พรรคการเมืองสมัยใหม่ของโคลอมเบีย: จากยุคสองพรรคใหญ่ สู่ความอ่อนแอของระบบพรรคการเมือง

ย้อนไปในปี 2002 โคลอมเบียได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นซึ่งปรากฏว่า อัลวาโร อูริเบ (Álvaro Uribe) ได้คะแนนเสียงไปอย่างถล่มทลายและได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ โดยอูริเบนั้นนับเป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนหลังจากที่การเมืองโคลอมเบียอยู่ภายใต้การแข่งขันระหว่างสองพรรคเก่าแก่อย่างพรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยมมายาวนาน แต่เนื่องด้วยทั้งสองพรรคการเมืองดั้งเดิมนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่หลายเรื่องในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งให้ประชาชนมองหาตัวเลือกใหม่อย่างอูริเบ และกล่าวได้ว่าชัยชนะของอูริเบในครั้งนี้นับเป็นจุดที่แสดงให้เห็นความเสื่อมถอยของระบบพรรคการเมืองในโคลอมเบีย

สิ่งที่เกิดขึ้นในโคลอมเบียนี้นับว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกาในช่วงเวลาเดียวกัน ที่หลายประเทศต่างก็เลือกนักการเมืองหน้าใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเปรูที่มีอัลเบร์โต ฟูฆิโมริ (Alberto Fujimori) ก้าวขึ้นมาในปี 1990, เวเนซุเอลาที่มีฮูโก ชาเบซ ก้าวขึ้นมาในปี 1998 และเอกวาดอร์ ที่มีราฟาเอล กอร์เรอา ขึ้นมาในปี 2006 โดยในช่วงเวลานั้น หลายประเทศทั่วลาตินอเมริกาก็ประสบภาวะระบบพรรคการเมืองถดถอยเช่นกัน เนื่องด้วยความไร้ประสิทธิภาพของพรรคการเมืองใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่สองของการครองอำนาจของแต่ละพรรค

อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ระบบพรรคการเมืองลาตินอเมริกาถดถอยในช่วงนั้น คือการที่พรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นคู่แข่งกันในแต่ละประเทศต่างเริ่มทิ้งอุดมการณ์เดิม จนทำให้อุดมการณ์ของแต่ละพรรคลดความแตกต่างลงไปเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ฐานเสียงลดลงไปอย่างมาก เช่น อาร์เจนตินาในสมัยประธานาธิบดี การ์โลส เมเนม (Carlos Menem, 1989-1999) ซึ่งพรรคการเมืองที่เขาสังกัดนั้นได้ทิ้งอุดมการณ์สังคมนิยม และหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีในการบริหารประเทศ จนส่งผลต่อคะแนนเสียงไม่น้อย ขณะที่พรรคการเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรค The Acción Democrática (AD) ของเวเนซุเอลา, พรรค The Movimiento de Izquierda Revolucionaria (MIR) และพรรค The Movimiento Nacionalista Revolucionario (MNR) ของโบลิเวีย ก็ต่างค่อย ๆ ล่มสลายไป

โคลอมเบียก็คล้ายกับประเทศอื่นๆ โดยพรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยมนั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งลดความแตกต่างทางอุดมการณ์การเมืองลง จนมีแนวทางการบริหารประเทศที่คล้ายคลึงกัน นับจากยุค The National Front (การแบ่งสรรอำนาจการเมืองระหว่างพรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยมในช่วงปี 1958-1974) เป็นต้นมา โดยเกิดจากความต้องการที่จะลดความรุนแรงทางการเมืองระหว่างสองพรรคในขณะนั้น จึงกล่าวได้ว่าการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองพรรคในช่วง The National Front นี้เองได้ส่งผลกระทบไกลจนเป็นเหตุไปถึงความเสื่อมถอยของการเป็นสถาบันทางการเมืองของระบบสองพรรคการเมืองโคลอมเบียในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และ 2000 ทำให้สถานการณ์ของโคลอมเบียนั้นค่อนข้างเฉพาะและแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในลาตินอเมริกา

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความเสื่อมถอยของระบบพรรคการเมืองในบรรดาประเทศลาตินอเมริกานั้นยังมีอีกหนึ่งปัจจัยคือความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพรรคใหญ่ โดยเหตุการณ์ที่ตอกย้ำให้เห็นปัญหานี้ชัดเจนขึ้นคือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในคริสต์ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการล่มสลายของระบบพรรคการเมืองในเปรูและเวเนซุเอลานับจากคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เรื่อยมาจนถึงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 อย่างไรก็ดีโคลอมเบียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในลาตินอเมริกาที่สามารถก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจในตอนนั้นได้[1] แต่สิ่งที่โคลอมเบียต้องเผชิญคือปัญหาความรุนแรงซึ่งส่งผลให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อการจัดการปัญหาดังกล่าวที่ล้มเหลวไม่ว่าจะเป็นการบริหารประเทศโดยพรรคเสรีนิยมหรือพรรคอนุรักษนิยมก็ตาม

ในความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับเครือข่ายค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ในเมืองเมะดะยีนและเมืองกาลี และการสู้รบกับพวกกบฏฝ่ายซ้ายและกองกำลังกึ่งทหารนอกกฎหมายฝ่ายขวา ทั้งสองพรรคล้วนไม่สามารถเอาชนะสงครามดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งในการต่อกรก็ตาม โดยประธานาธิบดีนับตั้งแต่รัฐบาลของเบลิซาริโอ เบตันกูร์ (Belisario Betancur, 1982-1986) จนถึงรัฐบาลของอันเดรส ปัสตรานา (Andrés Pastrana, 1998-2002) ต่างก็ตั้งโต๊ะเจรจาสันติภาพ ควบคู่ไปกับการใช้กองทัพเข้าปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ เห็นได้ว่าทั้งสองพรรคมีการทำงานในเรื่องนี้ไม่แตกต่างกัน คือใช้ทั้งการเจรจากับการเข้าปรามปราม แทนที่จะเลือกนโยบายด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ

สถานการณ์ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยของรัฐบาลปัสตรานา โดยเฉพาะในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 การลักพาตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,122 คน ในปี 1990 เป็น 3,306 คนในปี 2002 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 195) การฆาตกรรมเพิ่มขึ้นจากอัตราส่วน 58 ต่อแสนคนในปี 1990 เป็น 149 ต่อแสนคนในปี 2002 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 156) การโจมตีจากผู้ก่อการร้ายเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้งในปี 1989 เป็น 21 ครั้งในปี 2002 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 950) ประชาชนที่เป็นเหยื่อของสงครามเพิ่มขึ้นจาก 60 คนในปี 1990 เป็น 218 คนในปี 2002 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 263) และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวโคลอมเบียยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฆาตกรรมและการลักพาตัวสูงที่สุดในโลก

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว อูริเบ อดีตสมาชิกพรรคเสรีนิยมที่มีชื่อเสียงในฐานะคนที่ให้ความสำคัญกับนโยบายปราบปรามกลุ่มผิดกฎหมายเป็นหลัก ตั้งแต่สมัยเขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแอนทิโอเกีย ได้ชูนโยบายสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมโคลอมเบียเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2002 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนโคลอมเบียเป็นจำนวนมาก จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว

ตลอดสมัยของอูริเบ การสร้างความมั่นคงปลอดภัยภายในประเทศได้กลายมาเป็นนโยบายหลักทางการเมืองของประเทศ นักการเมืองไม่ว่าจะฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาต่างก็นำเสนอนโยบายที่หลากหลายในการต่อกรกับกองกำลังนอกกฎหมาย ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ให้การสนับสนุนนโยบายของอูริเบ อย่างไรก็ตามการที่อูริเบไม่กล้าตัดสินในการก่อตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนตัวเขาเอง ส่งผลเสียให้การสร้างความเป็นสถาบันทางการเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง ระบบพรรคการเมืองของโคลอมเบียจึงตกอยู่ระหว่างการล่มสลายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การที่อูริเบอาศัยความร่วมมือทั้งจากสมาชิกบางส่วนของทั้งพรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยม ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ทั้งสองพรรคนี้อ่อนแอลง จึงกล่าวได้ว่าตัวประธานาธิบดีอูริเบมีส่วนสำคัญในการบั่นคลอนระบบพรรคการเมืองหลัก ทำให้ไม่สามารถเกิดพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็งขึ้นมาได้เลยในช่วง คริสต์ทศวรรษที่ 2000

การที่อูริเบตัดสินใจลงสมัครในนามอิสระ ทั้งๆ ที่มีพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก รวมถึงพรรคอนุรักษนิยมบางส่วนที่ให้การสนับสนุนเขาก็ตาม เป็นการส่งสัญญาณว่าเขาเองนั้นไม่ได้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองไหน ในทางกลับกันเขาได้จัดสรรตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลของเขาให้แก่กลุ่มการเมืองที่สนับสนุนเขาให้มีลักษณะคอยถ่วงดุลอำนาจกันเอง เมื่อเขาสงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2006 เขาก็ได้ใช้กลุ่มการเมืองอิสระที่มีเขาเป็นสัญลักษณ์ในนาม Primero Colombia อีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับตัวเขาดังเองที่ได้อธิบายไปแล้วในช่วงต้น

