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ดังคำสัญญาระหว่างการหาเสียง พงศ์เทพกล่าวถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพื่อแก้ไขเนื้อหาพระราชบัญญัติเดียวกันฉบับปี 2564 (พ.ร.บ.ประชามติฯ) ผ่านการยกเลิก ‘เสียงข้างมากสองชั้น’ (Double Majority) กล่าวคือ การประชามติครั้งนั้นต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติเกินครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และต้องมีผลการออกเสียงประชามติเกินครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ซึ่งพงศ์เทพเห็นว่าเงื่อนไขหลังนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะประชาชนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยกับการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่การมีผู้มาใช้สิทธิเกินครึ่งหนึ่งนั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการออกเสียงประชามติไม่มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างแข็งขันเหมือนการเลือกตั้งทั่วไป

ร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้จะให้ความสำคัญกับเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นหลัก โดยกำหนดให้มีคะแนนมากกว่าคะแนนไม่แสดงความเห็นเท่านั้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้ทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อประหยัดงบประมาณ โดยพงศ์เทพระบุว่าการทำประชามติแต่ละครั้งใช้งบประมาณกว่าสามพันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ความหวังของการเริ่มต้นก้าวแรกของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อาจดูไม่สดใสนัก เพราะแม้สภาผู้แทนราษฎรจะมีมติผ่านร่างดังกล่าวในเดือนสิงหาคม แต่วุฒิสภาปัดตกร่างนี้ในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา บทความข่าวของบีบีซีไทยระบุว่า “หากวุฒิสภามีมติไม่เห็นด้วยกับร่างที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว จะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ใช้เวลาอีก 60 วัน นั่นทำให้การทำประชามติครั้งแรกไม่ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จไม่ทันอายุของรัฐบาลชุดนี้”

โดยการประมือกับวุฒิสภาไม่ใช่ความท้าทายเดียวของพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะรัฐประหาร แต่ยังรวมถึงความไม่ลงรอยในรายละเอียดการแก้ไขกระทั่งในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล หนึ่งในประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือความพยายามแก้ไขวิธีเอาผิดนักการเมืองที่กระทำผิดจริยธรรมดังระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ‘ฉบับปราบโกง’ ซึ่งพรรคเพื่อไทยนัดหมายแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือในวันที่ 1 ตุลาคม เพื่อหาฉันทามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป

“ไม่เคยมีนะที่จะให้ศาลเป็นผู้ตัดสินจริยธรรม แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นี้ เขียนว่าถ้ามีประเด็นปัญหาทางจริยธรรม เมื่อ ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วให้ศาลฎีกาวินิจฉัยซึ่งประหลาด ไม่มีที่ไหนในโลกที่เขียนให้ศาลฎีกาตัดสินได้กระทั่งตุลาการศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องเลยที่ให้ศาลฎีกามาตัดสินจริยธรรมของคนทั้งหลาย”

โดยพงศ์เทพเห็นว่าอีกแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือกำหนดให้ชัดเจนขึ้นว่าหากนักการเมืองประพฤติผิดแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะความกำกวมในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทำให้การบังคับใช้กฎหมายของศาลมีลักษณะกว้างขวางเกินควร

“ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนี่ ถามว่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index) ของประเทศดีขึ้นหรือเลวลงล่ะ แล้วปัญหาทุจริตในเมืองไทยขณะนี้เปรียบเทียบกับก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้แตกต่างกันไหม ขณะเดียวกันเราก็เห็นๆ อยู่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ปราบโกงไม่ได้หรอก เพราะคนในองค์กรอิสระทั้งหลายมาจากความเห็นชอบของคณะยึดอำนาจ

“ยกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนเราบอกว่านายกฯ ต้องมีที่มาจากผู้แทนราษฎร แต่ฉบับนี้ให้พรรคการเมืองเสนอได้ ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกทำ ถามว่าทำไมต้องทำ เหตุผลง่ายๆ คือมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าคสช. จะลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ ดังนั้นจะให้พวกเขาเป็นนายกฯ ได้ก็ต้องสร้างกติกาพิสดารขึ้นมา นี่คือรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้เขียนขึ้นเพราะเห็นว่ามีผลดีต่อประเทศ แต่เขียนด้วยการคิดว่าจะทำให้ตนกลับมามีอำนาจได้อย่างไร” พงศ์เทพขยายความ

สำหรับประเด็นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้สมาชิกภาพของผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งเดิมกำหนดให้ใช้เสียงข้างมากของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นที่ครหาว่าเป็นเครื่องมือ ‘นิติสงคราม’ ของฝักฝ่ายการเมืองมายาวนานนั้น พงศ์เทพเห็นว่าควรระบุให้ชัดเจนว่าต้องอาศัยเสียงสองในสามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นไป

“ศาลรัฐธรรมนูญมีเก้าคน เสียงเกินกึ่งหนึ่งคือห้า แต่มติด้วยเสียงห้าต่อสี่ถือว่าก้ำกึ่งมาก การจะตัดผู้แทนราษฎรบางคนออกไปควรต้องใช้เสียงหนักแน่นกว่านั้น

 “น้ำท่วมก็ต้องแก้ครับ รัฐบาลก็แก้อยู่ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ เราแก้มาตั้งแต่สมัยก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำ” พงศ์เทพยืนยัน

ถึงเวลาหยุด ‘นักร้อง’ ยับยั้ง ‘นิติสงคราม’

