แม้บางเวลา สภาผู้แทนราษฎรของไทยจะว่างเว้นไปด้วยเพราะมีการปกครองระบอบเผด็จการทหาร แต่ปฏิเสธมิได้ว่า นับจากภายหลังการปฏิวัติ 2475 เป็นต้นมา สภาผู้แทนราษฎรถือเป็นสถาบันหลักทางการเมืองไทยที่สำคัญสถาบันหนึ่ง
บทความนี้ จะขอชวนท่านผู้อ่านย้อนเวลากลับไปสำรวจความคิด ความรู้ และข้อเสนอการมีสภาผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า ‘ปาลิเมนต์’ ในระยะแรกเริ่มของสังคมการเมืองสยาม/ไทย ผ่านมิติประวัติศาสตร์เทคโนโลยีการพิมพ์และจากทัศนะของสองสามัญชนคนสำคัญในยุครัชกาลที่ 5 อย่าง เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ
1. เทคโนโลยีการพิมพ์กับความคิดทางการเมืองในสยาม
การเกิดขึ้นของความคิด ความรู้ และข้อเสนอในการมีสภาผู้แทนราษฎรของสังคมสยาม ต้องย้อนกลับไปอย่างน้อยในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากกระแสความรู้ทางการเมืองจากตะวันตกที่แผ่ขยายเข้ามาในสังคมสยามผ่านมิติเทคโนโลยีการพิมพ์ โดยเฉพาะเมื่อชาวตะวันตกได้นำเข้าวัสดุ/อุปกรณ์อย่างตัวพิมพ์โลหะและแท่นพิมพ์โลหะเข้ามาในสยาม ทำให้กิจกรรมการพิมพ์ในสยามขยายตัวกว้างมากขึ้น และส่งผลต่อการเผยแผ่ความรู้เรื่องการเมืองการปกครองในสังคมสยามอย่างสูง[1]
ภายใต้ความปฏิทรรศน์ (paradox) ของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามที่ก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็งตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 2400 ในอีกด้านหนึ่ง อิทธิพลทางการเมืองตะวันตกก็กลับปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดนับตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริ่งในปี 2398 ซึ่งส่งผลต่อประเด็นเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (extraterritoriality) ที่ทำให้ชาวตะวันตกมิได้ตกอยู่ภายใต้อาณัติการบังคับของศาลประเทศสยามโดยตรง[2] และได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามไม่สามารถควบคุมจัดการความรู้ทางการเมืองได้ในทุกปริมณฑล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในเรื่องการเมืองที่ถูกเผยแผ่โดยชาวตะวันตก
แม้ปริมณฑลความรู้จะยังจำกัดในกลุ่มผู้มีความรู้อ่านออกเขียนได้ แต่ปฏิเสธมิได้ว่าสื่อสิ่งพิมพ์มีบทบาทเริ่มต้นสำคัญในการแพร่กระจายความรู้ทางการเมืองในระยะแรกเริ่ม โดยเฉพาะองค์ความรู้เรื่องระบอบการปกครองแบบคอนสติติวชั่นแนลโมนากี (Constitutional Monarchy) และระบอบริปับลิก (Republic) ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่แตกต่างไปจากระบอบราชาธิปไตย (Monarchy) ของสยาม ดังได้ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า มีผู้อ่านที่มีความสนใจใคร่รู้เรื่องระบอบการเมืองของตะวันตก ได้เขียนจดหมายมาถามข้อสงสัยทางการเมือง เรื่อง ‘ความสงไสเรื่องเปรศซิเดนต์ที่เมืองอเมริกา’ ใน นิตสารบางกอกรีคอร์เดอ (The Bangkok Recorder) แม้ว่าในทัศนะของ หมอบรัดเล (Dan Beach Bradley) จะเชื่อว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของ ‘ผู้ใหญ่ในรัฐบาลสยาม’ แต่ผลของการตอบข้อสงสัยนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ความรู้ทางการเมืองแบบตะวันตกได้ถูกเผยแผ่ในเชิงสาธารณะ รวมทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ หมอบลัดเลยังแปลเนื้อหาบางส่วนของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาเป็นภาษาไทย และเขียนบทความอธิบายรูปแบบการปกครองของสหรัฐฯ เรื่อง ‘กระษัตริย์เมืองยูในติศเทศ’[3]
องค์ความรู้เรื่องระบอบการเมืองและความเจริญของตะวันตกมาพร้อมกับความคิดเรื่องความศิวิไลซ์ซึ่งความรู้สึกนึกคิดเรื่องนี้มิได้ปรากฏแต่เพียงในกลุ่มชนชั้นผู้ปกครองสยาม[4] แต่ยังปรากฏเป็นทัศนะในสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ ดรุโณวาท ที่ให้ความเห็นว่า
