ประสาทวิทยาศาสตร์ กับ อำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทย ในการนำเสนอข่าว ‘ยิงเป้า’ กบฏผีบุญศิลา

เกริ่นนำ : เสียงอยู่ไสเสียงงงง!!!

เป็นเรื่องชวนน่าสังเกตว่า แม้ภาษาไทยจะรุ่มรวยทางภาษา แต่สำหรับคำว่า ‘เสียง’ ในภาษาไทยกลับมีรูปคำที่ใช้อย่างเป็นกลางๆ แตกต่างออกไปจากภาษาอังกฤษที่มีทั้งคำว่า ‘Voice’, ‘Noise’ และ ‘Sound’ ซึ่งเป็นคำที่ให้ความหมายและความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ดังนั้น ในอดีตที่ผ่านมาไม่นานนักจึงมีสถานีโทรทัศน์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Voice TV’ มิใช่ Noise TV หรือ Sound TV เพราะคำว่า Voice เป็นเสียงที่มีความหมายในทางการเมือง เช่น เสียงโหวต หรือการใช้สิทธิ์ใช้เสียงทางการเมือง

เสียง เกิดขึ้นได้ทั้งจากธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น และในบางครั้งเสียงก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหรืออาวุธทางการเมือง เช่น เสียงของนกหวีดมายัน (mayan death whistle) ที่มีเสียงราวกับเสียงกรีดร้องของศพเพื่อใช้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ศัตรูฝ่ายตรงข้าม เสียงของนกหวีดทั่วไปที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของสัตว์และควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ (ใครเป็น รด. หรือ ทหารเกณฑ์ คงจินตนาการความหลอนในเสียงนกหวีดครูฝึกได้เป็นอย่างดี) หรือ เสียงจากเครื่องปืนใหญ่เสียง (LRAD) ที่เจ้าหน้าที่รัฐบางประเทศมีไว้สำหรับใช้สลายการชุมชนของกลุ่มผู้ประท้วง

กระนั้น อำนาจของเสียงก็มิใช่ว่าต้องมีเสียงดังเสมอไป แม้แต่เสียงกระซิบก็มีอำนาจ เช่น เสียงพรายกระซิบ ที่หมายถึง ผีพรายที่มากระซิบบอกให้ผู้ที่เลี้ยงตนรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แม้เกิดในที่ห่างไกล หรือเพลง ‘เพียงกระซิบ’ ของวง ดิ อินโนเซ้นท์ และเวอร์ชั่นของวง Blackhead ที่ “เพียงกระซิบบอกบอกฉันสักคำ เธอไม่รัก ไม่อยากจดจำ…” ก็สามารถทำให้ใจดวงนี้ “ช้ำชอกกว่าใคร ช้ำชอกกว่าใคร ช้ำชอกกว่าใคร”

รวมไปถึง เสียงที่มิได้ปรากฏเป็นรูปแบบเสียงหรือเป็นคลื่นเสียงโดยตรง แต่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษร/หนังสือ ก็มีอำนาจด้วยเช่นกัน ดังที่บทความนี้จะนำเสนอถึงอำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทยในเหตุการณ์ประหารชีวิตนายศิลา วงศ์สิน หรือที่เรียกกันว่า ‘กบฏผีบุญศิลา’ ผู้ถูกประหารชีวิตด้วยอำนาจแห่งมาตรา 17 เป็นคนแรกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

มาตรา 17 กับ ประสาทวิทยาศาสตร์

มาตรา 17 เป็นกฎหมายที่ปรากฏในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 โดยบัญญัติไว้ว่า ‘ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญนี้ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ในการระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือราชบัลลังก์ หรือกระทำการอันเป็นการบ่อนทำลายก่อกวนหรือคุกคามความสงบที่เกิดขึ้นภายใน หรือมาจากภายนอกราชอาณาจักร ให้นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการ หรือกระทำการใดๆ ได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นว่านั้นเป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามความในวรรคก่อนแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภาทราบ’