เพราะปัญหาปากท้องรอไม่ได้

นอกจากนี้ พงศ์เทพยังอธิบายว่านิติสงครามในปัจจุบันไม่เพียงส่งผลกระทบต่อนักการเมืองเท่านั้น แต่กลับกัดกินความรู้สึกของประชาชนและศรัทธาในกลไกรัฐสภาด้วย

“ที่ร้อง (เรียน) กันอย่างอุตลุดไปหมดนี่เกิดจากองค์กรผู้บังคับใช้กฎหมายทำให้นักร้องเห็นว่าตัวเองร้องได้ เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ร้องหมด ซึ่งสภาวะทางการเมืองดังกล่างไม่เป็นผลดีไม่ว่าจะต่อรัฐบาลชุดไหน เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา คนก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่ารัฐบาลชุดนี้จะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน กลายเป็นว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นในระบบการเมือง เพราะไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศ”

ทั้งนี้เขาเชื่อว่าเครื่องมือแก้ไขปัญหา ‘นักร้อง’ ที่ดีที่สุด อยู่ในมือองค์กรผู้บังคับใช้กฎหมาย กล่าวคือหากองค์กรเหล่านี้รับเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องไว้ดำเนินการไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด นักร้องก็จะรู้สึกว่าการเรียกร้องของตนเป็นผล นอกจากการออกแบบขั้นตอนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนอย่างรัดกุม พงศ์เทพจึงมุ่งมั่นที่จะผลักดันและทำให้องค์กรอิสระเป็นอิสระอย่างแท้จริงด้วย โดยให้ความสำคัญกับหน่วยงานที่เป็นผู้คัดกรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรเหล่านี้

“ที่เห็นอยู่ก็คือความเป็นกลางของวุฒิสภามีปัญหา แล้ววุฒิสภานี่เองเป็นคนที่กลั่นกรองว่าใครจะได้เป็นกกต., ป.ป.ช. หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”

พงศ์เทพยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องคิดหาวิธีคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรเหล่านี้ ให้เป็นผู้ที่มีความพร้อมและความเหมาะสมอย่างเต็มที่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้นต้องมีที่มาซึ่งยึดโยงกับประชาชนด้วย จึงจะเรียกได้ว่าประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่มีดุลยภาพระหว่างกลไกอำนาจรัฐซึ่งถ่วงดุลกันและกัน กับความสามารถในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

“เฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่นับกฎหมายลูกต่างๆ ผมคิดว่าสมัยของรัฐบาลนี้ซึ่งยังเหลือประมาณสามปีนั้นทันที่จะได้ใช้ แต่ต่อให้มีการยุบสภา การดำเนินงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องดำเนินอยู่ต่อไป”

กระนั้นก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าความเห็นของเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร หลังการปัดตกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติของวุฒิสภา พงศ์เทพทิ้งท้ายด้วยการชี้ว่าโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่มีพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำในอดีต กับรัฐบาลเพื่อไทยทุกวันนี้นั้นแตกต่างกันพอสมควร กล่าวคือพรรคไทยรักไทยก้าวสู่อำนาจหลังจากที่เศรษฐกิจไทยเผชิญต้มยำกุ้งสดๆ ร้อนๆ ซึ่งเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ผู้ได้รับผลกระทบหลักเป็นสถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อประชากรกลุ่มรากหญ้าอย่างเรื้อรังและรุนแรง

“นอกจากนี้ พรรคไทยรักไทยยังเป็นเสียงข้างมากในสภา จึงทำให้พรรคที่มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็ยินยอมให้ดำเนินนโยบายของพรรคไทยรักไทยเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันนี้ที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเสียงเด็ดขาดขนาดนั้น จึงทำให้มีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ก็ต้องอาศัยการผสมผสานนโยบายของพรรคการเมืองหลายพรรค”

อีกทั้งความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีที่ลดน้อยถอยลงตั้งแต่ยุครัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เนื่องจากในปัจจุบันการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีต้องพึ่งพาจำนวนเสียงในสภาน้อยลง รวมถึงยังมีนโยบาย ‘สีเทา’ ที่ท้าทายยิ่งต่อการขับเคลื่อน อาทิ การผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ภายใต้เป้าหมายการนำธุรกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี ซึ่งพงศ์เทพย้ำว่า เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ได้หมายถึงคาสิโนเท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจบันเทิงและบริการหลากหลาย โดยเห็นได้จากสวนสนุกขนาดใหญ่ที่สร้างรายได้ในหลายประเทศ เช่น ดิสนีย์แลนด์ หรือยูนิเวอร์แซลสตูดิโอในสิงคโปร์ และย่านธุรกิจในลาสเวกัสที่ไม่ได้เพียงตอบโจทย์นักพนัน แต่มีความบันเทิงรูปแบบอื่นๆ มากมาย เป็นต้น

“จุดประสงค์คือ พวกเราจะทำอย่างไรให้ดึงนักท่องเที่ยวไว้ในประเทศได้นานๆ นอกจากด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม” พงศ์เทพระบุ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการพัฒนาศักยภาพการเป็นเมืองท่องเที่ยวของไทยที่ตนมีอยู่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโจทย์แหลมคมซึ่งที่ปรึกษานโยบายต้องนำทางนายกรัฐมนตรีให้ก้าวอย่างมั่นคงและระมัดระวังที่สุดต่อไป

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save