มิจฉาชีพในคราบนักบุญ เหยื่อในคราบน้ำตา : ล้วงไส้สแกมเมอร์ที่แสร้งเป็นหน่วยช่วยเหลือเหยื่อคดีออนไลน์

หากคุณตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลวงทางออนไลน์ เพจเฟซบุ๊กใดที่คุณควรติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ ระหว่าง ‘ศูนย์คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือด้านกฎหมายอาชญากรรมออนไลน์’ ‘ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์’ หรือ ‘ศูนย์ปราบปรามและช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์’

คำตอบคือผิดทุกข้อ 

นอกจากโทรมาหลอกว่ามีพัสดุตกค้าง โทรมาหลอกว่ามีบัญชีเงินฝากผิดปกติในต่างจังหวัด และหลอกให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันควบคุมมือถือเพื่อโอนเงิน อีกกลยุทธ์ที่มิจฉาชีพใช้หลอกเอาเงินจากเหยื่อ คือการแสร้งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์บนเฟซบุ๊ก …เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อและหลอกลวงซ้ำอีกครั้ง

มิจฉาชีพมักตีเนียนเป็นหน่วยงานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์บนเฟซบุ๊ก กล่าวคือเปิดรับเรื่องร้องเรียนและอ้างว่าจะดำเนินการเอาเงินคืนให้ โดยมักจะใช้ชื่อและภาพที่ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นหน่วยงานราชการ บางเพจใช้ตรากระทรวงมหาดไทยเป็นรูปโปร์ไฟล์ บางเพจตัดต่อสัญลักษณ์ ‘ติ๊กฟ้า’ (verified) แปะบนรูปโปรไฟล์ ขณะที่บางเพจถึงขั้นตัดต่อรูปอดีตรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ มาแปะกับข้อความทำนองว่า “ผู้ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกเงินสามารถส่งหลักฐานให้ตรวจสอบเพื่อนำเงินคืนได้” 

ปฏิบัติการหลอกลวงนี้ไม่ได้เกิดในที่ลับ แต่มีการ ‘ยิงแอด’ กล่าวคือจ่ายเงินค่าโฆษณาบนเฟซบุ๊กอย่างโฉ่งฉ่างเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้คนเห็นเพจ โดยเฉพาะเหยื่อคดีมิจฉาชีพออนไลน์ที่กำลังสิ้นหวังและต้องการความช่วยเหลือ กลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตำรวจไซเบอร์ยืนยันว่าหน่วยงานราชการไม่รับแจ้งความผ่านเฟซบุ๊กและแชตไลน์ และได้ส่งข้อมูลให้เมตา (Meta) เพื่อขอปิดกั้นนับพันบัญชีต่อวัน แต่ดูเหมือนว่าฝั่งมิจฉาชีพไม่ยอมแพ้ เพราะถึงจะยื่นเรื่องจนเฟซบุ๊กปิดกั้นเพจเดิมอย่างไร เพจใหม่ในลักษณะเดียวกลับผุดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

อย่างไรก็ตาม มิจฉาชีพอาจไม่เนียนขนาดนั้น 101 ชวน ‘ล้วงไส้’ ถอดรหัสและหารูปแบบของเพจมิจฉาชีพที่แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่รูปแบบของการตั้งชื่อ รูปแบบของโปร์ไฟล์ รูปแบบของเนื้อหาที่โพสต์ รูปแบบของการซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊ก และความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเพจมิจฉาชีพเหล่านี้


ล้วงไส้เพจสแกมเมอร์


มูลค่าความเสียหายของการหลอกลวงออนไลน์ปี 2023 อยู่ที่ 49,845 ล้านบาท และในปีเดียวกันมีสถิติด้วยว่าประเทศไทยสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกออนไลน์สูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยมูลค่าที่ถูกหลอกคิดเป็น 3.1% ของ GDP ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามิจฉาชีพออนไลน์คือปัญหาสำคัญของประเทศ