“ซึ่งประเทศสยามเจริญเรวในการสิวิไลเสดนี้, ควรจะว่าเหมือนเมืองญี่ปุ่น, ต้องกลัวแต่สิ่งเดียว, คืออย่าให้เรวนัก…แม้นว่าธรรมเนียมนั้นธรรมเนียมดีในชาวยุโรป, ถ้าจะเอามาใช้ที่ประเทศเอเซียต้องช้าๆสักหน่อย, จะเอามาทันใดไม่ได้, แม้นว่ากิริยาคนนั้นเป็นคนสอนง่าย,ถ้าจะเปลี่ยนธรรมเนียมเข้าใจเขายังถือธรรมเนียมโบราณยังแขงแรงนักฯ”[5]
ความรู้เรื่องระบอบและระบบการเมืองของตะวันตกในสยามได้ค่อยๆ สะสมและถูกพูดถึงบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์มากขึ้นเป็นลำดับ ดังได้จากบทความของ หมอ สมิธ (Samuel John Smith) ที่เล่าถึงรูปแบบการปกครองของฝรั่งเศสในหนังสือพิมพ์ จดหมายเหตุสยามไสมย เดือนกันยายน ปี 2428 ว่า
“คอเวินแมนต์ผู้ปกครองประเทศฝรั่งเศสนี้ เป็นริปับลิก ไม่มีกษัตร ผู้เปนประธานาธิบดี ในแผ่นดินนั้นเรียกว่า เปรสิเดนต์ ราษฎรทั้งหลายเลือกขึ้นให้เป็นเปรสิเดนต์ อยู่ตามกำหนดปีตามกฎหมายคอนสะไตตูเชอนสำหรับแผ่นดิน ครั้งถึงกำหนดเวลาที่เลือกก็เลือกเปรสิเดนต์ใหม่เปรสิเดนต์คนเก่าต้องออกจากตำแหน่งแลเปลี่ยนกันไปเสมอ…เสนาบดี ทั้ง 9 นายนี้เรียกว่า คอเวินเมนต์ ฤาแคเนต…
ปาเลียแมนต์ นั้นคือที่ประชุมหัวหน้าของราษฎรๆ ทุกหัวเมืองประชุมเลือกให้เข้ามานั่งปฤกษาราชการกับคอเวินแมนต์ในปาเลียแมนต์ แทนราษฎร…”[6]
กล่าวได้ว่า กิจกรรมการพิมพ์ของชาวตะวันตกภายใต้เงื่อนไขสิทธิสภาพนอกอาณาเขตส่งผลทำให้ชนชั้นผู้ปกครองสยามไม่สามารถควบคุมการแพร่กระจายความรู้ทางการเมืองในสังคมสยามได้อย่างเบ็ดเสร็จ และกิจกรรมการพิมพ์ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้เรื่องระบอบ/ระบบการเมืองในประเทศต่างๆ ถูกเผยแผ่สู่สาธารณชน[7] ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของสามัญชนหัวดีที่มีโอกาสได้รับการศึกษาสูงหรือมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับชาวตะวันตกที่เข้ามายังสยาม ดังเช่น ก.ศ.ร.กุหลาบ และ เทียนวรรณ
ในงานศึกษาของ ชัยอนันต์ สมุทรวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต ให้ข้อมูลว่า เทียนวรรณเป็นคนสยามรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการศึกษาและได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากตะวันตก นอกจากความรู้และความคิดแบบตะวันตกแล้วยังรวมไปถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่และการแต่งกาย[8]
ความคิดของ เทียนวรรณ ปรากฏในหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อ ตุลวิภาคพจนกิจ (.2443-2449) และ ศิริพจนภาค (2443-2451) ภายหลังจากติดคุกอยู่นานถึง 17 ปี เนื่องจากข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ตราราชสีห์) จากการเป็นทนายรับว่าความให้ราษฎรทั่วไป ความน่าสนใจในงานเขียนของเทียนวรรณ คือ เทียนวรรณ นับเป็นปัญญาชนสามัญชนสยามยุคแรกๆ ที่ให้ความรู้ แสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองสยาม และที่สำคัญคือ เสนอวิธีการแก้ไขปัญหาและ ‘เรียกร้อง’ ให้ชนชั้นปกครองสยามแก้ไขปัญหาและพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัย ดังที่ เทียนวรรณ กล่าวถึงระบอบ ‘รีปับริค’ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า
“แต่มนุษย์ในโลกนี้ ฝ่ายทวีป ข้างตะวันตก คือ ประเทศอเมริกาเขาได้แบ่งความหนัก และห่วงใยออกเสียบ้างก็มี คือ เขาได้ตั้งกฎหมายคอนสะตีติ้วชั่น เป็นรีปับริค แม้ว่าได้เป็นมหาประธานาธิบดีคือพริซิเด้นท์แล้วก็ไม่ต้องห่วงและกังวลถึงราชการแผ่นดิน ในข้อที่สืบสันติวงศ์ต่อไป เขาเชื่อว่าคนอยู่ภายหลังคงจะเลือกสรรคนที่ทรงคุณวุฒิเป็นมหาประธานาธิบดีต่อไป…พระราชสมบัติไม่เป็นเช่นมรดก ต้องการแต่ความสุขทั่วหน้าเท่านั้นเป็นประมาณของพวกเรา”[9]
อย่างไรก็ตาม แนวคิดรีปับริคมิได้เป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองของเทียนวรรณ เพราะข้อเรียกร้องสำคัญของเทียนวรรณก็คือ การมี ‘ปาลิเมนต์’ ดังปรากฏในบทความ ‘ว่าด้วยความฝันละเมอแต่มิใช่นอนหลับ’ ว่า
“จะตั้งปาลิเมนต์ อนุญาตให้หัวหน้าราษฎรมาพูดธุระชี้แจงของตนแก่รัฐบาลได้ ในข้อที่มีคุณแลมีโทษทางความเจริญแลไม่เจริญนั้นๆ ได้ ตามเวลาที่กำหนดอนุญาตไว้ ในความฝันที่เราฝันมานี้ ในชั้นต้นจะโหวตเลือกผู้มีสติปัญญาเป็นชั้นแรกคราวแรกที่เริ่มจัด ให้ประจำการในกระทรวงทุกอย่างไปก่อนกว่าจะได้ดำเนินให้เปนปรกติเรียบร้อยได้”[10]
