แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลไทยพยายามใช้กลไกต่างๆ นานา เพื่อพลิกฟื้นประมงไทยให้กลับไปสู่การเป็น ‘เจ้าสมุทร’ อีกครั้ง ด้วยการออกแบบมาตรการต่างๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานในอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทย ตลอดจนเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ความฝันจะเป็นเจ้าสมุทรนั้นก็ไม่อาจถึงฝั่งฝันเสียที เนื่องจากปัญหาในภาคอุตสาหกรรมการประมงก็ยังคงคาราคาซังอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘สถานการณ์ปัญหาด้านแรงงานและการค้ามนุษย์’
อ้างอิงจาก รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2567 (Trafficking In Persons Report 2024: TIP Report 2024) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยังคงจัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม ‘Tier 2’ (ประเทศที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างเต็มที่ในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์) สะท้อนให้เห็นว่า ‘ปัญหาด้านการค้ามนุษย์ยังคงอยู่’ ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุถึงข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยด้วย ส่วนหนึ่งเจาะจงไปยังปัญหาของแรงงานในภาคการประมงโดยเฉพาะ และชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยต้องบังคับใช้การคุ้มครองแรงงานในภาคการประมงอย่างมีมาตรฐาน และประเทศไทยต้องสั่งห้ามการขนถ่ายแรงงานกลางทะเล
เมื่อสำรวจกลุ่มแรงงานในภาคประมงของประเทศไทยพบว่า ส่วนมากแรงงานเหล่านั้นเป็น ‘แรงงานข้ามชาติ’ จนอาจกล่าวได้ว่า แรงงานประมงข้ามชาติเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประมงไทย แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับปัญหาบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการทำงาน เช่น การทำงานหนัก ปัญหาการไม่ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ปัญหาการถูกทรมานกลางทะเล จนไปถึงการเสียชีวิตแต่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างที่ควรจะเป็น เป็นต้น อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาในโลกนอกการทำงานอย่างการเข้าถึงสิทธิสำหรับการรักษาพยาบาลอีกด้วย
ที่ผ่านมาจึงมีคนจำนวนหนึ่งที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อช่วยปกป้องและเรียกร้องสิทธิให้กับบรรดาแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรม หนึ่งในนั้นคือ ธิดา อู เจ้าหน้าที่โครงการด้านสิทธิแรงงาน มูลนิธิรักษ์ไทย ที่ทำงานคลุกคลีกับเรื่องนี้มาเกือบสองทศวรรษ จนทำให้เธอเห็นและเข้าใจปัญหาที่ ‘แรงงานข้ามชาติในภาคประมง’ ต้องเผชิญอย่างถ่องแท้ โดยจากบทสนทนาตลอดชั่วโมง เธอยืนยันว่า “แรงงานข้ามชาติในภาคประมงเป็นกลุ่มที่เปราะบางมากที่สุด”
แต่ในโลกสีเทาของอุตสาหกรรมประมงในไทย การทำงานของธิดาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมา เธอต้องเผชิญกับการถูกคุกคามสารพัดในระหว่างการทำงาน หนักสุดถึงขั้นถูกขู่เอาชีวิต ดังเช่นคำขู่หนึ่งที่บอกกับเธอว่า “หากอยากมีชีวิตรอด ต้องไม่ทำงานด้านสิทธิ์อีก” นับเป็นภาพสะท้อนอย่างดีว่าอุตสาหกรรมประมงไทยเต็มไปด้วยเรื่องผิดปกติ และยังมีความท้าทายอีกมากในการจะใช้นโยบายต่างๆ เข้ามาแก้ปัญหา