มิจฉาชีพที่แสร้งเป็นหน่วยงานช่วยเหยื่อบนเฟซบุ๊กคือส่วนหนึ่งของปัญหา เพื่อถอดรหัสอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้า ผู้เขียนตั้งต้นโดยการค้นหาเพจด้วยคีย์เวิร์ด ‘ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อออนไลน์’ ‘ช่วยเหยื่อออนไลน์’ และ ‘เหยื่ออาชญากรรมออนไลน์’ จากนั้นจึงสุ่มเลือก 10 เพจที่น่าสงสัย และทำการตรวจสอบชื่อ โปร์ไฟล์ เนื้อหา โฆษณา รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพจเหล่านี้ (เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2024) 

แน่นอน ทุกเพจไม่มีเครื่องหมายติ๊กฟ้า (verified) และปัจจุบัน 10 เพจข้างต้นหายไปจากเฟซบุ๊กแล้วทั้งสิ้น เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะระหว่างรวบรวมข้อมูล พบว่าเพจน่าสงสัยเหล่านี้มักหายไปอย่างรวดเร็ว อย่างข้อมูลของเพจที่เพิ่งสร้างในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน เมื่อเข้าไปดูอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนกันยายนก็พบว่าเพจปลิวไปหมดแล้ว 

แต่ถึงจะปิดเยอะแค่ไหน เพจลักษณะนี้ก็เกิดใหม่เรื่อยๆ อยู่ดี …ใช้คำว่าตายสิบเกิดแสนอาจไม่เกินจริง

ผู้เขียนขอไม่พิรี้พิไรไปมากกว่านี้ ชวนสำรวจและจับโป๊ะเพจเหล่านี้กันดีกว่า


บทสนทนา


หลายคนคงอยากรู้ว่าเพจเหล่านี้คุยกับเหยื่อที่ต้องการความช่วยอย่างไร 

ผู้เขียนปลอมตัวเป็นเหยื่อและทักแชตเพื่อขอความช่วยเหลือ ปรากฏว่าเพจจำนวนหนึ่งมีรูปแบบการตอบกลับคล้ายคลึงกัน กล่าวคือสอบถามข้อมูลการโดนหลอกของเหยื่อ สอบถามจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลส่วนตัว สลิปหลักฐานการโอนเงิน ประวัติการพูดคุยกับมิจฉาชีพ เป็นต้น 

จากนั้น เพจจะส่งข้อความให้เพิ่มเพื่อนบนแอปพลิเคชันไลน์ (line) โดยอ้างว่าเพื่อพูดคุยและส่งหลักฐานแก่บุคคลที่อ้างว่าเป็นทนาย ซึ่งข้อความระบุว่า “ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีออนไลน์สามารถแจ้งร้องทุกข์หรือปรึกษาติดต่อทางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานได้ที่ …” และ “แอดไปหาท่านแล้วแจ้งหลักฐานที่มีทั้งหมด ปรึกษาได้เลยครับ ท่านจะได้เร่งตรวจสอบให้ความช่วยเหลือครับ”

เมื่อผู้เขียนทดลองเพิ่มเพื่อนบนไลน์ ก็พบว่าบัญชีนั้นๆ อ้างตัวว่าเป็นทนายหญิงชื่อ ‘ชนาธินาถ’ ที่ก็มีรูปแบบบทสนทนาเดียวกัน กล่าวคือขอข้อมูลและหลักฐานการโดนหลอก ทั้งยังอ้างว่าสามารถช่วยเหลือเหยื่อด้วย “วิธีของเจ้าหน้าที่” 

น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่สามารถคุยจนเห็นผลลัพธ์หลังจบบทสนทนา (ไม่อย่างนั้นก็ต้องเสียเงินน่ะสิ!) สำหรับใครที่สงสัยว่ากระบวนการโดนหลอกซ้ำเป็นอย่างไร เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยระบุว่าเพจปลอมลักษณะนี้มักชวนเหยื่อให้เพิ่มเพื่อนบัญชีไลน์เพื่อปรึกษาทนายความ จากนั้นทนายความจะอ้างว่าสามารถติดตามเร่งรัดคดีได้ แต่ต้อง ‘โอนค่าทนาย’ จึงจะได้รับความช่วยเหลือ พอเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปก็มักจะถูกตัดขาดการติดต่อ 