กล่าวได้ว่า ข้อเสนอของ เทียนวรรณ คือมุ่งหวังหรือวาดฝันว่าสยามจะเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบ ‘คอนสติติวชั่นแนลโมนากี’ (Constitutional Monarchy) หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเมื่อพิจารณาบริบทความรู้แห่งยุคสมัย ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เทียนวรรณ มิได้เสนอหรือเรียกร้องให้ประเทศสยามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจาก ราชาธิปไตย เป็น ประชาธิปไตย เนื่องจากความรู้ความเข้าใจในยุคสมัยดังกล่าวคำว่า ประชาธิปไตย สื่อความหมายถึงระบอบรีปับริคเป็นสำคัญ ดังปรากฏเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจากงานเขียนและแนวคิดทางการเมืองของปัญญาชนสามัญร่วมสมัยอีกคนอย่าง ก.ศ.ร.กุหลาบ
ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นปัญญาชนสามัญร่วมสมัยกับ เทียนวรรณ เป็นเจ้าของกิจกรรมการพิมพ์ของสยามในฐานะสามัญชนรุ่นแรก ก.ศ.ร.กุหลาบ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นิยมสะสมหนังสือเก่าและพิมพ์เผยแผ่วรรณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ค้นคว้าและตีพิมพ์เผยแผ่งานเขียนของตนสู่สาธารณาชน ทำให้งานเขียนของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ต้องปะทะกับกับความคิดเห็นของชนชั้นผู้ปกครองบ่อยครั้ง[11]
แม้ในเชิงประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ก.ศ.ร.กุหลาบ ถูกจดจำตั้งแต่ในฐานะสามัญผู้โกหกหลอกลวง ชอบ ‘กุ ลอบ ลอก’ ไปจนถึงเป็นสามัญชนผู้ท้าทายแนวทางการเขียนทางประวัติศาสตร์แบบราชสำนัก แต่ในด้านความรู้ทางการเมือง ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นสามัญชนสยามที่มีความรู้เรื่องระบอบการปกครองของประเทศตะวันตกอย่างสูงผู้หนึ่ง เหตุเพราะได้รับการศึกษาทั้งจากบุคคลสำคัญในราชสำนักและได้รับความรู้จากตะวันตกจากทำงานให้กับบริษัทตะวันตกทั้งอังกฤษ อเมริกา และเยอรมัน ขณะที่ในช่วงวัยของการผลิตงานเขียนและแสดงความเห็นทางการเมือง เขามีสัมพันธ์อันดีกับ หมอสมิธ ตั้งแต่เป็นผู้นำเอกสารเก่าส่งให้หมอสมิธตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จดหมายเหตุสยามไสยม เรื่อยมาถึงการพิมพ์หนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ รายวันในเดือนสิงหาคม ปี 2436 โดย ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นบรรณาธิการฝ่ายไทย และภายหลังเมื่อ ก.ศ.ร.กุหลาบ ออกหนังสือพิมพ์สยามประเภทของตนเองก็ยังลงโฆษณาจำหน่ายหนังสือให้หมอสมิธเสมอ[12]
จากการค้นพบหลักฐานใหม่ในงานศึกษาของบุญพิสิฐ ศรีหงส์ พบว่า ในงานเขียนของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้ปรากฏคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ขึ้นแล้วตั้งแต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากเดิมทีเข้าใจกันว่าคำนี้ปรากฏครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6
จากหลักฐานในงานของบุญพิสิฐ ศรีหงส์ ทำให้พบข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ คำว่า ‘ประชาธิปไตย’ เกิดขึ้นจากบริบททางการเมืองระหว่างประเทศของสยามกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์ความขัดแย้งแนวดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงช่วงกลางทศวรรษ 2430 ความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องพรมแดนระหว่างสยามกับสยามกับฝรั่งเศสในช่วงปี 2436 ได้ลุกลามจนเกิดการปะทะทางกำลังทหารตามแนวพรมแดนแม่น้ำโขง จนฝรั่งเศสส่งเรือรบเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาและเกิดการปะทะต่อสู้ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ภายหลังฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดให้สยามรับสิทธิของญวนและเขมรในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้สยามชดใช้ค่าเสียหายจากการสู้รบ รวมถึงขอสิทธิตั้งกงสุลขึ้นที่เมืองน่านและโคราช และยังยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกันให้สยามปฏิบัติตาม
