ตีโจทย์ยุทธศาสตร์รวมไทยสร้างชาติในสมการรัฐบาลผสม กับ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์

การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว สปอตไลต์มักส่องไปยังพรรคเพื่อไทย กลายเป็นพื้นที่วิวาทะหลักของทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติกลับไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก และแม้จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ งานการเมืองของรวมไทยสร้างชาติก็ไม่ได้ไหลลื่นมากนัก ไม่ว่าจะในแง่การทำงานกับพรรคหลักอย่างเพื่อไทย หรือการจัดการภายในของตน

พรรครวมไทยสร้างชาติประเมินการเมืองไทยอย่างไร และจะนำเสนอใดต่อสังคมไทย ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของอนุรักษ์นิยม

101 สนทนากับ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติประเมินการเมืองไทยและมองยุทธศาสตร์ต่อไปของพรรค

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.328 – รวมไทยสร้างชาติในการเมืองข้ามขั้ว กับ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ออกอากาศเมื่อวันพุธที่ 19 มิถุนายน 2567

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ในสมการรัฐบาลผสม

จากสนามการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา บทสรุปของการจัดตั้งรัฐบาลออกมาในรูปแบบของพรรคการเมืองข้ามขั้ว และการเกิดขึ้นของฉากทัศน์ทางการเมืองที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่พรรครวมไทยสร้างชาติจับมือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เอกนัฏระบุว่า แม้จะทำให้ประชาชนรู้สึกกังขาในจุดยืนของพรรค แต่ต้องยอมรับว่าการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในสถานการณ์ผลการเลือกตั้งครั้งก่อน ทั้งนี้ เอกนัฏยืนยันถึงจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าไม่เคยปฏิเสธร่วมกับพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และสามารถทำงานร่วมกันได้กับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกัน

ในสายตาของเอกนัฏ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าพรรครวมไทยสร้างชาติได้ที่นั่งในสภาไปเพียง 36 ที่นั่ง อันเป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีสิทธิ์เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น สิ่งที่พรรคให้ความสำคัญที่สุดในเวลานั้นคือการใช้ 36 ที่นั่งนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ทั้งยังเน้นย้ำว่าเงื่อนไขหลักในการเข้าร่วมรัฐบาลคือการไม่แตะเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ยืนยันเงื่อนไขนี้อย่างชัดเจน การจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคเพื่อไทยจึงเกิดขึ้นได้

“ตั้งแต่มีการตั้งพรรคหรือแม้แต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง รวมไทยสร้างชาติไม่เคยประกาศว่าจะไม่จับมือกับใคร เพียงแต่เราพูดอย่างชัดเจนว่า ถ้าใครอุดมการณ์เดียวกันก็ทำงานร่วมกันได้ แต่หากอุดมการณ์ไม่ตรงกัน เช่น มีนโยบายเรื่องมาตรา 112 ก็คงไปกันไม่ได้”

“ต้องยอมรับว่าสมัยก่อนพรรครัฐบาลมักจะเป็นพรรคที่มีเสียงส่วนมากในสภาหรือชนะแบบแลนด์สไลด์ แต่พอครั้งนี้ต้องบริหารรัฐบาลแบบผสม ถึงที่สุดก็ต้องมีการผสมกันระหว่างพรรคสองขั้ว ตอนนั้นเรามีหลักประกันสำคัญที่ประกาศต่อสาธารณชนและพรรคอื่นๆ ในการจัดตั้งรัฐบาลว่า จะต้องไม่มีเรื่องมาตรา 112 กับการไม่แก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 เพราะสองหมวดนี้เกี่ยวกับสถาบันและระบบการปกครอง ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับเราถือว่าเป็นการใช้ 36 ที่นั่งในสภาอย่างคุ้มค่า”

อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่หลายคนจับตามองนอกเหนือจากการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว คือจุดยืนส่วนตัวของ ส.ส. แต่ละพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของเอกนัฏที่เคยเป็นอดีตโฆษก กปปส. หรือการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในการต่อต้านการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอกนัฏให้ความเห็นตามตรงว่าในแง่มุมส่วนตัว การเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยสร้างความลำบากใจให้ตนเองไม่น้อย แต่เมื่อตอนนี้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนแล้ว จึงถือว่าเป็นการปลดล็อกชนวนปัญหาที่ทำให้ตนเองเข้าร่วมการชุมนุม กปปส. ด้วยเช่นกัน