การตั้งชื่อ


ต้องยอมรับเพจเหล่านี้มีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ชื่อและมีความสามารถในการผสมชุดคำที่เกี่ยวข้องกับเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ให้เข้ากับชุดคำที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการไทย ถึงขั้นที่หากกวาดสายตาอ่านผ่านๆ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นเฟซบุ๊กของหน่วยงานรัฐได้ 

เมื่อลองแยกคำในชื่อของทั้ง 10 เพจมาเรียงดู ทำให้พบว่าการตั้งชื่อเพจลักษณะนี้จะมีรูปแบบของคำที่ใช้อยู่ โดยคำยอดฮิตที่ถูกใช้มากที่สุด (และใช้เกือบแทบทุกเพจ) คือคำว่า ‘ออนไลน์’ คำนี้ถูกใช้ในชื่อของ 8 เพจ รองลงมาคือคำว่า ‘ช่วยเหลือ’ และ ‘อาชญากรรม’ ที่ถูกใช้ในชื่อของ 7 เพจ ถัดมาคือคำว่า ‘เหยื่อ’ ที่ถูกใช้ในชื่อของ 6 เพจ ส่วนรองลงมาจะเป็นคำอื่นๆ เช่น ‘ศูนย์’ ‘คุ้มครอง’ ‘สิทธิ’ ‘ประชาชน’ เป็นต้น 

เพจน่าสงสัยเหล่านี้นิยมใช้ชุดคำประเภท ‘ช่วยเหลือ’ ‘อาชญากรรม’ และ ‘ออนไลน์’ ซึ่งเป็นชุดคำที่มีแนวโน้มว่าจะถูกค้นหาโดยเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ที่ต้องการความช่วยเหลือ ส่วนชุดคำประเภท ‘ศูนย์’ ‘คุ้มครอง’ ‘สำนักงาน’ ‘ปราบปราม’ ก็ดูจะเป็นชุดคำที่มักใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นหน่วยงานรัฐ 

ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะทำให้เข้าใจผิด ประเทศไทยมีหน่วยงานรัฐที่ใช้คำเหล่านี้ในชื่ออยู่จริง เช่น ศูนย์ดำรงธรรม ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์รับแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังดำเนินการภายใต้ ‘ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ’ ซึ่งใช้คำที่ซ้ำกับเพจน่าสงสัยถึง 4 คำ

ทั้งนี้ บางเพจตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ แต่หากแปลเป็นไทยจะพบว่าเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับหน่วยงานรับร้องเรียนอาชญากรรมออนไลน์ 

อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่อของเพจเหล่านี้ก็มีรูปแบบที่น่าสงสัยอยู่ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าบางเพจจงใจใช้คำผิดในการตั้งชื่อ เช่น ‘เหยือ’ ‘ประสาร’ เป็นต้น และนอกเหนือจากเพจที่สุ่มเลือกมา ยังมีเพจที่จงใจเขียนชื่อผิดโดยการใช้ตัวอักษรอังกฤษแทนตัวอักษรไทยด้วย เช่น ‘สำนักงาu’ พฤติกรรมเช่นนี้ชวนให้ตั้งคำถามว่าเป็นการจงใจเขียนผิดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบและกวาดล้างโดยแพลตฟอร์มและเจ้าหน้าที่หรือไม่

รูปโปรไฟล์


นอกจากตั้งชื่อให้ดูคล้ายหน่วยงานรัฐ หลายเพจยังมีกลวิธีตีเนียนผ่านการใช้โลโก้หน่วยงานราชการเป็นรูปโปรไฟล์เพื่อหวังให้คนหลงเชื่อ เช่น เพจ ‘ศูนย์คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือด้านกฎหมายอาชญากรรมออนไลน์’ (รูปที่ 2) ที่ใช้โลโก้ของกระทรวงมหาดไทยเป็นรูปโปรไฟล์ หรือเพจ ‘สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์’ (รูปที่ 5) ที่ใช้โลโก้ของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นรูปโปรไฟล์ เป็นต้น 