บริบทการเมืองระหว่างสยามและฝรั่งทำให้ ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้เขียนบทความแสดงทัศนะและวิจารณ์ฝรั่งเศสว่าใช้วิธีอย่างคนพาล[13] ทว่า ภายใต้การวิจารณ์การเมืองระหว่างประเทศของสยามและฝรั่งเศส ได้ปรากฏแนวคิดทางการเมืองว่าด้วยรูปแบบการปกครองแฝงไว้ว่า
“เพราะว่าประชาธิปไตย์ฝรั่งเศสปิดบังความจริงทั้งหลายหมด ไม่ให้ใครรู้…”[14]
นอกจากคำว่า ‘ประชาธิปไตย์’ จะปรากฏเป็นแนวคิดรูปแบบการปกครองของฝรั่งเศสแล้ว ในงานเขียนของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ยังปรากฏการอธิบายคำศัพท์ ‘Government’ ว่า ราชาธิปไตย ดังที่งานเขียนของ ก.ศ.ร.ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“อันคำที่พูจกันว่า ‘คอเวอนแมนต์’ เป็นภาษาอังกฤษ แต่มาแปลอนุโลมอรรถาธิบายว่า ‘ราชาธิปไตย’ คำนี้เป็นภาษามคธภาษา (บาฬี) แต่คำที่ว่าราชาธิปไตยนี้ยังเป็นสนธิอยู่ ถ้าจะแยกศรัทป์อาเทศออก ก็มาแต่คำว่า ‘ราชาธิปติ’ นี้คือจะพูจให้ชัดเจนก็ได้แก่ ‘ราชาอธิบดี’ นี้ ถ้าจะพูจเปนสยามภาษาแท้ๆ ก็พึงสันนิถานได้ว่าเป็นอธิบดีที่ตั้งแห่งราชการ ก็ธรรมดาอธิบดีแห่งราชชกิจน้อยใหญ่แล้วก็ย่อมเป็นที่พึ่งที่ภำนักนิ์แห่งเอนกชนนิกร ชาวราษฎรหวังใจได้ว่าเปนผู้ปกครอง…”[15]
การแปลศัพท์คำว่า ‘คอเวอนแมนต์’ เป็นคำว่า ‘ราชาธิปไตย’ แสดงให้เห็นถึงพลวัตและการปรับตัวทางความรู้ทางการเมืองของสยาม ดังที่ งานศึกษาของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ในช่วงที่ทำสัญญาเบอร์นีและในขณะทำสัญญาเบาริงนั้น ชนชั้นนำสยามยังไม่มีแนวคิดเรื่อง ‘คอเวอนเมนต์’ (ซึ่งในปัจจุบันแปลว่ารัฐบาล) สมัยใหม่ คำว่า ‘คอเวอนเมนต์’ ปรากฏมีการใช้ครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ.2398 แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเข้าใจว่า ‘คอเวอนเมนต์’ คือเสนาบดีผู้ใหญ่จำนวนสามสี่คนที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ เสนาบดีคนอื่นไม่เกี่ยว รวมทั้งไม่เกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์ด้วย…ส่วนคำภาษาไทยที่ใช้กันในสมัยรัชกาลที่ 4 รวมทั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนปี พ.ศ.2416 นั้นมีหลายคำ เช่น เคาวันเมน เกาวันแมน คอวันมัน กะละแมน กัดมันฟัน และคอเวอนเมนต์ จนกระทั่งภายหลังเสด็จกลับจากประพาสต่างประเทศแล้ว การเขียนว่า ‘คอเวอนเมนต์’ ก็ปรากฏว่ามีความคงเส้นคงวาในหนังสือราชการ และที่สำคัญยิ่งกว่าการเขียนก็คือความเข้าใจว่า ‘คอเวอนเมนต์’ คือพระเจ้าแผ่นดินที่เห็นได้ชัดในช่วงทศววรษที่ 2420 จนถึงช่วงการปฏิรูปการปกครอง เพราะเมื่อแรกบัญญัติคำ ‘คอเวอนเมนต์’ เป็นคำไทย ชนชั้นนำได้เลือกบัญญัติคำว่า ‘ราชาธิปไตย’ ขึ้นแทน ‘คอเวอนเมนต์’..”[16]
กล่าวได้ว่า เมื่อพิจารณาความรู้ความเข้าใจทางการเมืองของยุคสมัยในการเปรียบเทียบระบอบการปกครองของสยามกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาพตัวแทนของประเทศที่ปกครองด้วยแนวคิดระบอบ ‘รีปับลิก’ หรือที่ถูกเรียกเข้าใจเป็นภาษาไทยในงานเขียนของ ก.ศ.ร.กุหลาบว่า ‘ประชาธิปไตย์’ ซึ่งความรู้ในประเด็นนี้จะนำไปสู่ประเด็นข้อเสนอของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ว่ามิได้ต้องการให้สยามเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองเป็น รีปับลิก หรือ ‘ประชาธิปไตย์’ แต่เสนอให้มี ‘ปาลิเมนต์’ ดังปรากฏในบทความชื่อ ‘เมื่อไหร่หนอ’ ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ กล่าวอย่างรำพึงรำพันว่า
“เมื่อไหร่หนอ เมืองไทยจะมีปาลิเมนต์ เหมือนประเทศยุโหรปบ้าง เมื่อไหรหนอ จะได้มีฮิศแมเยศติ ออฟโปซีแชน เหมือนเมืองอังกฤษขึ้นบ้าง”[17]