สถานการณ์ของอุตสาหกรรมประมงไทยมืดมิดขนาดไหน คนทำงานเรียกร้องสิทธิ์ให้แรงงานประมงต้องเจอความยากลำบากอะไร และมีข้อเสนอแนะอะไรที่จะช่วยให้ไทยแก้ปัญหาประมงสีเทาได้ 101 ชวน ธิดา อู มาบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้

ชีวิตบนเส้นด้ายของแรงงานข้ามชาติในฝูงเรือประมง
ธิดาเป็นชาวมอญที่เติบโตในประเทศพม่า จนกระทั่งในปี 2549 เธอตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยผ่านคำชักชวนของแม่ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อมาทำงานเป็นครูสอนภาษาพม่าให้กับเด็กแรงงานข้ามชาติในจังหวัดปัตตานีร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทย ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ทำงานร่วมกับแรงงานประมงตั้งแต่ปี 2551
เธอมีโอกาสลงพื้นที่พบเจอกับแรงงานประมงในพื้นที่ปัตตานี ตลอดจนคนทำงานต่อเนื่องในอุตสาหกรรมประมงจำนวนมาก เช่น แรงงานคัดปลาในสะพานปลา ทั้งนี้ในช่วงแรกงานของเธอเน้นไปที่การให้ความรู้และทักษะการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับเอชไอวี เนื่องจากในช่วงเวลานั้นแรงงานประมงติดเชื้อดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และขณะเดียวกันเธอก็ทำหน้าที่เรียกร้องสิทธิการเข้าถึงการรักษาเอชไอวีของแรงงานข้ามชาติด้วย
“แรงงานประมงที่มาทำงานส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างที่ทำงานอย่างผิดกฎหมาย สมมติในเรือหนึ่งลำที่มีแรงงาน 40 คน จะมีแรงงานผิดกฎหมายสัก 30 คน ส่งผลให้แรงงานประมงส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร เมื่อคุณไม่มีเอกสารเท่ากับว่าคุณไม่สามารถเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพได้อย่างที่ควรจะเป็น บางคนจึงเลือกที่จะซื้อยากินเอง กว่าที่พวกเขาจะกล้าไปโรงพยาบาลมักเป็นช่วงที่อาการหนักแล้ว” ธิดากล่าว
“ในช่วงที่ลงพื้นที่เรามักเจอแรงงานประมงเสียชีวิตภายในบ้านจากโรคเอชไอวีจำนวนมาก เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษา และได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี จึงเรียกได้ว่าแรงงานประมงเป็นกลุ่มที่เปราะบางมากที่สุด” ธิดากล่าวต่อ
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ธิดาก้าวเข้ามาทำงานด้านสิทธิของแรงงานประมง คือการที่เธอมักเข้าไปมีบทบาทในฐานะล่ามให้กับภาครัฐอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบเจอกับกรณีการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นเยอะมากในพื้นที่ และได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานประมงมากมาย
“ระหว่างที่เราทำงานเกี่ยวกับด้านสุขภาพทำให้เราเจอปัญหาเรื่องสิทธิที่เข้ามาพัวพันและส่งผลกระทบต่อแรงงานประมงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือการเสียชีวิตระหว่างการทำงานประมง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นประเทศไทยยังไม่มีระบบในอุตสาหกรรมประมงเหมือนปัจจุบัน เช่น ไม่มีการตรวจนับจำนวนแรงงานที่ออกเรือไปว่ากลับมาครบหรือไม่ แรงงานประมงหลายคนจึงหายไปแบบที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมได้ หรือหากแรงงานเสียชีวิตระหว่างการทำงาน ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ได้รับการเยียวยาหรือการเข้าถึงสิทธิที่ควรจะได้รับ” ธิดากล่าว