เพจน่าสงสัยเลือกใช้โลโก้ของสองหน่วยงานนี้ ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่ไม่ได้มีภารกิจหลักด้านคดีอาชญากรรมออนไลน์ เนื่องจากหน่วยงานราชการที่มีภารกิจหลักด้านคดีอาชญากรรมออนไลน์คือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือที่รู้จักในนาม ‘ตำรวจไซเบอร์’ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีเพจและเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ แถมยืนยันด้วยว่าไม่รับแจ้งความผ่านเฟซบุ๊ก

เหนือชั้นกว่าการหยิบโลโก้มาใช้ดื้อๆ บางเพจตัดต่อชื่อเพจลงไปในภาพโลโก้เดิมเพื่อความสมจริงด้วย อย่างรูปโปรไฟล์ของเพจ ‘คุ้มครองสิทธิช่วยเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์’ (รูปที่ 3) ก็นำโลโก้ของสถานีตำรวจมาตัดต่อเพิ่มชื่อเพจเพื่อให้ดูสมจริง หรือเพจ ‘สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์’ (รูปที่ 6) ก็ใส่ชื่อเพจตัวเองรอบๆ โลโก้ของสำนักนายกรัฐมนตรี 

ภาพโลโก้ของเพจน่าสงสัย (ซ้าย) และภาพโลโก้ของสถานีตำรวจนครบาลจรเข้น้อย (ขวา)

บางเพจมีวิธีตีเนียนด้วยการตัดต่อเครื่องหมายติ๊กฟ้า (verified) ไว้บนรูปโปรไฟล์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย (รูปที่ 1 และ 7) เพราะการได้เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าเปรียบเสมือนเป็นการได้รับการตรวจสอบและยืนยันจาก Meta ว่าเป็นเพจจริง แต่โดยปกติแล้วเครื่องหมายติ๊กฟ้าจะปรากฏหลังชื่อเพจบนเฟซบุ๊ก ไม่ใช่บนรูปโปรไฟล์!

ทั้งหมดทั้งมวลสะท้อนให้เห็นว่าเพจน่าสงสัยเหล่านี้มีรูปแบบของการหยิบโลโก้หรือสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการ (หรือดูคล้ายหน่วยงานราชการ) มาใช้เป็นภาพโปรไฟล์ อันเป็นการจงใจบิดเบือนหวังให้เหยื่อคดีอาชญากรรมออนไลน์หลงเชื่อว่าเป็นของจริง


ข้อมูลบนโปรไฟล์


สารพัดพิรุธและจุดน่าสงสัยสามารถพบได้ง่ายๆ หากเลื่อนดูข้อมูลของเพจบนหน้าโปรไฟล์ และคลิก ‘เกี่ยวกับ’ เพื่อเข้าไปดูข้อมูลพื้นฐานและความโปร่งใสของเพจ

เมื่อตรวจสอบข้อมูลโปรไฟล์ของทั้ง 10 เพจ พบว่ามีจุดน่าสงสัยหลายประการ ข้อแรกคือวันที่สร้างเพจ (creation date) หากดูตารางด้านล่างจะพบว่าแทบทุกเพจ (9 ใน 10) สร้างขึ้นในเดือนกันยายนและสร้างขึ้นในวันที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่ 5 เพจจากทั้งหมดสร้างขึ้นในวันเดียวกัน นั่นคือ 13 กันยายน 2024

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันที่สร้างเพจไม่สมเหตุสมผล คำถามคือหากเพจเหล่านี้เป็นหน่วยงานรับร้องทุกข์จริง เหตุใดจึงเพิ่งสร้างเพจในเดือนกันยายนปี 2024 แถมสร้างขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันด้วย ทั้งยอดไลก์เพจก็ไม่สมดุลสัมพันธ์กับวันที่สร้าง กล่าวคือสร้างไม่กี่วันก็มียอดไลก์เพจหลักพันเสียแล้ว