หากสังเกตจากแนวความคิดทางการเมืองของ ก.ศ.ร.กุหลาบ จะพบว่า ในงานเขียนที่กล่าวถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นภาพตัวแทนในการทำความเข้าในแนวคิดทางการเมืองว่าด้วยรูปแบบการปกครองแบบ’คอนสติติวชั่นแนลโมนากี’ ก.ศ.ร.กุหลาบ นิยมเรียก ‘ราชาธิปไตย์อังกฤษ’[18] แนวคิดดังกล่าวนี้ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ แม้จะเป็นหลักฐานไม่กี่ชิ้นของยุคสมัยที่พบในปัจจุบัน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงเค้าลางแนวความคิดทางการเมืองที่สำคัญของคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ว่าหมายถึงแนวคิดการปกครองแบบ ‘รีปับลิก’ ขณะที่แนวคิดรูปแบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในระบอบการเมืองถูกนิยามและแปลให้เข้าใจในภาษาไทยว่า ‘ราชาธิปไตย’
อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิด ‘ราชาธิปไตย’ จะมีทั้งแบบ ‘แอบโสลูดโมนากี’ และ ‘คอนสติติวชั่นแนลโมนากี’ แต่ก็มีการจัดประเภทองค์ประกอบของความแตกต่างดังกล่าวไว้ กล่าวคือ แนวความคิดทางการเมืองแบบ ‘คอนสติติวชั่นแนลโมนากี’ เชื่อมโยงกับเงื่อนไขของการมี ‘คอนสติติวชั่น’ และ ‘ปาลิเมนต์’ โดยที่ปาลิเมนต์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ราษฎรมีสิทธิในการเลือกผู้แทนเข้าไปแสดงความคิดเห็นในนามตัวแทนของราษฎร ซึ่งโดยนัยหนึ่งก็ถือเป็นปันพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์แบบ ‘แอบโสลูดโมนากี’ ดังนั้น ความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของยุคสมัยในข้อเสนอความเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองสยามของปัญญาชนสามัญทั้ง เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ จึงไม่ใช่การเสนอความเปลี่ยนแปลงจาก ระบอบราชาธิปไตย มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย หากแต่เสนอเป็นระบอบ ‘คอนสติติวชั่นแนลโมนากี’
โดยแท้จริงแล้ว หากพิจารณาแนวคิดในงานเขียนของทั้ง เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ ต่างก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสองเป็นปัญญาชนสามัญชนที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์[19] ดังนั้น แม้ทั้งสองจะเสนอให้สยามมี ‘ปาลิเมนต์’ แต่แกนหลักอันเห็นได้ชัดคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งอำนาจและบทบาททางการเมือง ทั้งสองเพียงแต่มีความเห็นถึงข้อจำกัดของระบอบราชาธิปไตยแบบ ‘แอบโสลูดโมนากี’ ที่ราษฎรมิได้มีสิทธิมีเสียงของตนในระบอบการเมือง ดังที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ กล่าวว่า
“แต่ในหมู่ประชุมชนราษฎร ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอเนกกิจติดค้างต่างๆนั้น ก็เพราะบ้านเมืองยังไม่เปนสิวิไลย์แท้ แลยังไม่มีราชาธิปตัยมั่นคงแขงแรงพร้อมเพรียง คือยังขาดหัวหน้าของราษฎรที่มีอำนาจอันชอบธรรมจะพูดด้วยกิจคะดีขัดข้องแทนราษฎร ได้ในสภาคาระสฐาน (คือพาลีเมนต์) ที่ประชุมปฤกษาการของราษฎรนั้นยังไม่มี…เราหวังใจได้เป็นแน่นอนว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระจ้าวอยู่หัวของเราเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศยุโหรปครั้งนี้ คงทรงพระกรุณาโปรฎเกล้าฯ ให้ตั้งสภาคารสฐานพาลิเมนต์ให้มีหัวหน้าราษฎรพูจโต้ตอบคัดค้านอำนาจแผ่นดินได้ตามกฎหมาย”[20]
ทั้งนี้ ก.ศ.ร. ยังได้เสนอโครงสร้างของสถาบันการเมืองของสยามที่มี ‘ปาลิเมนต์’ เป็นหน่วยหนึ่งของสถาบันการเมือง ซึ่งเขาเรียกว่า ‘ตรีเอกาอิศรานุภาพ’ และยังแสดงให้เห็นแนวคิดทางการเมืองว่าด้วยศัพท์คำว่า ‘รัฐบาล’ อีกมิติหนึ่ง ดังความว่า
“…แต่บ้านเมืองประเทศเอซิยานั้น แม้จะตั้งคอเวอนแมนต์ขึ้นก็ยังไม่เป็นศิวิแท้ได้ เป็นแต่เงาศิวิไลเท่านั้น เพราะด้วยมีคอเวอนแมนต์ไม่พร้อมเพรียงกัน ยังขาดอำนาจอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีพาลิเมนต์ คือ ‘สภาคารสฐาน’ ที่ประชุมปฤกษาการของหัวหน้าราษฎร เพราะเหตุดั่งนี้จึ่งว่าไม่พร้อมเพรียง ‘ตรีเอกาอิศรานุภาพ’ นี้ได้แก่คอเวอนแมนต์ คือกำลังอำนาจทั้งสามนั้น คือพระมหากษัตริย์ 1 เสนาบดี 1 ราษฎร 1[21]