“การอยู่ในสนามการเมืองกว่า 16 ปี ฝึกให้ต้องรู้จักกลืนเลือด ผมคิดแค่ว่าตัวเองต้องตัดสินใจโดยเอาเรื่องของส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว สำหรับผม ไม่มีการตัดสินใจไหนที่ได้สิ่งที่ต้องการมาอย่างสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่เราไม่ได้คะแนนเสียงทั้ง 250 ที่นั่ง การเมืองก็ต้องเป็นรัฐบาลผสมแบบนี้”

“พูดกันแบบตรงไปตรงมา เมื่อสิบปีที่แล้วผมยังไปขึ้นเวทีปราศรัยอยู่เลย แต่วันนี้เมื่อการเมืองเปลี่ยน หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป การเข้าร่วมรัฐบาลก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสลายความขัดแย้งที่สะสมมานานมาก ตั้งแต่วาทกรรมเสื้อเหลือง เสื้อแดง พันธมิตร กปปส. ไม่ว่าจะกี่ขั้ว กี่ฝ่าย กี่สีเสื้อ นี่ถือเป็นโอกาสดีของการสลายวาทกรรมสีเสื้อ รัฐบาลจะได้เดินหน้าทำงานต่อเพื่อประเทศด้วยความสามัคคี” เอกนัฏกล่าว

รวมไทยสร้างชาติ – พรรคอนุรักษนิยม 2024 (?)

หลังการลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลการเลือกตั้ง 36 ที่นั่งในสภาซึ่งสะท้อนความนิยมที่ลดลง ไปจนถึงข่าวการลาออกของสมาชิกพรรคบางคน ทำให้มีหลายคนจับตามองถึงความมั่นคงและอนาคตของพรรค ต่อประเด็นนี้ เอกนัฏระบุว่าการเข้าออกของสมาชิกเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการพรรคการเมือง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาภายในของพรรคแต่อย่างใด รวมถึงยอมรับว่า แม้การลาออกจากพรรคของพลเอกประยุทธ์จะทำให้ฐานเสียงของพรรคลดลงไปบ้าง แต่เขายืนยันว่าดีเอ็นเอของ ‘ลุงตู่’ ยังคงอยู่ในพรรครวมไทยสร้างชาติเสมอ

“เราก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติก่อนมีการเลือกตั้งประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งเรามีเวลาน้อยมาก ดังนั้น การนำเสนอให้คนเข้าใจว่าพรรคเราคืออะไร ด้วยวิธีที่ง่าย ชัดเจนและเร็วที่สุดคือการขายภาพลักษณ์ผู้นำพรรค นั่นคือขายความเป็น ‘ลุงตู่’” เอกนัฏอธิบาย

อย่างไรก็ดี ตัวเลข 36 ที่นั่งคงไม่เป็นที่น่าพอใจนักสำหรับพรรคการเมืองที่มีแคนดิเดตเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อให้ลองประเมินสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน เอกนัฏวิเคราะห์ว่าผลการเลือกตั้งสะท้อนภาพการเมืองไทยเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือกระแสความสนใจที่สังคมต่อพรรคและตัวบุคคล ซึ่งส่วนนี้จะกลายมาเป็นฐานเสียงของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ส่วนที่สองคือการจัดการในพื้นที่ เป็นส่วนสำคัญในการเรียกคะแนนเสียงของ ส.ส. แบบแบ่งเขต

“ด้วยระบบเลือกตั้งบัตรสองใบ ระบบบัญชีรายชื่อคือส่วนที่คนต้องเลือกผู้นำและจุดยืนของพรรค สิ่งสำคัญคือทั้งกระแสพรรคและกระแสตัวบุคคล ส่วน ส.ส.เขต จะผสมผสานกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางพรรคอย่างพรรคภูมิใจไทยแทบไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเลย แต่ได้ ส.ส. เขตเยอะมากจนรวมกันได้กว่า 71 ที่นั่ง”