มาตรา 17 ถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับการใช้อำนาจอาญาสิทธิ์อันเด็ดขาดของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ที่แปรเปลี่ยนสถานะจากหัวหน้าคณะปฏิวัติมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (2502 – 2506) ตามธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงมาตรา 17 ผู้คนก็ย่อมจะนึกถึงจอมพลสฤษดิ์ ผู้ซึ่งใช้อำนาจตามมาตรา 17 สั่งประหารชีวิตผู้กระทำความผิดด้วยวิธีการ ‘ยิงเป้า’ จนกลายเป็นที่เลื่องลือและกลัวเกรงในสังคมจนถึงขนาดที่ว่า ‘เวลาพูดถึงสฤษดิ์เนี่ย คนเงียบ ตัวสั่นไปหมด’[1]

จุดประสงค์ในการใช้อำนาจมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์นั้นก็เพื่อเป็นการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ อันหมายถึง เป็นการลงโทษผู้ที่จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่าได้กระทำผิด เช่น ตั้งตนเป็น ‘ผีบุญ’ ผู้นิยมเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ ผู้เคลื่อนไหวปลุกระดมทางการเมือง หรือเป็นผู้ผลิต/พ่อค้าสารเสพติด ด้วยการสั่งประหารชีวิต ‘ยิงเป้า’ อย่างเด็ดขาดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ ในสังคม ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ทำหน้าที่ส่งสารพิธีการเชือดไก่ให้ลิงดูในยุคจอมพลสฤษดิ์ก็คือ หนังสือพิมพ์[2]

ความน่าสนใจของการนำเสนอข่าวการยิงเป้าด้วยอำนาจมาตรา 17 ของหนังสือพิมพ์ไทยคือ หนังสือพิมพ์มิได้เพียงแต่นำเสนอข่าว/ภาพของบุคคลที่ 1 อย่างจอมพลสฤษดิ์ในฐานะผู้ออกคำสั่ง และบุคคลที่ 2 อย่างผู้ถูกประหารชีวิตยิงเป้า แต่ยังนำเสนอความเคลื่อนไหว อารมณ์ความรู้สึก และ ‘เสียง’ ของบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปที่เข้ามาดู มาสัมผัส มารับชม หรือเข้ามามีส่วนร่วมในพิธีการยิงเป้าหรือพิธีกรรมเชือดไก่ให้ลิงดู

แม้ ‘เสียง’ จากตัวอักษรที่นักข่าว/นักหนังสือพิมพ์นำเสนอลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ จะมิได้ปรากฏในรูปของคลื่นเสียงหรือได้ยินผ่านประสาทการรับรู้ทางใบหู แต่ผู้อ่านก็จะสัมผัสได้ถึง ‘เสียง’ ผ่านการปรุงแต่งด้วยกลไกทางสมองหรือจากกระบวนการทางประสาทวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการรับรู้ (cognitive neuroscience) ผ่านระบบการทำงานของสมอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้อ่านจะได้ยินเสียงจากประสบการณ์และจินตนาการของตัวเองที่ประมวลสร้างขึ้นภายในใจ โดยมีข้อความ/ตัวอักษรที่หนังสือพิมพ์รายงานทำหน้าที่เป็นข้อมูล (Data) นำเข้าสู่กระบวนการแปรตัวอักษรให้กลายเป็นเสียงและผู้อ่านจะได้ยินเสียงนั้นอยู่ภายในระบบความรับรู้ ซึ่งข้อมูลเสียงที่หนังสือพิมพ์นำเสนอผ่านตัวอีกษรก็มีทั้งเสียงพูด เสียงตะโกน ไปจนถึงเสียงของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่ง ‘ยิง’ ในพิธีการยิงเป้า ดังจะปรากฏชัดในเหตุการณ์ ‘ยิงเป้า’ ประหารชีวิตนายศิลา วงศ์สิน ด้วยอำนาจมาตรา 17

กบฏผีบุญศิลา

จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจมาตรา 17 สั่งประหาร ‘ยิงเป้า’ ครั้งแรกในกรณีการประหารชีวิตนาย ศิลา วงศ์สิน หรือที่เรียกกันว่า ‘กบฏผีบุญศิลา’ โดยมีรายละเอียดเรื่องราวพอสังเขป ดังที่งานศึกษาของ อิทธิพล โคตะมี สรุปอย่างได้ใจความว่า