“เราได้พิเคราะห์ตริตรองดูอาการลักษณะ ของผู้ปกครองราชการบ้านเมืองใหญ่น้อย คือมหาประเทศและจุฬประเทศเป็นต้น ย่อมมีขนบธรรมเนียมอันดีเรียบร้อยสุภาพ แลตั้งอยู่ในวิธียุติธรรมทั่วไป ไม่เลลือกหน้าว่าผู้ดีแลไพร่ผู้ใดเลย เพราะเหตุการเช่นนี้จึ่งได้มีชื่อว่า ‘สิวิไลย’ สิวิลัยคำนี้ไม่ใช่จะมีขึ้นได้โดยง่ายเมื่อไร ต่องอาไสย์พร้อมเพรียงหมู่ประชุมอเนกชนเป็นต้น อาไสย์ความบำรุงเปนปริโยสาร การงานอันใดที่จะเป็นสิวิไลย์ (มีขนบธรรมเนียม) นั้นต้องอาไสย์แก่อำนาจกำลังทั้งสาม คือ: อำนาจกำลังพระมหากษัตริย์ 1 อำนาจกำลังเสวกามาตย์ราชปรินายก 1 อำนาจกำลังทวยราษฎรพลเมือง 1 ทั้งสามอำนาจอันนี้มีประชุมขึ้น ในบ้านใดเมืองใดประเทศใด จึ่งได้ชื่อว่า คอเวอนเมนต์ (ราชาธิปตัย-หรือ-ประชาธิปตัย)
“ความสิวิลัยต้องอาไสย์คอเวอนเมนต์ คอเวอนเมนต์ต้องอาไสย์ความสิวิไลย์ บ้านเมืองจึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองได้…รัฐบาล ก็เปนบริพารของราชาธิปไตยในประเทศนั้นๆ คือพระมหากษัตริย์ต้องลดหย่อนผ่อนพระราชอำนาจให้แก่เสนาบดีและราษฎรบ้างบางอย่าง เสนาบดีต้องผ่อนธรรมเนียม ถวายพระมหากษัตริย์บ้างให้ราษฎร ราษฎรก็ต้องลดย่อนผ่อนพูนเพิ่มภาษีอากรรณ์ ทะนุบำรุงพระมหากษัตริย์แลเสนาบดีบ้านเมืองของตนบ้าง แม้เปนอย่างนี้จึ่งเรียกว่า สามัคคีสิวิลัย ‘พร้อมเพรียงเรียบร้อยด้วยขนบธรรมเนียมอันดี’ อย่างธรรมเนียมปกครองบ้านเมืองที่มีคอนเวอนแมนต์เปนสิวิลัยนั้น ย่อมจะเปนเช่นที่เรากล่าวมานี้โดยสังเขป”[22]
จากบทความของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้เน้นย้ำข้อเสนอให้มี ปาลิเมนต์ หรือ ‘สภาคารสฐาน’ เป็นสำคัญ โดยยังคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมือง ทั้งนี้ เมื่อมองถึงต้นแบบทางการเมืองในต่างประเทศแก่สยามในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้พยายามยกการปกครองของญี่ปุ่นมาอธิบายในบทความ ‘ความปกครองของรัฐบาลยี่ปุ่นดีอย่างไร’ โดย ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้อธิบาย ว่า
“1. ชั้นแรก ญี่ปุ่นจัดการเปลี่ยนแปลงราชประเพณีซึ่งเรียกเป็นภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘แอฟโสลุดโมนากี’เป็นราชประเพณีซึ่งเรียกว่า ‘คอนสะติตัวชาแนลมนากี’ ให้คล้ายราชประเพณีดังประเทศยุโรป มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองพระองค์เดียว มีเสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาททุกกระทรวงช่วยราชการบ้านเมือง …2. ต่อมาญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมการปกครองใหม่ไม่ให้เป็นไปในทางอยุติธรรมข่มขี่แก่ราษฎรพลเมือง…3. ญี่ปุ่นจัดให้รัฐบาลและ ‘รัฐมนตรีสภาค์’ และ ‘มหาสภาคาร (คือ ปาลิเมนต์) เพื่อจะให้พลเมืองมีความสุขเสมอกัน มีอำนาจโดยความยุติธรรมทั่วหน้ากัน จึงตั้งกฏหมายที่ใช้ทั่วกัน เช่นกฏหมายของชาวตะวันตกๆใช้อย่างไร ญี่ปุ่นก็ใช้อย่างเดียวกัน…4. ญี่ปุ่นตรวจสอบกฎหมายของตนเทียบกับยุโรปแล้วจัดการเปลี่ยนแปลง…5.พลเมืองมีความเสมอภาค มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น เจ้านายขุนนางและราษฎรทั่วพระราชอาณาจักรมีอำนาจเสมอกัน…”[23]
เมื่อพิจารณาแนวคิดข้อเสนอของ ก.ศ.ร.กุหลาบ พบว่าแนวทางรูปแบบการปกครองดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับแนวคิดแบบ ‘คอนสติตูชั่นนอลโมนากี’ หรือที่เขาเรียกว่า ‘ตรีเอกาอิศรานุภาพ’ กระนั้นภายใต้แนวคิดของ ก.ศ.ร.กุหลาบ แม้จะปรากฏเค้าลางความต้องการ ‘คอนสติตูชั่น’ แต่ก็จะพบว่ามิได้ประสงค์หมายถึงกฎหมายที่จำกัดพระราชอำนาจหรือเป็นกฎหมายที่ดำรงอยู่เหนือพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ หากแต่มีนัยยะต้องการให้มีกฎหมายที่ใช้อำนาจโดยยุติธรรมทั่วหน้าไม่แบ่งว่า ‘ไพร่หรือผู้ดีหรือขุนนาง’และ ‘เจ้านายขุนนางและราษฎรทั่วราชอาณาจักรมีอำนาจเสมอกัน’