อูริเบวางตัวเองไว้เหนือการแข่งขันทางการเมือง ขณะที่ระบบพรรคการเมืองหลักได้อ่อนแอลงก่อนที่เขาจะเข้ามามีอำนาจ ด้วยอัตลักษณ์ของเขาที่มีทีท่าต่อต้านการเมืองในระบบ การแยกตัวออกจากพรรคสรีนิยมผนวกกับการร่วมมือกับบางส่วนของพรรคอนุรักษนิยม เท่ากับเป็นการบ่อนเซาะพรรคการเมืองหลักทั้งสอง การที่คนในพรรคอนุรักษนิยมบางส่วนให้การสนับสนุนอูริเบส่งผลเสียต่อพรรคในระยะยาว แม้ว่าพรรคจะได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในการเลือกตั้งปี 2010 ก็ตาม การที่อูริเบไม่ยอมรับว่าพรรคอนุรักษนิยมเป็นของเขา ทำให้ในพรรคอนุรักษนิยมแตกออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายที่ต่อต้านอูริเบ

ในขณะเดียวกันชัยชนะของอูริเบก็ส่งผลเสียต่อพรรคเสรีนิยมด้วย เพราะเมื่ออูริเบได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2002 สมาชิกหลายคนของพรรคเสรีนิยมก็ได้ย้ายมาสังกัดพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุนอูริเบ ส่งผลให้พรรคเสรีนิยมสูญเสียผู้นำทางการเมืองที่สำคัญในพรรคไปจำนวนไม่น้อย รวมถึงทำให้เครือข่ายทางการเมืองของพรรคลดลง ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาการเป็นประธานาธิบดีของอูริเบ พรรคเสรีนิยมได้รับการสนับสนุนทางทรัพยากรจากรัฐบาลน้อยมาก ส่งผลเสียต่อตัวพรรคเสรีนิยมเองในการขาดเงินที่จะหล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์แบบเดิมๆ ของพรรค รวมทั้งเสียแรงดึงดูดนักการเมืองให้เข้ามาสังกัดพรรคของตน ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาการเป็นพันธมิตรกับประธานาธิบดี ฆวน มานูเอล ซานโตส (Juan Manuel Santos) จะช่วยให้พรรคเสรีนิยมกลับมามีบทบาทอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถจะกลับไปรุ่งเรืองเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปได้

ในกรณีของโคลอมเบียนั้นการเสื่อมลงของพรรคการเมืองหลักไม่ได้ก่อให้เกิดพรรคการเมืองใหม่ที่เข้มแข็ง แม้ว่ากลุ่มที่สนับสนุนประธานาธิบดีอูริเบ ได้รับชัยชนะเป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองเดียวขึ้นมา พวกเขาได้รวมตัวกันอย่างหลวมๆ ยิ่งไปกว่านั้น อูริเบก็ไม่เคยสนับสนุนใครให้ขึ้นมาเป็นแกนนำของกลุ่มนักการเมืองที่สนับสนุนเขา อีกทั้งยังกำจัดผู้ที่กล้าท้าทายอำนาจของเขาอีกด้วย

เมื่อใกล้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ในปี 2010[2] มีนักการเมืองเป็นจำนวนมากต่างเสนอตัวเป็นทายาททางการเมืองของอูริเบในการลงแข่งขันชิงตำแหน่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงคนเดียวที่อูริเบให้การสนับสนุนซึ่งก็คือฆวน มานูเอล ซานโตส ผู้เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยรัฐบาลของอูริเบนั่นเอง

ระบบพรรคการเมืองของโคลอมเบียถูกสลายความเป็นสถาบันนับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา การมีอำนาจของสองพรรคการเมืองหลักคือพรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยมได้สิ้นสุดลงในปี 2002 เกิดพรรคการเมืองใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้คะแนนเสียงกระจัดกระจายไปยังพรรคต่างๆ ไม่กระจุกตัวที่สองพรรคหลักเหมือนในอดีต อย่างไรก็ดีระบบพรรคการเมืองในโคลอมเบียยังดำรงอยู่ ไม่ได้ล่มสลายไปเหมือนระบบพรรคการเมืองในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ เปรู และโบลิเวีย พรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยมยังคงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในโคลอมเบียไม่มากก็น้อย