“เรื่องราวของศิลาเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ศิลาย้ายจากจังหวัดสกลนคร ภูมิลำเนาเดิม ไปที่จังหวัดอุบลราชธานี เขาใช้ความรู้ที่เคยร่ำเรียนมาเกี่ยวกับธรรมและไสยศาสตร์ในการรับเข้าทรงเพื่อรักษาไข้ จนมีลูกศิษย์และคนนิยมเลื่อมใสอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อจากนั้นศิลาจึงได้ชักชวนผู้คนอพยพจากอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ไปตั้งชุมชนอยู่ที่บริเวณบ้านใหม่ไทยเจริญ ตำบลสารภี อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่นั่นเองนำมาสู่จุดจบของชีวิตศิลา

เมื่อตั้งรกรากอยู่ได้ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้าตรวจค้นชุมชนของศิลา ก่อนที่จะมีการตะลุมบอนระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ จนกระทั่งนายอำเภอและผู้ติดตามได้เสียชีวิต และไม่นานต่อมาได้มีการสังหารประชาชนที่ติดตามศิลาไปจำนวน 12 คน ขณะที่ตัวศิลาและครอบครัวหนีไปได้ แต่นั่นก็เพียงเวลาไม่นานนัก ศิลาได้ถูกทางการลาวจับตัวและส่งให้ทางการไทยได้ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2502 ศิลาและผู้ติดตามจึงถูกส่งตัวไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจจังหวัดนครราชสีมาระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงถูกส่งตัวไปพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งต้องการสอบสวน ศิลา วงศ์สิน ด้วยตัวเอง จนกระทั่งในที่สุดวันที่ 26 มิถุนายน 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีคำสั่งให้ประหารชีวิต ศิลา วงศ์สิน โดยอ้างมาตรา 17 ตามธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2502”[3]

กล่าวอย่างรวบรัด[4] เมื่อนายศิลา วงศ์สิน ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ได้มีควบคุมตัวนายศิลามาคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์มิได้รายงานข่าวแต่เพียงการจับกุมตัวนายศิลาเท่านั้น แต่ยังรายงานข่าวพร้อมนำเสนอ ‘เสียง’ ของประชาชนที่แห่กันมาดูนายศิลาที่สถานีตำรวจด้วยว่า  ‘ทันทีที่ได้ทราบข่าว ปรากฏว่าประชาชนนับพันไหลมาเทมายังสถานีตำรวจเพื่อขอดูหน้าหัวหน้าผีบุญกับโขยงที่จับได้ทั้งหมด รายงานข่าวของผู้สื่อข่าวของเรารายงานมาเมื่อบ่ายวันที่ 20 เดือนนี้ว่า ประชาชนได้พากันไปห้อมล้อมโรงพักมากมายจนชนะประวัติการณ์ เสียงประชาชนพากันกู่ร้องตะโกนว่า “ขอดูหน้าผีบุญกับเมียหน่อยเฮอะ”’[5]

เมื่อนายศิลา ถูกควบคุมตัวส่งมายังจังหวัดนครราชสีมาสถานที่เกิดเหตุ หนังสือพิมพ์ก็ยังคงนำเสนอเสียงของประชาชนที่มารอดูนายศิลาที่สถานีรถไฟ โดยเล่าบรรยายอย่างมีอารมณ์ว่า

“ทันทีที่นายศิลาปรากฏโฉมหน้าแก่ประชาชนที่ไปคอยดู ได้มีเสียงร้องตะโกนขึ้นจากกลุ่มประชาชนว่า ‘ฆ่ามันเสียเพราะมันเป็นคนโหดร้าย อย่าไว้ชีวิตมัน’ ซึ่งคำตะโกนนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่นั่นตามๆ กัน”[6]

ชวนสังเกตว่า กลวิธีในการนำเสนอข่าวหรือเรื่องราวที่เป็นกระแสสังคมของหนังสือพิมพ์ (หรือสื่ออื่นๆ ทั่วไป) มิได้มีลักษณะนำเสนอข่าวแต่เพียงการรายงานข้อเท็จจริงทั่วไปว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เท่านั้น หากแต่มีลักษณะเป็นโครงเรื่อง (Plot) ทางวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ไม่มากก็น้อย กล่าวคือ มีการเปิดเรื่อง (The Opening) การผูกปม (Complication) การหน่วงเรื่อง (Suspense) จุดสุดยอด (Climax) การคลายปม (Denouement) และจบลงที่การปิดเรื่อง (Close หรือ Conclusion)