ข้อเสนอของ ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดทางการเมืองที่สำคัญของระบอบราชาธิปไตย เพราะสำหรับ ก.ศ.ร.กุหลาบ ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยที่ไม่มีปาลิเมนต์หรือแบบ ‘แอบโสลูดโมนากี’ เป็น ‘ราชาธิปไตยที่ไม่สิวิลัย’ แนวคิดความสิวิลัยของ ก.ศ.ร.กุหลาบ มิได้หมายถึงแต่เพียงความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุหรือสาธารณูปโภคบริโภค เช่น การรถไฟ โทรเลข หากแต่ยังผูกโยงเข้ากับระบอบการเมืองและสถาบันทางการเมืองอย่าง ‘ปาลิเมนต์’
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นและโลกทัศน์ของชนชั้นผู้ปกครองสยามนั้น ข้อเสนอ/ข้อร้องเรียกของราษฎรในทางการเมืองเป็นสิ่งที่บังอาจมิบังควรและยังไม่เหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมประเพณี จิตใจของผู้คนในสังคมประเทศสยาม ซึ่งก็คงเป็นเหตุทำให้ทั้ง เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ ถูกประเมินพิจารณาจากสายตาและความเห็นของชนชั้นผู้ปกครองว่าทั้งคู่เป็นพวก ‘ฟุ้งซ่าน’ และมิได้ตอบสนองข้อเสนอดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ความคิด ความรู้ และข้อเสนอการมี ‘ปาลิเมนต์’ ในสมัยระบอบราชาธิปไตยสยาม ก็นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง (History of Political Thought) ที่แสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้น พลวัต และพัฒนาการทางการเมืองของสยามว่ามีสายธารความเป็นมาจวบจนถึงกาลปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ที่ ‘ปาลิเมนต์’ ของสยามได้เริ่มตั้งไข่ และล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
[1] ดูประวัติการเกิดขึ้นของกิจกรรมการพิมพ์สมัยใหม่ในสยาม ได้ใน สุกัญญา ตีระวนิช, ประวัติการหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พ.ศ.2325-2475), (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2520), 9-22.
[2] ดูประเด็นนี้ใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2553), 5 – 10.
[3] ดูประวัติของหมอบลัดเล และ นิตสารบางกอกรีคอร์เดอ รวมถึงบทวิเคราะห์ว่าด้วยจุดเริ่มต้นของความคิดเสรีนิยมในสยามจากงานเขียนของหมอบลัดเล ใน ภาคภูมิ วิณิชกะ, ‘การเริ่มต้นของเสรีนิยมในประเทศไทย: แดน บีช บลัดเล และบางกอกรีคอร์เดอร์’, วารสารมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (ธันวาคม,2558), 1-25.
[4] ดูประเด็นนี้ใน ธงชัย วินิจจะกูล, ‘ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่าศิวิไลซ์: เมื่อชนชั้นนาสยามสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหาสถานะของตนเอง ผ่านการเดินทางและพิพิธภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศ’ รัฐศาสตร์สาร, ปีที่ 24, ฉบับที่ 2 (2546): 1- 66.
[5] ดรุโณวาท, เล่ม 1 (เดือน 9 ขึ้น 15 ค่ำ จ.ศ.1236), 268. อ้างใน สุกัญญา ตีระวนิช, ประวัติการหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พ.ศ.2325-2475), 38. (สะกดตามต้นฉบับ)
[6] ‘การฝรั่งเสศกับจีน’, จดหมายเหตุสยามไสมย (วันพุธ เดือน 10 แรม 7 ค่ำ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช 1247), 41-42 อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, (กรุงเทพฯ : มติชน, 2560), 173. (สะกดตามต้นฉบับ)
[7] ดู เครก เจ. เรย์โรลด์ส , เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และคนสามัญ , (พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2556), 7-10.
[8] ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ.2417-2477 , (กรุงเทพฯ: โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2518), 137. และดูชีวประวัติและงานของเทียนวรรณ ได้ใน ชัยอนันต์ สมุทรวณิช, สรรนิพนธ์ของเทียนวรรณ, (กรุงเทพฯ: องค์การศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2517) และ สงบ สุริยินทร์, เทียนวรรณ, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: รวมสาส์น,2543)
[9] อ้างใน สงบ สุริยินทร์, เทียนวรรณ, 215.