“ก่อนเลือกตั้งเรานำเอาจุดแข็งของพรรคอย่างความเป็นลุงตู่มาทำเป็นแคมเปญสร้างกระแส อีกส่วนคือการบริการจัดการพื้นที่ซึ่งเป็นส่วนที่เราวางแผนกันมานานก่อนเลือกตั้ง แต่พูดตามตรงเราคาดหวังไว้ว่าจะได้มากกว่า 36 ที่นั่ง และต้องยอมรับว่าจำนวน 36 ที่นั่งนี้ผิดคาดทั้งจากตัวพรรคและการประเมินของคนบางกลุ่มที่คิดว่าเราจะได้น้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”

เมื่อมองไปถึงอนาคตของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของอนุรักษนิยม ท่ามกลางกระแสของการเมืองไทยที่พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายดูเหมือนจะเติบโตก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เอกนัฏให้ความเห็นว่า แม้จะถูกนิยามว่าเป็นฝ่ายขวาอนุรักษนิยม แต่สำหรับเขา รวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคฝ่ายขวาแบบหัวก้าวหน้า โดยจะเห็นได้จากนโยบายของพรรคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการแสวงโอกาสและดึงรายได้เข้าประเทศ ทั้งการลงทุนกับโครงสร้างประเทศ มนุษย์ และเทคโนโลยี พร้อมเน้นย้ำว่าถึงที่สุด กฎระเบียบล้าหลังที่เป็นอุปสรรคกับประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลง

รวมไปถึงนโยบายของกระทรวงพลังงานที่หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติอย่าง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอยู่ในปัจจุบัน มีนโยบายให้ความสำคัญกับการแก้กฎหมายเพื่อปรับโครงสร้างพลังงาน เนื่องจากมองว่าหนึ่งในปัญหาใหญ่ด้านพลังงานของประเทศไทยในปัจจุบันคือ ราคาน้ำมันที่ไม่มีกฎหมายกำกับอย่างรัดกุมมากพอแบบฝั่งพลังงานไฟฟ้า กระทรวงพลังงานจึงออกประกาศให้ฝั่งผู้ลงทุนต้องแจ้งต้นทุนน้ำมัน รวมถึงกระบวนการแต่ละช่วงในโครงสร้างราคาน้ำมันทั้งหมดจะต้องมีการปรับแก้ให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม ทั้งส่วนของต้นทุนและการกำหนดราคา เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน

เอกนัฏเน้นย้ำว่าตอนนี้สังคมยังคงยึดติดกับภาพพรรคการเมืองแบบเก่าๆ แต่เมื่อการเมืองมีการพัฒนาไปตลอดเวลา หากพรรคการเมืองไม่คิดจะปรับตัวเอง สุดท้ายก็จะไปต่อได้ยาก แม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติก็มีการปรับตัวในหลายเรื่อง ไม่ว่าพื้นฐานพรรคจะมีต้นทุนมาอย่างไร สิ่งสำคัญคือการปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ

“วันนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือเศรษฐกิจประเทศ เราจะเห็นตัวเลขต่างๆ ทั้งเรื่องการส่งออก เงินเฟ้อ การขยายตัวของเศรษฐกิจที่น้อยลง และหนี้สาธารณะที่เกือบแตะเพดาน 70% ที่สำคัญที่สุดคือปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล แม้ที่ผ่านมาจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเยอะ แต่โจทย์สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไป เช่น ถนนหนทาง ท่าอากาศยาน ท่าน้ำ จะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดรายได้ให้เม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ”

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือการปฏิรูป เอกนัฏเสนอว่าสิ่งแรกสุดที่ต้องทำคือการปฏิรูประบบราชการ เพราะทุกวันนี้โอกาสหลายอย่างของประเทศหายไปเพราะปัญหาที่สะสมอยู่ในระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา ผู้มีอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง การทุจริตคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจที่มีปัญหา เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากระบบราชการที่โตขึ้นพร้อมกับอำนาจที่มากเกินไป