เรื่องของนายศิลาก็เช่นเดียวกัน จุดสุดยอด (Climax) ของเรื่องนี้คงเห็นจะได้แก่การเผชิญหน้ากันระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับ นายศิลา วงศ์สิน ซึ่งถูกนำตัวเข้าสอบสวนที่กองปราบในกรุงเทพฯ โดยจอมพลสฤษดิ์ได้เดินทางมาดูตัวและทำการสอบสวนด้วยตัวเอง

หนังสือพิมพ์มิได้นำเสนอเพียงแค่ว่าจอมพลสฤษดิ์เดินทางมาดูตัวและทำการสอบสวนนายศิลาในเชิงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ยังเล่าถึงอากัปกิริยาความกลัวในแง่ประสาทวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับตัวนายศิลาด้วยว่า “ตัวผีบุญเองพอรู้ว่านายกรัฐมนตรีมาเพื่อดูตัวตนถึงกับรีบนั่งพนมมือบริกรรมในห้องขังหน้าซีด บางครั้งก็ลุกขึ้นพนมมือเดินไปรอบๆ ห้องขัง ปากก็พร่ำบ่นคาถาอาคมอยู่ตลอดเวลา”[7] ซึ่งการเผชิญหน้ากันระหว่างจอมพลสฤษดิ์กับนายศิลาก็จบลงด้วยเรื่องเล่าของที่ว่า จอมพลสฤษดิ์ได้ท้านายศิลาว่าหากเป็นผู้วิเศษจริงก็ขอให้แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการเอาปากอมวิทยุกับกระโถนให้ดู หากนายศิลาทำได้จะนับถือและขอเป็นลูกน้องนายศิลา ปรากฏว่านายศิลาไม่ยอมทำตามที่จอมพลสฤษดิ์บอก

นับจากวันเกิดเหตุในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2502 เมื่อปฏิทินเดินทางเข้าช่วงท้ายของเดือนเรื่องราวของนายศิลาก็ถูกคลายปม (Denouement) ว่าเป็น ‘กบฏผีบุญศิลา’ ดังแถลงการณ์ของจอมพลสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรี ที่ระบุถึงการกระทำความผิดของนายศิลาว่า “ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ และเป็นกษัตริย์ ทำการซ่องสุมผู้คนเป็นจำนวนมากเข้าเป็นพรรคพวกเพื่อก่อการร้ายและดำเนินการอันเป็นการผิดกฎหมายของบ้านเมือง ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบ่อยทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรและราชบัลลังก์ ทั้งเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายและก่อนกวนความสงบภายในประเทศ อันเป็นความผิดขั้นอุกฤษฎ์โทษ”[8]

และในท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ปิดเรื่อง (Close หรือ Conclusion) ด้วยการที่จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตามมาตรา 17 สั่งประหารชีวิต ‘ยิงเป้า’ นายศิลา ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ารับชมพิธีกรรม ซึ่งน่าสนใจว่าหากการ ‘ยิงเป้า’ ด้วยอำนาจมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ถือเป็นวิธีการลงโทษนายศิลาที่รุนแรงและเด็ดขาดแล้ว เสียงและอารมณ์ของประชาชนที่ไปเฝ้าชมพิธีการยิงเป้านายศิลาซึ่งหนังสือพิมพ์ได้พยายามนำเสนอนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึก ความโกรธแค้น และความต้องการให้มีการลงโทษนายศิลาอย่างรุนแรงและทารุณกว่ามาก ดังที่หนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า “ประชาชนนับหมื่นเฝ้าดูประหาร สมน้ำหน้า” และให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า