เรื่องราวดังกล่าวทำให้ธิดากลับมาตั้งคำถามกับอุตสาหกรรมประมงว่า เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานปลาสักหนึ่งตัว ทำไมแรงงานต้องเผชิญกับการทำงานที่อันตราย และต้องเสี่ยงชีวิตและร่างกายของตนเองเช่นนี้ ธิดาเสริมว่า การบังคับใช้แรงงานในอุตสาหกรรมประมงหลายกรณีที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมประมงนั้นถือได้ว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์ เนื่องจากแรงงานที่ทำงานส่วนใหญ่มักมาจากนายหน้าที่จัดหาแรงงานมาให้นายจ้าง โดยที่นายจ้างต้องจ่ายเงินให้กับนายหน้าที่จัดหาแรงงานมา เมื่อแรงงานมาทำงานแล้ว นายจ้างจะให้แรงงานทำงานจนกว่าพวกเขาจะใช้หนี้จนหมด โดยที่แรงงานไม่สามารถทราบได้ว่าจะต้องทำงานไปจนถึงเมื่อไหร่
“แรงงานหลายคนเล่าให้เราฟังว่า ในวันที่แรงงานก้าวขาขึ้นไปบนเรือแล้ว พวกเขาได้แต่ตั้งคำถามว่าจะได้กลับเข้าฝั่งอีกหรือไม่ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นไม่มีข้อจำกัดเรื่องของระยะเวลาสำหรับการออกเรือ ส่งผลให้เรือบางลำต้องลอยลำอยู่กลางทะเลนานถึง 6 เดือนโดยไม่ได้เข้าฝั่ง” ธิดาเล่า
นอกจากนี้ ผลกระทบจากการที่แรงงานต้องเผชิญหลังจากการออกเรือและอยู่กลางทะเลเป็นระยะเวลานาน คือการขาดสารอาหารและไม่ได้รับสารอาหารที่ครบห้าหมู่ ขณะเดียวกันด้วยความที่งานประมงเป็นงานหนัก ก็ทำให้แรงงานหลายคนหันไปเสพยาเสพติดจนเกิดปัญหาอย่างมากเพื่อให้ทำงานต่อไปได้ จากที่พวกเขาไม่เคยต้องพึ่งยาเสพติดมาก่อนที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมประมง
“หากยังอยากมีชีวิต ต้องไม่ทำงานด้านสิทธิ์อีก”
การคุกคามจากพื้นที่สีดำในอุตสาหกรรมประมงสีเทา
“ก่อนหน้านี้ที่เราทำงานเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพของแรงงานอาจเจอเพียงความเสี่ยงของโรคติดต่อ แต่ในวันที่เราก้าวเข้ามาทำงานและต่อสู้ในเรื่องของสิทธิแรงงาน เพื่อให้แรงงานสามารถรับรู้ถึงสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับ ทำให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เป็นอันตรายจากการคุกคามของเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายจ้างในอุตสาหกรรมประมง” ธิดากล่าว
ประโยคข้างต้นเป็นสิ่งที่ธิดาสะท้อนให้ฟัง เมื่อชวนพูดคุยถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญหลังจากการเข้ามาต่อสู้เรื่องสิทธิให้แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมง เนื่องจากเมื่อเธอไปให้ความรู้แก่แรงงาน ก็มักจะถูกนายจ้างต่อต้านอยู่บ่อยครั้ง และแม้ว่าเธอจะทำงานในพื้นที่จังหวัดปัตตานีมานานกว่าหลายสิบปี ธิดาบอกว่าตนเองสามารถเข้าถึงและเจรจากับนายจ้างได้เพียงร้อยละ 30 จากนายจ้างทั้งหมด นั่นหมายความว่ายังมีนายจ้างอีกร้อยละ 70 ที่ยังไม่ยอมรับข้อเสนอของเอ็นจีโอ ทำให้เธอจึงมีความคิดเห็นว่าภาครัฐควรจะเข้ามาเป็นตัวกลางการพูดคุยระหว่างเอ็นจีโอกับนายจ้างเพื่อแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมประมงที่เกิดขึ้น
“หลังจากที่เราไปทำงานด้านสิทธิของแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมงครั้งแรกๆ ก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไต๋เรือชักปืนขึ้นมาไล่เราแล้วขู่ว่า ‘ไปๆ พวกคุณไม่ต้องมาคุยเลย’ ทำให้เรารู้เลยว่ายังมีสิ่งที่ท้าทายรอพวกเราอยู่อีกเยอะ” ธิดาเล่า