“ในการปฏิรูประบบราชการ เราต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้นและต้องแก้กันยกแผง ที่ผ่านที่แก้ไขไม่สำเร็จเสียที ส่วนหนึ่งเพราะคนแก้ไขการแพ้ภัยตัวเอง นั่นคือไม่แพ้เรื่องผลประโยชน์ที่ผู้มีอำนาจเสนอมาก็เกิดจากความกลัว แน่นอนว่าการแก้กฎหมายที่ไปกระทบกับกลุ่มอำนาจเดิมทำให้คนกลัวกันหมด แต่ผมไม่กลัว เพราะเราไม่ได้เข้าไปทำงานเพื่อนายทุน”

“สิ่งสำคัญคือศรัทธาของคน โดยเฉพาะประชาชนที่เลือกเรามา เราจึงไม่จำเป็นต้องคิดว่านโยบายที่จะทำจะไปกระทบใครหรือไม่ ต้องคิดอย่างเดียวว่าผลประโยชน์ของประชาชนอยู่ที่ไหน” เอกนัฏกล่าว

นอกจากนี้ เอกนัฏเสริมว่าพรรครวมไทยสร้างชาติให้ความความสำคัญกับศักยภาพของคนรุ่นใหม่อย่างมาก จึงจะเห็นภาพ ส.ส. คนรุ่นใหม่จากพรรคในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เช่น ‘เนเน่-รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ หรือ ‘ลอรี่-พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ’

“ผมส่งเสริมสังคมที่มีการแข่งขัน แต่เราต้องให้โอกาสให้คนรุ่นใหม่ทุกคนมีโอกาสได้แข่งขันอย่างเท่าเทียม และแน่นอนว่าโอกาสที่เท่าเทียมนั้นจะมาได้จากเศรษฐกิจของประเทศที่เจริญเติบโตขึ้นและมีขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ปัญหาตอนนี้คือเวลาออกนโยบายหาเสียง หลายพรรคจะแข่งกันว่า ถ้าคุณให้ 500 ผมให้ 1,000 แต่ประเทศได้อะไรจากการแข่งขันกันแบบนี้ระหว่างพรรคการเมือง ถ้าจะดีอย่างยั่งยืนและมั่นคง เราต้องลงทุนกับคนด้วยการให้โอกาส ไม่ใช่การเอาเงินไปยัดมือประชาชน”

“ถ้าต้องให้คำจำกัดความ สำหรับผม พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาที่พยายามจะหัวก้าวหน้า เป็นขวาที่ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ และแสวงหาการปฏิรูปให้ดีขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมพูดเสมอว่าผมไม่ใช่คนงมงาย แต่ผมมองไปถึงเรื่องความมั่นคง นี่คือสถาบันเสาหลักที่สร้างความมั่นคงให้ประเทศ และเป็นเหตุผลที่ถึงอย่างไรพรรครวมไทยสร้างชาติไม่เอาเรื่องมาตรา 112” เอกนัฏกล่าว

ทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในยุครัฐบาลข้ามขั้ว

โจทย์ใหญ่ที่สุดโจทย์หนี่งของรัฐบาลสมัยปัจจุบันคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 อันเป็นมรดกจากรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจชุดก่อน ทว่าเมื่อผลลัพธ์คือการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว จึงนำมาสู่ความห่วงกังวลของประชาชนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจมีความติดขัด เอกนัฏตอบข้อวิจารณ์ดังกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าหลายส่วนในรัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอำนาจขององค์กรอิสระที่ผูกโยงกับรัฐธรรมนูญ 2560 อย่างชัดเจน และสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือการหารือให้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องแก้เนื้อหาส่วนไหน แต่เอกนัฏตั้งข้อสังเกตว่าคนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจไปที่การตัดสินใจว่าจะแก้ไขทั้งฉบับหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งส่วนตัวเขามองว่า การโฟกัสที่เนื้อหาสำคัญกว่าการโฟกัสที่วิธีการในการแก้ไข

“ผมไม่เคยต่อต้านเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จุดยืนของผมคือรัฐธรรมนูญ 2560 ควรมีการแก้ไขบางเรื่องที่หลายคนเห็นตรงกันว่ามีปัญหา เพียงแต่ทำไมเราไม่เริ่มถกกันว่าควรจะแก้ส่วนไหนมากกว่าการเถียงกันว่าเราจะแก้ทั้งฉบับหรือแก้แค่บางส่วน เพราะส่วนนี้เป็นแค่วิธีการ สาระสำคัญคือเราจะแก้ส่วนไหนกันบ้าง และเราจะปรับแก้กันอย่างไรเพื่อให้ได้ฉันทามติร่วมกัน”