[10] ตุลวิภาคคพจนกิจ, เล่มที่ 5 , วันที่ 16 มิถุนายน ร.ศ.124, แผนที่ 203 อ้างใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ.2417-2477, 136-146. อย่างไรก็ดีงานศึกษาของ ชัยอนันต์ และ ขัตติยา อ้างว่า เทียนวรรณ เขียนเรื่องนี้ที่เมืองจันทบุรีประมาณปี พ.ศ.2515 และได้ให้นายรอบบุตรชายนำไปถวายพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสวัสดิวัฒนวิสิษฐ เมื่อปี พ.ศ.2432 โดยตั้งใจที่จะให้เป็นข้อเสนอในการจัดเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมแผ่นดินของสยาม เมื่อเทียนวรรณ พิมพ์ตุลวิภาคพจนกิต จึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้ด้วย.
[11] ดูประวัติและงานศึกษาความคิดของ ก.ศ.ร. ได้ใน เครก เจ. เรย์โรลด์ส , ‘คดีไต่สวน ก.ศ.ร.กุหลาบ: การท้าทายงานเขียนประวัติศาสตร์ราชวงศ์ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19’, ใน เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และคนสามัญ , 2-55.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช, เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ, (กรุงเทพฯ: ธีรนันท์,2522).บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, และดูเหตุผลการปะทะทางโลกทัศน์และวัฒนธรรมงานเขียนของ ก.ศ.ร.กุหลาบ กับ ราชสำนักสยามใน ธงชัย วินิจจะกูล, ‘กุ ลอบ ลอก แต่งแบบไพร่ๆ ความผิดของ ก.ศ.ร.กุหลาบที่ตัดสินโดยนักประวัติศาสตร์อำมาตย์’, ใน เจ้าพ่อ ประวัติศาสตร์ จอมขมังเวทย์: รวมบทความเพื่อเป็นเกียรติในโอกาสครอบรอบ 60 ปี ฉลอง สุนทราวาณิชย์, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์,2558), 119 -163.
[12] ดูความสัมพันธ์ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ และ หมอสมิท เพิ่มเติมใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 97-99.
[13] ดู บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, อ้างแล้ว, น.209-212.
[14] ‘คำนำ ฝรั่งเศสกับนาๆประเทศ’, สยามไมตรี (23 แมษายน 114-สยามออบเซอร์เวอร์ 17 เมษายน 114): 146 อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, อ้างแล้ว, น.213.
[15] ‘อารัมภะวัณณะนา (คำนำ) ตรีเอกาอิศรานุภาพ’, สยามไมตรี (5 มกราคม 115-สยามออบเซอร์ 29 ธันวาคม 115): 1-2. อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, อ้างแล้ว, น.312.
[16] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ‘แนวความคิดชาติบ้านเมือง: กำเนิด พัฒนาการ และอำนาจการเมือง, ใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 (มิถุนายน 2549), 10-11.
[17] งานเขียนชิ้นนี้ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ นับว่ามีความสำคัญและได้รับการพูดถึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ดู บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 301-305.
[18] ดู บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, อ้างแล้ว, น.216-218.
[19] ดู ใน ชัยอนันต์ สมุทรวณิช, สรรนิพนธ์ของเทียนวรรณ, 53 – 63. ในประเด็นนี้ ส.ธรรมยศ ให้ทัศนะว่า ‘เทียนวรรณในวัยชรา…มีความละม้ายกับมหาตมะคานธีมาก ความห้าวหาญรุนแรงต่างๆลดอ่อนลงตามสังขาร เป็นต้นเช่นความคิดเห็นในการมีปาลิเม็นต์และมีปรีไซเด็นท์ได้ผ่อนคลายเป็นการมีเพียงองคมนตรี และพระราชาทรงเป็นประมุขของประเทศเหนือกฎหมาย…’ ดู สงบ สุริยินทร์, เทียนวรรณ, 19 – 20. ขณะที่แนวคิดของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ในประเด็นนี้เห็นได้จากความคิดว่าด้วยสำนึกในความเป็นชาติ ที่กล่าวยกย่องและเทิดทูลพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองในรัฐมณฑลพระราชอาณาเขตสยาม และที่พึ่งของลูกบ้านพลเมืองของไทยใต้พระบรมโพธิสมภารพระบารมี ดู บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 266-272.
[20] ‘อารัมภะวัณณะนา (คำนำ)’ สยามไมตรี (23 กุมภาพันธ์ 115-สยามออบเซอร์เวอร์ 19 กุมภาพันธ์ 115): 1. อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 297.
[21] ‘อารัมภะวัณณะนา (คำนำ) ตรีเอกาอิศรานุภาพ’, สยามไมตรี (5 มกราคม 115-สยามออบเซอร์เวอร์ 29 ธันวาคม 115): 1-2 อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 313. (สะกดตามต้นฉบับ)
[22] ‘อารัมภะวัณณะนา (คำนำ) [อาการของผู้ปกครองใหญ่น้อย-ความสิวิลัยจะมีขึ้นง่ายเมื่อใด], สยามไมตรี (2 กุมภาพันธ์ 115-สยามออบเซอร์เวอร์ 31 มกราคม 115): 101-102. อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 314-315. (สะกดตามต้นฉบับ)
[23] ‘ความปกครองของรัฐบาลยี่ปุ่นดีอย่างไร’, สยามประเภท 7, 5 (เมษายน 125): 123. อ้างใน บุญพิสิฐ ศรีหงส์, แกะปมจินตภาพ นาย ก.ศ.ร. กุหลาบแห่งกรุงสยาม, 323-325.