“เมื่อไหร่ที่เราเข้าไปทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการค้ามนุษย์หรือการบังคับใช้แรงงานอย่างผิดกฎหมาย เราก็จะถูกคุกคามทันที ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐโทรมาจำกัดบทบาทไม่ให้เราเป็นล่าม เนื่องจากเรามักจะถูกมอบหมายให้เป็นล่ามของแรงงานข้ามชาติ และมีการยื่นข้อเสนอในรูปแบบของเงิน เพื่อให้แปลความหมายในทิศทางที่ให้ฝ่ายนายจ้างพ้นความผิด พอเราไม่รับข้อเสนอก็เกิดการคุกคามและข่มขู่” ธิดาเล่า
ธิดาอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่เจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เนื่องจากจังหวัดปัตตานีเป็นพื้นที่พิเศษและเป็นเหมือนพื้นที่สีเทาของอุตสาหกรรมประมง โดยเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจประมงในพื้นที่ด้วย นอกจากการกีดกันบทบาทในการเป็นล่ามให้แก่แรงงานข้ามชาติแล้วนั้น ธิดายังเคยถูกติดตามเพื่อดูว่าเธอพักอาศัยอยู่ที่ไหน ตลอดจนมีคนโทรมาขู่ว่า “เดี๋ยวตายแน่” และมีนายจ้างที่โทรมาด่าด้วยคำพูดที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้เธอรู้สึกว่าการคุกคามเริ่มจะรุนแรงมากขึ้น
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายังคงอยากทำงานเรียกร้องในประเด็นนี้อยู่คือ เราต้องการให้แรงงานที่พวกเขาต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ ว่ายังมีเราที่คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา และยืนข้างๆ อีกทั้งเรารู้สึกว่าปัญหาของพวกเขาคือปัญหาของเรา” ธิดากล่าว
“แต่ก็ต้องยอมรับว่าการทำงานด้านสิทธินั้นเป็นงานที่น่ากลัว เราไม่รู้ว่าจะถูกยิ่งเมื่อไหร่ ถูกอุ้มวันไหน หรือจะถูกฆ่าหรือไม่ เรียกได้ว่าชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ในช่วงเวลานั้นเราไม่สามารถนอนบ้านได้ กล่าวคือบางวันนอนบ้าน บางวันนอนในสำนักงาน หรือบางวันก็ไปนอนบ้างเพื่อน อีกทั้งยังตัดสินใจเลิกขับมอเตอร์ไซค์ และเริ่มไปเรียนขับรถเพื่อให้การเดินทางของเราปลอดภัยยิ่งขึ้น ตลอดจนมีการประเมินความเสี่ยงก่อนลงพื้นที่ ก็คือเราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น” ธิดากล่าวต่อ
หลายครั้งที่เธอต้องเผชิญกับการถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าของธุรกิจประมงนั้น ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกกลัวหรือไม่กล้าทำงานในประเด็นนี้ในพื้นที่ปัตตานีอีก ทว่าเธอยังเดินหน้าผลักดันและเรียกร้องเพื่อแรงงานต่อไป จนกระทั่งการถูกคุกคามครั้งล่าสุดที่ทำให้เธอต้องเดินทางมาทำงานในมูลนิธิรักษ์ไทยประจำกรุงเทพมหานคร
“เหตุการณ์ครั้งนั้นเราไปประชุมร่วมกับนายจ้างโรงงานอุตสาหกรรมอาหารทะเล แล้วก็มีคนหนึ่งพูดกับเราว่า ‘หากต้องการทำงานด้านสิทธิ์อีก คุณก็ไม่ต้องอยู่ในพื้นที่’ และ ‘หากคุณยังอยากมีชีวิตรอด ก็ไม่ต้องทำงานด้านสิทธิ์อีก’ แต่เราก็ไม่ได้กลัวหรือกังวลอะไร ซึ่งหลังจากได้ยินประโยคเหล่านั้นเราก็แจ้งไปยังส่วนกลางของมูลนิธิรักษ์ไทยส่วนกลาง โดยส่วนกลางก็มองถึงความปลอดภัยของเราเป็นหลัก ประกอบกับส่วนกลางก็ได้เสนอตำแหน่งงานใหม่ให้เราที่ทำงานในภาพรวมมากขึ้น และหลากหลายพื้นที่มากขึ้น” ธิดาเล่า