“ในที่สุด ‘ผีบุญ’ ศิลา วงศ์สิน หรือลาดละคร ผู้ก่อเหตุที่หมู่บ้านใหม่ไทยเจริญ ตำบลสารภี อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตายอย่างทารุณที่สุดในประวัติการณ์ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยคำสั่งอันเฉียบขาดของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้ความศักดิ์สิทธิของมาตรา 17 เป็นครั้งแรก เพราะได้สอบสวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่าเป็นโทษอุกฤษฏ์ที่สุด ทั้ง ครม.ก็ลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วด้วย การประหารได้เป็นไปภายใต้การควบคุมของอธิบดีกรมตำรวจต่อหน้าประชาชนชาวนครราชสีมานับหมื่นๆ คนที่ไปเฝ้าคอยดูอยู่ตั้งแต่ตอนบ่าย ชีวิตของ ‘ผีบุญ’ จบลงด้วยกระสุนปืนกล 36 นัด เมื่อเวลา 17.30 น. ของวันวานนี้ ท่ามกลางการสมน้ำหน้าของผู้รู้เหตุการณ์อันแท้จริง ประชาชนเคียดแค้นถึงขนาดตะโกนขอตัวไปลงประชาทัณฑ์ ขณะวิ่งตามรถที่คุมตัวไปประหารว่า ‘อย่ายิงให้เสียลูกปืนเลย เอาตัวมาให้พวกเขากระทืบดีกว่า’”[9]

ก่อนวินาทีแห่งความตายจะมาเยือนกบฏผีบุญศิลา แน่นอนว่าเสียงที่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์จะได้ยินก็คือเสียงของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการประหารชีวิต ที่ตะโกนบอกว่าเพชฌฆาตให้ปลิดชีพกบฏผีบุญศิลา โดยมีประชาชนที่มายืนเฝ้าชมอยู่ใน ณ ลานพิธีประหารที่จังหวัดนครราชสีมา และอาจจะรวมไปถึงผู้อ่านหนังสือพิมพ์ที่กำลังนั่ง/นอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ณ ที่แห่งใดก็ได้ ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีกรรมเชือดไก่ให้ลิงดู นี้ว่า

“เมื่อทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พล.ต.อ.ไสว ไสวแสนยากรก็เดินเข้าไปในไมโครโฟน และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะลงมือประหารเดี๋ยวนี้ ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ’ สิ้นเสียงนั้น ประชาชนนับหมื่นที่ยืนเฝ้าดูการประการในบริเวณนั้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน ได้เงียบเสียงลงทันทีทั้งในบริเวณนั้นเงียบสงัดและวังเวงอย่างน่าประหลาดทุกคนเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของแต่ละคนจากนั้นอธิบดีตำรวจก็เดินไปยืนอยู่ข้างหลังตำรวจมือปืนทั้ง 6 ซึ่งตั้งแถวห่างจากเป้าเพียง 5-6 เมตร ‘ฟังคำสั่งข้าพเจ้า…เตรียมตัว…บรรจุ…ยิง!’ ขาดคำปืนทั้ง 6 กระบอกก็แผดเสียงดังสนั่นทั่วบริเวณ แล้ววิญญาณของ ‘ผีบุญ’ ก็หลุดออกจากร่างทันที”[10]

ประสาทวิทยาศาสตร์ กับ อำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทย

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า อำนาจความรุนแรงของกฎหมายมาตรา 17 ซึ่งถูกใช้ด้วยความเด็ดขาด/เฉียบขาดโดยจอมพลสฤษดิ์ มิได้ถูกใช้โดยตัดขาดจากการแสวงหาความชอบธรรมในสังคม เพราะหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจของจอมพลสฤษดิ์ก็คือสื่ออย่างหนังสือพิมพ์

ความน่าสนใจคือ อำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทยมิได้ทำงานเพียงแต่ในเชิงอักษรศาสตร์และวรรณกรรม ผ่านการนำเสนอและเล่าเรื่องด้วยความสนุก ความน่าติดตาม หรือความเร้าอารมณ์ แต่ยังทำงานและส่งผลต่อกระบวนการรับรู้ทางประสาทวิทยาศาสตร์ต่อผู้อ่านในการสร้างจินตภาพและเสียงขึ้นภายในตนเอง ดังนั้น จึงคงมิใช่เรื่องแปลกประการใดที่ว่า แม้บางคนจะมิได้เคยพบหรือสัมผัสกับจอมพลสฤษดิ์ตัวเป็นๆ หรืออยู่ในพิธีการ ‘ยิงเป้า’ จริงๆ  แต่เมื่อ “เวลาพูดถึงสฤษดิ์เนี่ย คนเงียบ ตัวสั่นไปหมด” ก็เพราะหลายๆ คนต่างตกอยู่ภายใต้กระบวนการรับรู้ทางประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีสื่ออย่างหนังสือพิมพ์ (หรือวิทยุ/หรือในสมัยนี้ก็คงเป็นโทรศัพท์มือถือ) เป็นกลไกเชื่อมต่อภาพและเสียงแห่งภาพความเด็ดขาดรุนแรง