ถัดมาคือประวัติการเปลี่ยนชื่อเพจและการมีผู้ดูแลเพจที่อาศัยอยู่นอกประเทศ บางเพจผ่านการเปลี่ยนชื่อและมีผู้ดูแลเพจในต่างประเทศ ตามภาพด้านล่างจะเห็นว่าเพจ ‘Center crime complaint online’ มีประวัติเคยใช้ชื่อเพจ ‘Nawaz Shehbaz and Pml N lovers’ มาก่อน นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารเพจที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ เช่น ประเทศเบนิน อันเป็นประเทศในทวีปแอฟริกา เป็นต้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะคงจะแปลกไม่น้อยหากเพจให้ความช่วยเหลือเหยื่อคดีออนไลน์ของรัฐมีประวัติเปลี่ยนชื่อเพจ (แถมชื่อเดิมก็เป็นอะไรที่ไม่คุ้นหู) ทั้งยังมีแอดมิน (admin) หรือผู้ดูแลเพจที่อาศัยอยู่นอกประเทศด้วย 

ท้ายที่สุดคือข้อมูลเบอร์ติดต่อที่ไม่สอดคล้องอย่างที่อ้างว่าเป็นหน่วยงานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ เช่น เพจ ‘ศูนย์ประสาร-ช่วยเหลือประชาชนที่เป็นเหยื่อทางออนไลน์’ ระบุว่า 02-956-2513 คือเบอร์ติดต่อ ซึ่งเมื่อนำเบอร์ไปสืบค้นก็พบว่าเป็นเบอร์ของสำนักงานประกันสังคมที่ไม่มีภารกิจหลักด้านนี้ ขณะที่เพจ ‘คุ้มครองสิทธิช่วยเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์’ ที่ใส่เบอร์ติดต่อเป็นเบอร์ส่วนตัว (09x-xxx-xxxx) ทั้งที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์คือ 1441 หรือ 081-866-3000 


เนื้อหาที่โพสต์


จะมีอะไรย้อนแย้งไปกว่าเพจน่าสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ โพสต์เนื้อหาเตือนภัยให้ผู้คนระวังมิจฉาชีพ

เมื่อสำรวจและรวบรวมเนื้อหาการโพสต์ของ 10 เพจน่าสงสัย พบว่าเนื้อหาที่โพสต์ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหารายงานผลการจับกุมคดีอาชญกรรมออนไลน์ ไม่ก็เป็นการเตือนภัยและวิธีป้องกันตัวจากมิจฉาชีพออนไลน์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นโพสต์ที่มีทั้งภาพและข้อความ 

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมโพสต์ถึงมีลักษณะคล้ายกับหน่วยงานราชการจริง เพราะเมื่อนำภาพและข้อความจากเพจน่าสงสัยไปตรวจสอบ พบว่าภาพและข้อความที่ถูกโพสต์บนเพจน่าสงสัยมักเป็นภาพและข้อความที่ก็อปปี้มาจากเพจของหน่วยงานราชการจริงทั้งสิ้น โดยที่ส่วนใหญ่ต้นทางของโพสต์จะมาจากเพจตำรวจสอบสวนกลางและตำรวจไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม เพจน่าสงสัยมักจะตัดต่อโลโก้ของโพสต์ต้นทางออกเสมอ


โพสต์ของเพจน่าสงสัยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2024 (ซ้าย) โพสต์จากเพจจริงของตำรวจไซเบอร์เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2023 (ขวา) ทั้งนี้ เพจน่าสงสัยโพสต์ภาพเดียวกับเพจตำรวจไซเบอร์ แต่ตัดแถบโลโก้ด้านล่างสุดออก

โพสต์ของเพจน่าสงสัยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2024 (ซ้าย) โพสต์จากเพจจริงของตำรวจไซเบอร์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2024 (ขวา) โพสต์ของเพจน่าสงสัยโพสต์มีการตัดแถบโลโก้ด้านล่างสุดออกเช่นกัน

มีมของเพจน่าสงสัยเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2024 (ซ้าย) มีมจากเพจจริงของตำรวจสอบสวนกลางเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2024 (ขวา) โพสต์ของเพจน่าสงสัยโพสต์มีการตัดแถบโลโก้ด้านล่างสุดออกเช่นกัน