การตัดสินใจย้ายจากปัตตานีขึ้นมาทำงานในกรุงเทพมหานครของธิดา หลังทำงานที่ปัตตานีมานานกว่า 18 ปี ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่ตนถูกคุกคาม แต่เธอมองว่านอกจากพื้นที่ในจังหวัดปัตตานีแล้ว ยังมีพื้นที่อีกมากมายในประเทศไทยที่แรงงานประสบปัญหาคล้ายๆ กัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในทุกวันนี้ธิดาจะไม่ได้ทำงานกับแรงงานในพื้นที่ปัตตานีเป็นหลักแล้ว แต่เธอยังคงกลับไปทำงานในพื้นที่ปัตตานีอยู่บ่อยครั้ง ตลอดจนเดินหน้าผลักดันให้อาชีพแรงงานประมงมีคุณภาพชีวิตเทียบเท่าแรงงานประเภทอื่นๆ
“ปัญหาที่แรงงานข้ามชาติในกิจการประมงต้องเผชิญไม่ได้มีแค่ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี แต่จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง และอีกหลากหลายจังหวัด ต่างเผชิญปัญหาไม่แตกต่างกัน ทำให้เราคิดว่าการที่เราจะแก้ปัญหาและให้แรงงานประมงข้ามชาติได้รับความยุติธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ เราก็สามารถผลักดันได้ กล่าวคือเมื่อเราเห็นหลายพื้นที่ เราก็สามารถนำประสบการณ์ที่มีมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาให้แรงงานข้ามชาติในภาคประมงต่อไปได้” ธิดากล่าวย้ำ
ทั้งนี้ ธิดาย้ำว่าการผลักดันประเด็นด้านสิทธิที่แรงงานประมงข้ามชาติควรจะได้รับให้ประสบความสำเร็จนั้น ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการคุ้มครองแรงงานที่ถูกละเมิดสิทธิ ตลอดจนผลักดันให้เกิดกลุ่มเครือข่ายชุมชน หรือเครือข่ายแรงงานประมง กล่าวคือทำให้แรงงานมีสิทธิ์และมีเสียงเพื่อเรียกร้องคุณภาพชีวิตที่ดีได้
“แรงงานประมงนั้นอยู่ในสถานะที่บอบบาง กล่าวคือภาครัฐมีอำนาจทางกฎหมาย และนายจ้างก็มีอำนาจในการควบคุมลูกจ้าง แต่แรงงานไม่มีอำนาจอะไรเลย หน้าที่ของพวกเราคือการทำให้แรงงานมองเห็นอำนาจที่พวกเขามี อำนาจที่แรงงานหลายคนมักลืมไป นั่นคืออำนาจ ‘ทุนแรง’ ที่แรงงานต้องใช้แรงในการทำงานของพวกเขาเพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจประมงให้ดำเนินต่อไปได้” ธิดากล่าว
‘นายจ้างได้งาน แรงงานได้เงิน’
ความหวังที่ไม่ห่างไกลและก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมประมงไทย
“ในมุมมองของแรงงานข้ามชาติหลายคน งานในอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทยมักเป็นงานที่ถูกด้อยค่ามากที่สุด เพราะมีรายได้น้อย และไม่มีสวัสดิการที่ดึงดูดผู้คนให้มาทำงาน ก่อนหน้านี้เพิ่งมีแรงงานประมาณ 3-4 คนติดต่อมาว่า พวกเขาทำงานประมงมา 5 ปี แล้วกลับไม่สามารถมีชีวิตที่ดี จึงอยากขึ้นมาทำงานบนฝั่งแล้ว ไม่อยากทำงานในอุตสาหกรรมประมงแล้ว ทั้งหมดจึงสะท้อนว่างานประมงไม่สามารถสร้างชีวิตที่ดีให้แก่แรงงานข้ามชาติได้” ธิดากล่าว
แม้ว่าประเทศไทยมีระบบจัดการในอุตสาหกรรมประมงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการจ่ายเงิน การทำระบบเรือเข้าและเรือออก ตลอดจนกระบวนการตรวจสอบแรงงานที่หายสาบสูญไป จนสามารถปลดใบเหลืองของคณะกรรมาธิการยุโรปได้ตั้งแต่ปี 2562 แต่จากมุมมองของธิดาตลอดจนเรื่องราวที่เธอเล่านั้นทำให้เห็นว่า อุตสาหกรรมประมงยังคงเป็นพื้นที่สีเทาไม่ต่างจากเดิมและคุณภาพชีวิตของแรงงานก็ยังไม่ได้ดีขึ้นจากเดิม
“แม้ว่าทุกวันนี้ภาครัฐจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไวกว่าเดิม แต่คุณภาพชีวิตแรงงานประมงยังไม่ดี หลายพื้นที่ยังคงบังคับใช้แรงงานอยู่ ยังไม่จ่ายค่าจ้างอยู่ ยังคงมีการคุกคามอยู่ หรือแม้แต่ยังมีแรงงานที่ถูกยึดเอกสารอยู่ ดังนั้นนายจ้างต้องปรับวิธีคิดในการจ้างแรงงานประมงใหม่ กล่าวคือทำอย่างไรที่จะสามารถยกระดับงานประมงให้เป็นงานที่น่าทำงานมากขึ้น” ธิดาให้ความเห็น
จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ธิดาจึงมองว่า โจทย์ต่อไปของรัฐบาลไทยคือจะออกแบบนโยบายอย่างไรเพื่อพัฒนาให้อาชีพประมงเป็น ‘อาชีพที่ดี’ กล่าวคือเมื่อแรงงานประกอบอาชีพแล้วสามารถนำรายได้ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ธิดายังมีข้อห่วงกังวลต่ออุตสาหกรรมประมงไทยคือ ความพยายามของรัฐบาลที่จะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง จนผ่านวาระการรับหลักการจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งธิดามองว่าการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวอาจเป็นช่องทางให้เกิดการละเมิดสิทธิของแรงงานในอุตสาหกรรมประมงได้ อีกทั้งยังอาจทำให้อุตสาหกรรมประมงของไทยห่างไกลจากการทำประมงอย่างยั่งยืน กล่าวคืออาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย เช่น การใช้อวนลากซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของปลาได้ เป็นต้น
“นอกจากผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายจ้างอย่างมาก หนึ่งในจุดสำคัญที่อาจเป็นผลเสียต่อแรงงานในอุตสาหกรรมประมงคือ การยกเลิกข้อบังคับสำหรับเรือประมงพาณิชย์ที่ต้องแสดงรายชื่อของลูกเรือต่อเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะออกทำการประมง ให้กลายเป็นการแจ้งเข้าหรือแจ้งออกก็ได้ กล่าวคือการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวอาจมีแรงงานที่ออกไปทำงานหลายเดือนโดยที่ภาครัฐไม่ทราบ และตรวจสอบยาก เมื่อแรงงานต้องออกไปทำการประมงอย่างผิดกฎหมาย เราจึงชวนตั้งคำถามถึงมาตรฐานในการดูแลลูกเรือว่าจะย่ำแย่เช่นเดิมหรืออาจแย่กว่าเดิมหรือไม่” ธิดากล่าว
จากประเด็นที่กล่าวมาทำให้ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอนั้น ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วน หนึ่งในนั้นคือ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Justice Foundation (EJF) ที่ออกมาเตือนว่าการแก้ไขกฎหมายประมงของไทยในปัจจุบัน อาจทำให้การปฏิรูปอุตสาหกรรมประมงถดถอย เสี่ยงต่อการทำลายทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกองเรือประมงไทยอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้สหภาพยุโรปให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทยอีกครั้ง
แม้ว่าอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทยอาจเผชิญกับข้อท้าทายมากมาย แต่ธิดายังคงมีความหวังว่าอุตสาหกรรมประมงจะดีขึ้น ผ่านการร่วมมือกันและเปิดใจเพื่อมาทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง เนื่องจากทุกฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจประมงต่อไป
“ในการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมประมงนั้น หากไม่มีนายจ้าง แรงงานก็จะไม่มีงาน และหากไม่มีแรงงาน นายจ้างก็ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ดังนั้นเราต้องสร้างให้อุตสาหกรรมประมงสามารถเป็นพื้นที่ที่นายจ้างและแรงงานสามารถเดินร่วมกันอย่างเท่าเทียม กล่าวคือนายจ้างได้งานและแรงงานได้เงิน เมื่อเราสร้างพื้นที่เหล่านั้นได้แล้ว แรงงานก็จะถูกคุ้มครองโดยรัฐอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งควรได้รับ และทำให้สิทธิขั้นพื้นฐานและคุณภาพชีวิตของแรงงานก็จะดีขึ้นทันที” ธิดากล่าวทิ้งท้าย