มากไปกว่านั้น อำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ได้พลิกความเข้าใจเรื่อง ‘เสียงของประชาชน’ อย่างตรงกันข้าม เพราะเสียงของประชาชนมิได้จำเป็นต้องสื่อความหมายถึงการเรียกร้องสิทธิหรือข้อเรียกร้องในทางการเมือง แต่เสียงของประชาชนจะถูกอ้างและถูกใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมในการใช้อำนาจความรุนแรงก็ได้

ดังนั้น แม้ในเชิงข้อเท็จจริง กบฏผีบุญศิลาจะถูกประหารชีวิต ‘ยิงเป้า’ ด้วยกระสุนปืนกลราว 36 นัด จนเสียชีวิต ณ ลานประหาร แต่ในเชิงประสาทวิทยาศาสตร์ กับ อำนาจเสียงอักษรของหนังสือพิมพ์ไทย กบฏผีบุญศิลาได้ถูกเสียงของประชาชนตามคำกล่าวอ้างของหนังสือพิมพ์ประหารชีวิตอย่างรุนแรงก่อนผีบุญศิลาจะสิ้นใจแล้ว ดังที่หนังสือพิมพ์ นำเสนอว่า

“จากนั้นรถนำ ‘ผีบุญ’ ศิลาไปสู่ที่ประหาร ก็เคลื่อนตามจิ๊ปแดงที่เปิดไซเรนขอทางประชาชนมุ่งสู่ป่าช้าไปโดยมีประชาชนวิ่งนำหน้ารถบ้างตามหลังบ้างเป็นพรวน ทำให้รถไปช้า โดยระยะทาง 1 กม. กินเวลาถึง 15 นาที สำหรับประชาชนที่วิ่งตามรถไฟไปนั้นมีบางคนร้องออกมาว่า

“‘อย่าเอามันไปยิงเลยเสียลูกปืนเปล่า เอามาให้พวกเรากระทืบมันคนละทีสองทีให้มันแบนติดถนนตายไปดีกว่า’ พอพูดจบประชาชนทั้งหมดก็โห่ร้องสนับสนุนเป็นการใหญ่”[11]


[1] ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, ‘ทักษิณเปรียบเทียบกับสฤษดิ์ไม่ได้,’ ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (เมษายน–มิถุนายน, 2548), 50.

[2] ดูประเด็นนี้เพิ่มเติมได้ใน อิทธิเดช พระเพ็ชร, ‘ยิงเป้า’ มาตรา 17 : หนังสือพิมพ์ไทยกับการกลายเป็นลิงของผู้อ่านในวัฒนธรรมเชือดไก่ให้ลิงดู, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน, 2562), 159 – 175.

[3] อิทธิพล โคตะมี, ซีรีส์ชุดผีบุญในอีสาน (11) ‘ศิลา วงศ์สิน’ จากสายตาเบี้ยล่างประวัติศาสตร์ (ตอนที่ 1), เข้าถึงข้อมูลใน https://theisaanrecord.co/2021/06/14/sila-1/

[4] อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเหตุการณ์นี้ได้ใน ธิกานต์ ศรีนารา,’เสียงเล็ก ๆ ของ ‘ผีบุญ’ ศิลา วงศ์สิน ในหนังสือพิมพ์ สารเสรี พ.ศ. 2502: ประวัติศาสตร์อำพราง เบี้ยล่าง (อยาก) เล่าเรื่อง,’ ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้ง ที่ 2’ศาสตร์แห่งการจำ ศิลป์แห่งการลืม’ เล่ม 1, วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 305-327.

[5] สารเสรี 21 มิถุนายน 2502

[6] สารเสรี 23 มิถุนายน 2502

[7] สารเสรี 26 มิถุนายน 2502

[8] สารเสรี 27 มิถุนายน 2502

[9] สารเสรี 27 มิถุนายน 2502

[10] สารเสรี 27 มิถุนายน 2502

[11] สารเสรี 27 มิถุนายน 2502

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save