นี่คืออีกหนึ่งรูปแบบของการบิดเบือนและพยายามทำให้คนเข้าใจผิดว่าเพจน่าสงสัยเหล่านี้เป็นเพจทางการของหน่วยงานรัฐ ทั้งลักษณะการแจ้งเตือนภัยและการรายงานข่าว ซึ่งเป็นพฤติกรรมการโพสต์โดยปกติของหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว 


โฆษณา


สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการสร้างเพจคือการถูกมองเห็นโดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก

ช่วงที่ผ่านมา หลายคนอาจเห็นเพจมิจฉาชีพลักษณะนี้ปรากฏตามไทม์ไลน์เฟซบุ๊กไม่มากก็น้อย เนื่องจากเพจลักษณะนี้มักจะจ่ายเงินซื้อโฆษณาเฟซบุ๊กทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการยื่นคำร้องคดีอาชญากรรมออนไลน์และการลงทะเบียนขอรับเงินคืน   

จากจำนวน 10 เพจที่ตรวจสอบ พบว่ามี 5 เพจที่จ่ายเงินซื้อโฆษณากับเฟซบุ๊ก และทุกโฆษณามีเนื้อหาคล้ายคลึงกับที่อธิบายไปก่อนหน้า

ลักษณะการซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊กก็มีรูปแบบซ้ำเดิมเช่นกัน ในเชิงรูปภาพ เพจเหล่านี้มักใช้ภาพข่าวที่ดูสัมพันธ์กับคดีอาชญากรรมออนไลน์ หรือไม่ก็ตัดต่อรูปที่มีผู้มีอำนาจในระบบ เช่น ตำรวจ นักการเมือง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ากับข้อความว่าด้วยเรื่องการคืนเงินเหยื่อมิจฉาชีพ ส่วนในเชิงวิดีโอ เพจเหล่านี้มักอัปโหลดคลิปรายงานข่าวด้านการช่วยเหลือเหยี่อคดีอาชญากรรมออนไลน์หรือคลิปตำรวจทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง โดยที่ต้นทางของคลิปไม่เกี่ยวข้องกับเพจแต่อย่างใด ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อสร้างความสมจริงและหลอกให้คนหลงเชื่อ

เช่น ภาพโฆษณาของเพจ ‘ศูนย์ประสาร-ช่วยเหลือประชาชนที่เป็นเหยื่อทางออนไลน์’ เขียนคำบรรยายว่า “หากท่านเกินความเสียหาย ติดต่อปรึกษาวิธีควรดำเนินการ” ขณะที่ในรูปมีภาพของตำรวจและมีเนื้อหาเรื่องวิธีเอาเงินคืนจากมิจฉาชีพ ทั้งนี้ ภายในรูปมีการแปะไอดีไลน์ @p1441 ที่ดูใกล้เคียงกับ @police1441 ซึ่งเป็นแชตบอต (โปรแกรมแชตตอบกลับอัตโนมัติ) ไลน์สำหรับปรึกษาคดีอาชญากรรมออนไลน์โดยตำรวจจริงด้วย 

หรือโฆษณาของเพจ ‘ศูนย์ป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ ที่ใช้ภาพของประเสริฐ จันทรรวงทอง รมต.ดิจิทัลฯ ประกอบโฆษณา ทั้งที่เป็นหน่วยงานซึ่งไม่มีอยู่จริงในระบบราชการไทย

ย้ำอีกครั้งว่าเพจน่าสงสัยมักนำภาพและคลิปของเหตุการณ์ที่ ‘ดูจะเกี่ยวข้อง’ มาประกอบโฆษณา หากสังเกตให้ดีจะพบว่าบางเพจใช้ภาพและคลิปที่ไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพจ อย่างกรณีเพจ ‘สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์’ มีโฆษณาที่ระบุว่าหากตกเป็นเหยื่อก็ขอรับสิทธิผ่านออนไลน์ได้เลย แต่เมื่อนำภาพไปสืบค้นก็พบว่าต้นทางของภาพมาจากการแถลงข่าวตำรวจไซเบอร์ทลายขบวนการหลอกลงทุนคริปโตที่เตรียมนำทรัพย์สินที่ยึดได้มาเฉลี่ยคืนผู้เสียหายของคดี