การล่มสลายของความเป็นสถาบันทางการเมืองของระบบพรรคการเมืองหลักในโคลอมเบียมีความคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาและคอสตาริกา โดยในกรณีของอาร์เจนตินา ระบบพรรคการเมืองค่อยๆ ถอยห่างจากการเป็นสถาบันทางการเมืองหลักของประเทศ รวมถึงเกิดความแตกแยกขึ้นในพรรคการเมืองหลักพรรคหนึ่ง โดยพรรค The Radical Party (Unión Cívica Radical) ถูกลดบทบาทลงไปอย่างมาก ขณะที่พรรค The Perón สามารถกุมอำนาจทางการเมืองได้จนถึงปัจจุบัน ยกเว้นก็เพียงแต่ระหว่างปี 2015-2019 เท่านั้น ซึ่งต่างจากกรณีของโคลอมเบียที่ความแตกแยกเกิดขึ้นในทั้งสองพรรคการเมืองหลัก และสำหรับในคอสตาริกา พรรค The Partido Unidad Social Cristiana (The PUSC) ก็ได้สลายตัวไป แต่พรรค The Partido Liberación Nacional (The PLN) ยังคงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในคอสตาริกา โดยตัวแทนของพรรคได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 2006 และ 2010 และได้คะแนนเป็นลำดับที่ 2 ในการเลือกตั้งปี 2014

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และความแตกต่างในอุดมการณ์และนโยบายทางการเมืองระหว่างพรรคเสรีนิยมกับพรรคอนุรักษนิยมที่ลดลงโดยเฉพาะในช่วง The National Front ส่งผลให้ความเชื่อมโยงระหว่างผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งกับพรรคการเมืองทั้งสองลดลง อย่างไรก็ตามปัจจัยนี้ไม่ได้ทำให้เกิดการล่มสลายของความเป็นสถาบันทางการเมืองของระบบพรรคการเมืองในโคลอมเบีย จนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ที่ทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น แม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายดังกล่าวจะไม่ได้เคยรับชัยชนะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ทั้งสองพรรคการเมืองหลักและพรรคฝ่ายซ้ายก็ยังต่อสู้กันในเวทีทางการเมืองหลักของประเทศ

การเปลี่ยนแปลงทางสถาบันในยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เกิดขึ้นเนื่องจากประชาชนมองเห็นว่าประชาธิปไตยของประเทศยังไม่มั่นคง ระบบสองพรรคการเมืองยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรง เปิดช่องให้นักการเมืองหน้าใหม่ที่อาศัยบารมีส่วนตนเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงกติกาทางการเมืองในคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ที่เน้นการกระจายอำนาจส่งผลให้พรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรคอ่อนแอลง ความไม่พอใจในการบริหารประเทศและความคล้ายคลึงกันของนโยบายที่ใช้ในการต่อกรกับกลุ่มนอกกฎหมายตลอดคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลปัสตรานาแห่งพรรคอนุรักษนิยม ผนวกกับการที่พรรคเสรีนิยมก็ไม่มีทางออกในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว ส่งผลต่อการล่มสลายของความเป็นสถาบันทางการเมืองของระบบพรรคการเมืองในโคลอมเบีย บวกกับอาชญากรรมต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม การลักพาตัว การเรียกค่าไถ่ การบังคับขู่เข็ญ รวมถึงจำนวนของประชาชนที่ต้องหนีภัยความรุนแรง ยังเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ตีตัวออกห่างจากพรรคการเมืองหลักและมีนโยบายในการลดความรุนแรงของประเทศเป็นนโยบายหลักได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2002

อย่างไรก็ตามการแข่งขันทางการเมืองในส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นยังคงอยู่ภายใต้การครอบงำของสองพรรคการเมืองหลัก โดยเฉพาะพรรคเสรีนิยมที่ยังได้รับความนิยมอยู่มาก ส่งผลให้ระบบสองพรรคการเมืองในโคลอมเบียยังดำเนินต่อไปได้

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศจะดีขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่แน่ว่าระบบพรรคการเมืองจะกลับสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองหรือไม่ในอนาคต อย่างไรก็ตามได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองของโคลอมเบียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากสเปนเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของโคลอมเบียเข้าคูหาเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2022 เลือกกุสตาโบ เปโตร (Gustavo Petro) นักการเมืองที่มีแนวนโยบายการบริหารประเทศไปทางซ้ายขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของเขา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โคลอมเบียที่ได้ผู้นำหัวเอียงซ้าย

เปโตรชนะคู่แข่งของเขาในการเลือกตั้งรอบสองด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 50.50 โดยคู่แข่งขันของเขาคือโรดอลโฟ เอร์นานเดซ (Rodolfo Hernández) มหาเศรษฐีที่ลงสมัครในนามอิสระ