“รัฐธรรมนูญคือกฎหมายแม่ เวลาเรามาถกกันจึงต้องดูที่โครงสร้างภาพรวมของประเทศว่ากติกาใหญ่แบบไหนที่ทุกคนยอมรับได้ บางเรื่องต้องลองผิดลองถูก ส่วนเรื่องที่ลองผิดกันมาตั้งนานแล้วก็ต้องรีบแก้ไข เช่น ถ้าหลายคนมองว่าการเมืองมีปัญหาเพราะมีการยุบพรรคได้ง่าย เราก็ต้องมาถกกันว่าต่อไปเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การยุบพรรคมีอะไรบ้าง อำนาจและขั้นตอนควรเป็นอย่างไร ประเด็นที่จะยุบพรรคได้คืออะไร” เอกนัฏให้ความเห็น

การแก้ไขปัญหาอำนาจขององค์กรอิสระ ในความคิดของเอกนัฏ เขามองว่าหากไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือร้ายแรงจริงๆ เช่น ทุจริตการเลือกตั้ง ก็ไม่ควรมีการยุบพรรคการเมือง เพราะเมื่อกฎหมายตีกรอบไว้หมดทุกอย่าง ข้อดีของความรัดกุมนี้อาจเป็นการกรองคน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการตีกรอบจนทำให้คนดี คนเก่ง คนมีความสามารถเข้ามาทำงานเพื่อประเทศได้ยากลำบากขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการด้านการเมืองของประเทศต่อไปในอนาคต

“ผมมองว่ามีข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเราตั้งหลายอย่างที่ใช้ตอนแรกๆ ก็ดี แต่พอผ่านมาหลายปีมันไม่มีประสิทธิภาพแล้ว กติกาบางอย่างก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะหนึ่งซึ่งอาจเหมาะสมกับบริบทประเทศหรือสังคมในช่วงเวลานั้น อาจเกิดขึ้นมาในยุคที่มีการทุจริตในการเลือกตั้งเยอะจริงๆ แต่มาวันนี้ผมว่าค่านิยมหลายอย่างเปลี่ยนไปแล้ว กฎหมายก็ควรเปลี่ยนตาม”

อีกหนึ่งประเด็นที่ประชาชนจับตามองและตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดคือการทำงานร่วมระหว่างพรรคการเมืองสองฝากฝั่งในรัฐบาลชุดเดียวกัน ไปจนถึงการร่วมงานกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านที่มีจุดยืนบางเรื่องไม่ตรงกัน ต่อประเด็นนี้ เอกนัฏยืนยันว่าภาพการทำงานระหว่างพรรคการเมืองไม่ได้เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างที่หลายคนเข้าใจ ในความเป็นจริงทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านสื่อสารและปรึกษาหารือกันอยู่เสมอ เพราะหากจะร่วมกันทำให้ภาพรวมการเมืองดีได้ ทุกพรรคการเมืองทั้งสองฝากฝั่งต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลอย่างเคารพและให้เกียรติกัน และที่สำคัญที่สุดคือการทำงานโดยเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งเสมอ

“ทุกคนจะนึกภาพว่าอยู่คนละฝั่งกันเจอกันต้องทะเลาะกันอย่างเดียว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น และผมบอกเสมอว่าถ้าผมจะมีปัญหากับใครระหว่างการทำงาน คือผมมีปัญหาที่หลักการ ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล”

“การเมืองไทยจะมีภาพของความเป็นคู่แข่ง คู่ขัดแย้ง แต่ผมอยากฝากไว้ว่า เราอย่าตีความว่าการแข่งขันทุกอย่างเป็นความขัดแย้ง การเมืองตอนเลือกตั้งคือการแข่งขันกันก็จริง แต่มันไม่ได้ต้องจบด้วยการขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งเสมอไป” เอกนัฏทิ้งท้าย

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save