ภาพโฆษณาของเพจน่าสงสัย (ซ้าย) ภาพข่าวของสำนักข่าวผู้จัดการ (ขวา)

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือมูลค่าเงินที่ถูกใช้สำหรับการโฆษณาเพจ เมื่อพิจารณาประวัติการซื้อโฆษณาของเพจในไทยจาก Meta Ad Library พบว่ามีเพจที่มีลักษณะเข้าข่ายมิจฉาชีพจำนวนมาก โดยในรอบ 90 วัน (15 มิถุนายน – 12 กันยายน 2024) จำนวนเงินสูงสุดที่เพจเข้าข่ายมิจฉาชีพจ่ายเพื่อซื้อโฆษณาคือ 72,132 บาท (ต่อเพจ) และหากคำนวณเม็ดเงินที่เพจเข้าข่ายมิจฉาชีพจ่ายเงินซื้อโฆษณาสูงสุด 55 เพจแรก[1] จะพบว่ามีการจ่ายเงินอย่างน้อย 670,000 บาทสำหรับค่าโฆษณาบนเฟซบุ๊ก เฉลี่ยเดือนละ 223,000 บาท ซึ่งเยอะกว่างบโฆษณาเฟซบุ๊กของบริษัทเอกชนหลายแห่งเสียอีก 


ความเชื่อมโยง


อย่างที่เล่าในตอนต้นว่าผู้เขียนปลอมตัวเป็นเหยื่อและทักแชตของ 10 เพจน่าสงสัยไป แม้จะไม่ได้รับการตอบกลับจากทุกเพจ แต่คำตอบของบางเพจสะท้อนถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเพจอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นคำตอบที่เหมือนกันทุกประการ เหมือนตั้งแต่ตัวอักษร ลิงก์ และรูปภาพ

ด้วยวิธีการสื่อสารที่เหมือนกันเช่นนี้ คงไม่ผิดเสียทีเดียวหากจะกล่าวว่าสองเพจนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอยู่ ซึ่งท้ายที่สุดสองเพจนี้อาจไม่ใช่กลุ่มแรกและกลุ่มสุดท้ายที่มีความเชื่อมโยงระหว่างกันในเบื้องหลัง 


ส่งท้าย 


คนล้มแล้วเหยียบซ้ำ คงจะเป็นคำที่อธิบายมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด 

พวกเขามักโผล่มาในรูปแบบ ‘นักบุญ’ ที่เล่นกับใจของคนลำบาก แสร้งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ และเมื่อสบโอกาสก็หลอกลวง ทำให้เหยื่อต้องกลายเป็นเหยื่อซ้ำซาก 

แม้ตำรวจไซเบอร์จะยืนยันว่าดำเนินการขอปิดกั้นบัญชีกับทางเฟซบุ๊กโดยตรง แต่ดูเหมือนว่าเพจของมิจฉาชีพในคราบนักบุญเหล่านี้ก็เกิดใหม่ ดำรงอยู่ และไม่ถูกปราบปรามจนหมดสิ้นเสียที ผลลัพธ์เหล่านี้อาจเป็นสะท้อนว่าวิธีการเดิมไม่ได้ผลมากเพียงพอ และควรจะปรับกลยุทธ์ในการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพให้ดีขึ้น

สำหรับใครที่อยากแจ้งความออนไลน์ ย้ำกันอีกครั้งว่าหน่วยงานราชการไม่รับแจ้งความผ่านเฟซบุ๊กและแชตไลน์ หากผู้เสียหายคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต้องการแจ้งความ สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline.com เท่านั้น หรือโทรสายด่วน 1441

References
1 ผู้เขียนประเมินเองว่าเพจเหล่านี้เข้าข่ายมิจฉาชีพ โดยพิจารณาจากลักษณะการตั้งชื่อ

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save