เปโตรนั้นมีอายุ 62 ปี เคยเป็นสมาชิกกองกำลังฝ่ายซ้าย M-19 ที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้งสกปรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 โดยกองกำลังฝ่ายซ้าย M-19 นี้มีนโยบายต่อต้านความเหลื่อมล้ำในสังคมโคลอมเบียซึ่งมีอยู่สูงมาก และในปี 1985 กองกำลังนี้ได้บุกยึดศาลฎีกาในเมืองหลวงอย่างกรุงโบโกตา เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีในขณะนั้นลาออก และเข้ารับการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม แต่รัฐบาลโคลอมเบียในขณะนั้นได้ตอบโต้อย่างรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คนในเหตุการณ์ครั้งนั้น

เปโตรเข้าร่วมกับกองกำลังฝ่ายซ้าย M-19 ตั้งแต่เขาอายุได้ 17 ปี และเป็นเวลากว่า 10 ปีที่เขาได้ร่วมกับกองกำลังฝ่ายซ้าย M-19 นี้ เขาถูกจับขังคุกเป็นระยะเวลาเกือบปีในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังฝ่ายซ้ายดังกล่าว และถูกทรมานในระหว่างการคุมขังครั้งนั้นด้วย แต่เปโตรไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์บุกยึดศาลฎีกาในปี 1985 เพราะในขณะนั้นเขาถูกควบคุมตัวอยู่ หลังจากได้รับอิสรภาพเขาก็ได้เข้าสู่แวดวงการเมือง เคยเป็นทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงผู้ว่ากรุงโบโกตาอีกด้วย สำหรับการแข่งขันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามครั้งที่สาม และเขาก็ประสบความสำเร็จในที่สุด นับเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของโคลอมเบียที่เดิมมีนโยบายเอียงขวาเป็นหลัก แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง

สำหรับนโยบายในการหาเสียงของ Petro นั้นเขาเน้นเรื่องการต่อต้านความไม่เท่าเที่ยมและความเหลื่อมล้ำในประเทศที่ประชาชนมากกว่าครึ่งหนึ่งยังตกอยู่ในกับดักความยากจนอยู่ ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดเพิ่มภาษีที่ดินที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ส่วนในด้านการศึกษานั้น เขาต้องการให้มีการศึกษาฟรีจนถึงระดับอุดมศึกษา และยังสัญญาว่าจะหาแนวทางใหม่ ๆ ในการต่อสู้กับสงครามยาเสพติด หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเหมือนกับที่ประธานาธิบดีอีวาน ดูเก มาร์เกส (Iván Duque Márquez, 2018-2022) ทำมาตลอดในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสี่ปีของเขา นอกจากนี้เขายังมีนโยบายที่จะชักจูงใจให้เกษตรกรที่ปลูกโคคา หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นแทน เพราะปัจจุบันโคลอมเบียถือเป็นผู้ผลิตโคเคนรายใหญ่ที่สุดของโลก และเขายังมีแนวนโยบายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยลดการบุกเบิกพื้นที่เพื่อแสวงหาแหล่งน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติลง ซึ่งน้ำมันปิโตรเลียมนั้นถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญลำดับต้นๆ ของโคลอมเบียและเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาลมาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี การขึ้นมาของเปโตรเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า ยังอีกนานกว่าที่โคลอมเบียนั้นจะมีระบบพรรคการเมืองที่กลับสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง


[1] อัตราเงินเฟ้อสูงสุดของโคลอมเบียในช่วงระหว่างปี 1980 และ 1990 คือร้อยละ 30 ในปี 1991 เปรียบเทียบกับเปรูในปี 1990 ที่ร้อยละ 7,482, อาร์เจนตินา ในปี 1989 ที่ร้อยละ 3,080 และเวเนซุเอลาที่ร้อยละ 100 ในปี 1996

[2] โดยปกติรัฐธรรมนูญโคลอมเบียปี 1991 กำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้สมัยเดียว เป็นระยะเวลา 4 ปี แต่ในกรณีของอูริเบมีการทำประชามติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะคราวเพื่อให้ Uribe ลงรับสมัครได้เป็นสมัยที่สอง ในปี 2006 เหตุการณ์ทำนองเดียวกันได้เกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยรัฐบาลของฆวน มานูเอล ซานโตส ที่มีการทำประชามติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะคราวเพื่อให้ซานโตสได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สองได้ในปี 2014

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save